มีผลวิจัยจาก มหาวิทยาลัย MIT และ Texas A&M University เชิงวิศวกรรมศาสตร์ออกมาแล้วนะครับ อธิบายเหตุ Cluster บ้านเราได้ดีเลย และอยากให้ช่วยกันแชร์ข้อมูล ขอสรุปเป็นข้อๆ เลยนะครับ

1. ถ้าคุณอยู่ในพื้นที่ปิดเกิน 2 ชั่วโมง การเว้นระยะ 2 เมตรหรือ 20 เมตร นัยยะสำคัญก็ไม่ต่างกัน ความหมายคือเสี่ยงเหมือนกัน นั่นเป็นสาเหตุให้ สนามมวย เล้าจน์ หรือ บ่อน เป็นแหล่งเกิดเหตุการระบาดในไทยนั่นเองครับ

*** นั่นหมายความว่า ถ้าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องไปสถานที่ปิด เช่น ร้านอาหารในห้องแอร์ ซึ่งอาจจะต้องมีการเปิด mask เพื่อกินอาหาร หรือไปร้านนวด ก็ขอให้ใช้ระยะเวลาอย่างมากที่สุดไม่เกิน 2 ชั่วโมงนะครับ

2. การอยู่ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทจากข้างนอกได้ง่าย จะลดความเสี่ยงไปได้มาก เช่น รับประทานอาหาร Street Food ก็ดีกว่าในห้องแอร์นะครับ

3. ผู้ที่อยู่บ้านหรือ Condo ควรพยายามเปิดหน้าต่างบ่อยๆ เพื่อให้อากาศภายนอกถ่ายเทเสมอ ซึ่งการทำแบบนี้ดีกว่าการปิดห้องและใช้เครื่องฟอกอากาศอีกนะครับ

4. หมั่นทำความสะอาดที่พักของคุณทุกๆ 3-4 วัน แต่ถ้าให้ดีที่สุดทุก 2 วันครับ

5. กิจกรรมการบินในประเทศ จริงๆ เดินทางได้ตามปกติครับ เราใส่ mask บินในประเทศไม่เกิน 2 ชั่วโมงอยู่แล้ว ปลอดภัยกว่านั่งรถโดยสารระยะเวลายาวๆ ด้วยซ้ำนะครับ

ท้ายที่สุดใส่ mask ตลอดเวลาช่วยได้ครับ รบกวนแชร์ข้อมูลเพื่อป้องกันตัวด้วยนะครับ ขอให้อยู่รอดปลอดภัยกันทุกท่าน

https://www.cnbc.com/2021/04/23/mit-researchers-say-youre-no-safer-from-covid-indoors-at-6-feet-or-60-feet-in-new-study.html?__source=androidappshare

Cr Fb

พบสายพันธุ์แอฟริกาภาคใต้ ลามจังหวัดข้างเคียง ห่วงเชื้ออินเดียระบาดหลาย จว.

 

วันที่ 21 มิ.ย.64 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการควบคุมโรคในจังหวัดภาคใต้ หลังพบเชื้อโควิดสายพันธุ์เบตา หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ว่า มีการเข้มมาตรการป้องกันแต่จะเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ในฐานะคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดรับทราบนโยบาย และกำชับทางกระทรวงมหาดไทย มีการติดต่อทางส่วนกลางอย่างเข้มงวด

 

ส่วนกรณีที่เจอเชื้อในโรงเรียนแต่ไม่มีการสกัดกั้นจนนำเชื้อไปแพร่ต่อนั้น นพ.โอกาส กล่าวว่า รายละเอียดขอให้ทางจังหวัดเป็นผู้รายงาน ซึ่งก็รายงานมาส่วนกลาง และเราก็ได้กำชับเพราะประชาชนอาจเข้าใจผิดว่าเจอเคสแล้วให้ปิด ซึ่งเราบอกตลอดว่าการปิดไม่ใช่แก้ปัญหา แต่การแก้ปัญหาคือ อย่าให้เดินทางออกมา ซึ่งจะตรงกับมาตรการบับเบิ้ลแอนด์ซีล ส่วนสายพันธุ์เบต้า หรือ แอฟริกาใต้ ก็มีการกักตัวอย่างน้อย 21 วัน ส่วนจะ 1 เดือนหรือไม่ ต้องให้คณะกรรมการวิชาการพิจารณาอีกครั้ง ขณะนี้มีการเฝ้าระวังสายพันธุ์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังเป็นสายพันธุ์อังกฤษ

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า โควิด-19 ในไทยตอนนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นสายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินเดียรองลงมา พบในแคมป์คนงานเพิ่มขึ้นแถว จ.นนทบุรี ส่วนภาคใต้เป็นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จำนวนหนึ่งเจอนอกจังหวัดนราธิวาส เป็นจังหวัดภาคใต้ที่อยู่ใกล้เคียงกัน ส่วนตัวเลขอยู่ระหว่างตรวจสอบ ไม่ได้ปกปิด สายพันธุ์แอฟริกาใต้ดื้อต่อวัคซีนพอสมควร แต่แพร่โรคไม่เร็วเท่าอังกฤษและอินเดีย

ดังนั้น ที่กังวลตอนนี้คือสายพันธุ์อินเดียที่พบติดเชื้อในหลายจังหวัดแล้ว ตามหลักการได้แจ้งพื้นที่ให้ควบคุมแล้ว หากคุมได้ก็จะหยุดเร็วใน 14 วัน ไม่แพร่เชื้อในวง 2 วง 3 แต่อย่างที่ทราบว่าปัจจัยที่จะควบคุมได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับเราคนเดียว ต้องเคร่งครัดมาตรการต่างๆ จึงรายงานต่อฝ่ายความมั่นคงให้เข้มงวด กิจกรรมใดๆ หากให้งดทำแต่ยังทำอยู่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะลดการแพร่โรค รวมทั้งการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย อย่างเชื้อแอฟริกาใต้นั้น มีความชัดเจนว่ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อถามถึงกรณีโรงงานหลายแห่งไปดีลกับแล็บตรวจโควิดเอกชน ซึ่งอาจจะไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ต้องมีการตรวจหาเชื้อใหม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า มีโรงงานหลายแห่งอยากตรวจเชิงรุก ขอให้ติดต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนั้นๆ ไม่อยากให้ทำโดยพลการ เพราะมีตัวอย่างหลายโรงงานไม่เข้าใจว่าวิธีตรวจ ตรวจด้วยอะไร แปลผลอะไร เช่น นำแรพิดแอนติเจนไปตรวจแล้วสรุปว่ามีคนติดจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นเพื่อสุ่มเท่านั้น แต่จริงๆ ต้องตรวจด้วยวิธีการที่เป็นมาตฐานคือ RT-PCR เพราะฉะนั้นการตรวจหาเชื้อขอให้ปรึกษากัน เพราะสุดท้ายพอตรวจเจอไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ยิ่งทำให้เรื่องยุ่งไปอีก เพราะไม่ได้จบแค่การตรวจเท่านั้น

“ปัญหาหนึ่งเวลาเจอคลัสเตอร์โรงงาน หรือแคมป์ เมื่อเกิดขึ้นมีการจัดการไม่เป็นระบบ ทำให้แรงงานจำนวนหนึ่งหนีออกนอกพื้นที่ ซีลไม่จริง เดินทางกลับภูมิลำเนา ทำให้เกิดการกระจายโรคไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้เยอะ นี่คือข้อสังเกตที่พบของการแพร่ระบาดในปัจจุบัน” นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า

กรณีโรงเรียนประจำ จ.ยะลา ที่พบเชื้อโควิด จากการติดตามโรงเรียนนี้ พบเบื้องต้นมีทั้งสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และอังกฤษ กำลังอยู่ระหว่างติดตามหาต้นตอว่าติดมาจากที่ไหน และกำลังเร่งติดตามว่าเชื้อกระจายไปยังจังหวัดไหนบ้าง

ข้อมูลจาก https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6465661

 

 

เผยแพร่: 12 พ.ค. 2564 11:18   ปรับปรุง: 12 พ.ค. 2564 11:18   โดย: ผู้จัดการอกล่องบรรจุวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัท วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี ถูกนำมาจัดแสดงในมหกรรมสินค้าที่นครเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา (ภาพ - China Daily via REUTERS)

 
กล่องบรรจุวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัท วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี ถูกนำมาจัดแสดงในมหกรรมสินค้าที่นครเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา (ภาพ - China Daily via REUTERS)
เจ้าหน้าที่เม็กซิโกเผยการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตัวแรกของจีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA เหมือนกับวัคซีนที่ผลิตโดยไฟเซอร์และโมเดอร์นา กำลังจะเริ่มต้นขึ้นภายในเดือนนี้

มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเม็กซิโก ทวีตข้อความวานนี้ (11 พ.ค.) ว่า วัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัท วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี (Walvax Biotechnology) กำลังจะเข้าสู่การทดลองเฟสที่ 3 ในวันที่ 30 พ.ค. โดยจะใช้อาสาสมัครร่วมทดลอง 6,000 คน

วาลแว็กซ์ได้ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์การทหารของจีน (AMS) และซูโจว อ้ายโป๋ ไบโอไซเอนซ์ (Suzhou Abogen Biosciences) พัฒนาวัคซีนที่เรียกว่า ‘ARCoV’ หรือ ‘ARCoVax’ ซึ่งถือเป็นวัคซีนชนิด mRNA ตัวแรกของจีนที่จะเข้าสู่การทดลองในเฟสที่ 3

นักวิจัยของ AMS ระบุเมื่อเดือน เม.ย.ว่า วัคซีนชนิดนี้สามารถเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานมากกว่าวัคซีนตะวันตกบางตัวที่จำเป็นต้องเก็บภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำมาก

รัฐบาลเม็กซิโกได้สั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 จากจีนหลายตัว เช่น วัคซีนของซิโนแวค ไบโอเทค, แคนซิโน ไบโอโลจิกส์ และยังเตรียมสั่งวัคซีนของซิโนฟาร์มมาใช้งานเพิ่มด้วย

ปัจจุบันจีนมีวัคซีนที่ผลิตเองภายในประเทศใช้งานอยู่ทั้งหมด 5 ชนิด แต่ยังไม่มีวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ซึ่งจะสั่งการให้เซลล์ในร่างกายผลิตโปรตีนปลายแหลมเลียนแบบส่วนสำคัญของโคโรนาไวรัส และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 ขึ้นมา

ที่มา : รอยเตอร์
 
 

 
องค์การอนามัยโลกเมื่อวันพุธ (12 พ.ค.) ระบุตัวกลายพันธุ์โควิด-19 ที่อยู่เบื้องหลังการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในอินเดีย ถูกพบแล้วในหลายสิบประเทศทั่วโลก หนึ่งวันหลังจากขึ้นบัญชีมันในฐานะตัวกลายพันธุ์ที่น่ากังวล

หน่วยงานสาธารณสุขของสหประชาชาติแห่งนี้ระบุว่า ตัวกลายพันธุ์ B.1.617 ซึ่งพบครั้งแรกในอินเดียเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน ถูกตรวจพบในมากกว่า 4,500 ตัวอย่างที่อัปโหลดสู่ระบบฐานข้อมูลแบบเปิด GISAID “จาก 44 ประเทศ ในทั้ง 6 ภูมิภาคขององค์การอนามัยโลก”

“และทางองค์การอนามัยโลกได้รับรายงานการตรวจพบเพิ่มเติมอีก 5 ประเทศ” องค์การอนามัยโลกระบุในการอัปเดตข้อมูลด้านโรคระบาดวิทยารายสัปดาห์ เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคระบาดใหญ่โควิด-19

รองจากอินเดียแล้ว องค์การอนามัยโลกระบุว่าสหราชอาณาจักรรายงานพบเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากที่สุดที่มีต้นจากตัวกลายพันธุ์ดังกล่าว

เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ องค์การอนามัยโลกเพิ่งประกาศให้ตัวกลายพันธุ์ B.1.617 ซึ่งมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ มีการกลายพันธุ์และลักษณะจำเพาะต่างกันเล็กน้อย เป็นตัวกลายพันธุ์ที่น่ากังวล

เวลานี้ B.1.617 ถูกเพิ่มเติมเข้าไปในบัญชีตัวกลายพันธุ์ที่น่ากังวลร่วมกับตัวกลายพันธุ์โควิด-19 อื่นๆ อีก 3 ตัว ประกอบด้วยตัวที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร บราซิลและแอฟริกาใต้

ตัวกลายพันธุ์เหล่านี้ถูกมองว่ามีความอันตรายมากกว่าไวรัสตัวดั้งเดิม เพราะพวกมันทั้งแพร่กระจายเชื้อง่ายกว่า มีความรุนแรงกว่าและสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีน

หน่วยงานสาธารณสุขของสหประชาชาติแห่งนี้ ระบุว่า ตัวกลายพันธุ์ B.1.617 ที่พบครั้งแรกในอินเดียเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน ดูเหมือนจะแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าตัวดั้งเดิม “ข้อมูลที่มีมาบางส่วนบ่งชี้ว่ามีการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นของ B.1.617” มาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ นักระบาดวิทยาด้านโรคติดต่อ และผู้นำฝ่ายเทคนิคของโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลกบอกกับผู้สื่อข่าว

“ด้วยเหตุนี้ เราจึงจัดให้มันอยู่ในฐานะตัวกลายพันธุ์ที่น่ากังวลของโลก” เธอกล่าว

เธอยังชี้ถึงผลการศึกษาต่างๆ นานาในเบื้องต้น “ที่บ่งชี้ว่ามันลดแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์บางส่วน” นั่นหมายความว่า ดูเหมือนแอนติบอดีจะส่งผลน้อยลงกับตัวกลายพันธุ์ ในผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กในห้องปฏิบัติการวิจัย

อย่างไรก็ตาม ทางองค์การอนามัยโลกยืนยันว่า มันยังเร็วเกินไปที่จะตีความผลการศึกษาดังกล่าวว่าตัวกลายพันธุ์อาจต้านทานการป้องกันจากวัคซีนได้มากกว่า “บนพื้นฐานข้อมูลปัจจุบันวัคซีนโควิด-19 ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการล้มป่วยและเสียชีวิตในคนที่ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์นี้” ถ้อยแถลงระบุ
 
เสียงเน้นย้ำดังกล่าวขององค์การอนามัยโลกมีขึ้นแม้ว่าผลการศึกษาในโลกจริง บ่งชี้ว่าประสิทธิภาพของวัคซีนอาจมีอย่างจำกัดกับตัวกลายพันธุ์

องค์การอนามัยโลกระบุว่าการแพร่ระบาดของ B.1.617 เช่นเดียวกับตัวกลายพันธุ์อื่นๆที่แพร่เชื้อได้ง่ายกว่า ดูหมือนเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่โหมกระพือจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตพิ่มขึ้นอย่างน่าตกตะลึงในอินเดีย

อินเดีย ชาติที่มีประชากร 1,300 ล้านคน กลายเป็นชาติที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ เกือบ 23 ล้านราย โดยปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ระดับมากกว่า 300,000 คนและเสียชีวิตเกือบ 4,000 รายต่อวัน

ระลอกของการแพร่ระบาดกำลังเล่นงานเมืองหลักต่างๆ ในนั้นรวมถึงกรุงนิวเดลีและมุมไบ เมืองหลวงทางการเงิน ผลักสถานพยาบาลทั้งหลายกำลังเข้าสู่ภาวะแตกหัก ก่อปัญหาขาดแคลนถังออกซิเจนและเตียงคนไข้อย่างรุนแรง

(ที่มา : เอเอฟพี)
 
 

  เมื่อเร็วๆ นี้มีการประชุมระดมความคิดเห็นระหว่างกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันและระบาดวิทยาที่มีประสบการณ์ปฏิบัติงานทั้งในเขตเมืองและชนบท         

            เป็นการระดมความเห็นเพื่อหาแนวทางควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อให้ลดลงสู่ระดับที่ระบบสาธารณสุขสามารถบริหารจัดการได้

 

            โดยไม่ส่งผลเสียหายรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน และสามารถดำเนินกิจกรรมด้านสังคมได้ตามสภาวะใกล้เคียงกับปกติ

            ผู้เข้าร่วมการระดมความเห็นมีดังนี้

            ด้านสาธารณสุขและการแพทย์

            นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์, นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์, ผศ.ดร.นพ.บวรศม ลีระพันธ์, นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์, นพ.ประสิทธิ์ชัย มั่งจิตร, นพ.สุวัฒน์ วิริยะพงษ์สุกิจ, นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

            ด้านวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

            รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร, ดร.สมชัย จิตสุชน, ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง, ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู, นายกัมพล ปั้นตะกั่ว, น.ส.ชวัลรัตน์ บูรณะกิจ, น.ส.อุไรรัตน์ จันทรศิริ

            สรุปข้อเสนอสำคัญ 4 เรื่องเพื่อการพิจารณาของสาธารณะ

            1.มาตรการเร่งด่วนเพื่อจำกัดวงของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเน้นการแก้ไขสถานการณ์ระบาดที่เข้าสู่ครอบครัวและชุมชนอย่างเต็มตัวใน กทม.และปริมณฑล 

            มีข้อเสนอ 4 ประการ ดังนี้

            1.1 นวัตกรรมเสาะหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในเขตเมือง โดยเร่งดำเนินการจัดตั้งทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเสริมเพิ่มเติมอย่างน้อย 200 ทีม

            เนื่องจากการระบาดรอบนี้เป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วและรุนแรงต่อชีวิตมากกว่าเดิม เราจึงเห็นการระบาดที่ต่อเนื่องแม้จะปิดสถานบันเทิงหมดแล้ว เพราะเมื่อมีผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยหนึ่งคนจะทำให้สมาชิกส่วนใหญ่หรือทุกคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานติดเชื้อไปด้วย

            ในขณะนี้การระบาดกว่าร้อยละ 80-90 จึงเกิดจากการแพร่เชื้อจากผู้ติดเชื้อไปยังสมาชิกในครอบครัว ญาติมิตร และผู้ร่วมงาน

            สภาพการณ์ดังกล่าวเป็นการกระจายของเชื้อโรคในวงกว้าง (Wide Community Spreading) ทำให้ทีมสอบสวนโรคที่มีอยู่ไม่เพียงพอจะรับมือ

            รัฐบาลจึงต้องมี “นวัตกรรมเสาะหาตัวผู้ติดเชื้อเชิงรุก  (Active Case Finding Innovations)”

            โดยเร่งดำเนินการจัดตั้งทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเสริมเพิ่มเติมอย่างน้อย 200 ทีม เพื่อเอกซเรย์ชุมชนและควบคุมการแพร่เชื้อด้วยหลักการสอบสวนโรค การตรวจเชื้อ และการกักแยกโรค (TTI หรือ Trace, Test, Isolation)

            และมีระบบที่ชักชวนให้ผู้มีอาการหรือสงสัยตนเองให้มาตรวจได้สะดวกรวดเร็ว เพิ่มจุดการตรวจในชุมชนแออัดต่างๆ และพื้นที่เสี่ยง โดยให้ประชาชนได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับจุดบริการตรวจเหล่านั้น

            เหตุผลที่ต้องมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเพิ่มเติม ก็เพราะการติดตามผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อในเขตเมืองมีความยุ่งยากมากกว่าในชนบท

            ในเขตเมืองไม่มีระบบสาธารณสุขมูลฐาน (Primary  Health Care) ดังที่มีอยู่ในชนบท

            และชุมชนเมืองหลายแห่งมีลักษณะความเป็นอยู่แบบชุมชนแออัด ทำให้ชุมชนเมืองมีโอกาสสูงที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ ดังที่เกิดแล้วในอำเภอเมืองสมุทรสาครในระลอกสอง และในชุมชนคลองเตยของ กทม.ในระลอกสาม

            ขณะที่พื้นที่ชนบทมีระบบสาธารณสุขมูลฐานที่เข้มแข็ง และมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)  นับล้านคนที่เป็นกำลังสำคัญ

            ทำให้ไทยสามารถควบคุมการระบาดของโรคต่างๆ  ในอดีต รวมทั้งการระบาดของโควิดในรอบแรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            ข้อมูลจากแพทย์ชนบทยืนยันว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดและลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชนบทได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ก็เนื่องจากความสามารถในจัดการเรื่อง TTI ได้อย่างมีประสิทธิภาพอันเกิดจากระบบสาธารณสุขมูลฐานและ อสม.

            แต่ในทางตรงข้าม การที่ลักษณะที่อยู่อาศัยของคนเมืองแตกต่างจากชนบท ไม่ว่าจะเป็นชุมชนแออัด  คอนโดมิเนียม ตลาดสด สถานบันเทิง ล้วนส่งผลให้การควบคุมการระบาดโควิด-19 ทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตามตรวจสอบผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่กระจัดกระจายอยู่ในวงกว้างทั่วทั้งกรุงเทพฯ

            ความเสี่ยงที่ตามมาคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการกลายเป็นพาหะของโควิด-19

            ยิ่งกว่านั้นคนหนุ่มสาวในเมืองมีแนวโน้มการเดินทางและเคลื่อนย้ายสูง ทุกครั้งที่คนเหล่านี้เดินทางกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด หรือไปเที่ยว ก็จะเป็นพาหะพาเชื้อไวรัสไปติดสมาชิกครอบครัวและญาติพี่น้องในต่างจังหวัด เหมือนกับการระบาดไวรัสที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา

            ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นจะต้องมี “นวัตกรรมเสาะหาตัวผู้ติดเชื้อเชิงรุก” เพื่อตัดโอกาสที่จะเกิดการระบาดโควิด-19  รอบใหม่

            ประสบการณ์การทำงานด้านการเสาะหาตัวผู้ติดเชื้อเชิงรุกของแพทย์ชนบทในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัดสงขลา จังหวัดน่าน และจังหวัดสมุทรสาคร ชี้ให้เห็นว่า ทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือการระดมสรรพกำลังบุคลาการทางการแพทย์จากจังหวัดหรืออำเภอที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนน้อยหรือไม่มีการระบาดของโควิด-19  มาช่วยทำงานด้านการเสาะหาตัวผู้ติดเชื้อเชิงรุกในกรุงเทพฯ หรือเมืองที่มีการระบาดใหญ่

            โดยการแบ่งบุคลากรเหล่านี้ออกเป็นกลุ่มอย่างน้อย  200 กลุ่ม เพื่อสอบสวนผู้ติดเชื้อและประวัติการติดต่อสัมผัสกับผู้ใกล้ชิด จากนั้นจึงแยกย้ายกันติดตามตัวผู้มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อมาตรวจสอบ กักตัว รวมทั้งฉีดวัคซีน

            นอกจากนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่การสอบสวนโรคอย่างทันการณ์เมื่อสถานการณ์การระบาดเปลี่ยนแปลงไป

            หากรัฐบาลสามารถเร่งดำเนินการดังที่เสนอ นอกจากเราจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ภายในเวลาหนึ่งถึงสองเดือนแล้ว ยังจะเป็นการป้องกันมิให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            (พรุ่งนี้: ต้องแยกผู้ป่วยผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัว)

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/102438

 

เช็คให้ชัวร์วิธี 'ป้องกันโควิด-19' อย่าเชื่อ 6 เรื่องเข้าใจผิด!

คนไทยต้องรู้เท่าทันข่าวปลอม ที่เผยแพร่เกี่ยวกับวิธี "ป้องกันโควิด-19" มีอะไรบ้าง? และหาคำตอบว่าความจริงเป็นอย่างไร?

ยิ่งโรคระบาดใกล้ตัวกับเรามากเท่าไหร่ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ก็ยิ่งไหลบ่าเข้ามามากเท่านั้น และสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงหนีไม่พ้นข่าวปลอมที่สร้างความสับสนให้แก่ประชาชน เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจแบบถูกต้อง กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ จึงรวบรวมข่าวปลอมหรือความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับการ "ป้องกันโควิด-19" มาให้รู้เท่าทัน พร้อมเฉลยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง 

 

  • 1. ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำขิงมากๆ จะช่วยต้านโควิด-19

จากการส่งต่อข้อมูลเรื่องการรับประทานเครื่องดื่มสมุนไพร น้ำขิง และน้ำกระชายผสมน้ำผึ้งมะนาว ซึ่งระบุสรรพคุณว่า น้ำสมุนไพรของตนนั้นช่วยต้านโควิด-19 ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ได้

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ชี้แจ้งว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ น้ำขิง และน้ำกระชายผสมน้ำผึ้งมะนาว สามารถต้านโควิด-19 ได้ รวมถึงน้ำสมุนไพรดังกล่าวไม่สามารถดีท็อกซ์ลำไส้ได้ ดังนั้น ควรระมัดระวังการสื่อสารสู่สาธารณะที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ อย่างไรก็ดีสมุนไพรดังกล่าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่สามารถนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นเพื่อบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ไอ เจ็บคอได้

  • 2. กินโซดามิ้นท์

ช่วงปี 2563 ประเด็นเรื่องโซดามิ้นท์ ถูกพูดถึงในโลกโซเชียลว่ามีสรรพคุณบรรเทา และรักษาอาการโควิดได้ ทั้งนี้ในเวลาต่อมาก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาให้ความรู้ว่า ความเชื่อนั้นเป็นเรื่องไม่จริง 

โซดามิ้นท์ (SODAMINT) คือยาลดกรดชนิดหนึ่ง ใช้บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก อาหารไม่ย่อย และ ใช้ในคนไข้โรคไต

รศ. ดร. เจษฎา อาจารย์ประจำภาควิชา ชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ให้ข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊ค อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ระบุว่า อันนี้เป็นความเข้าใจผิดๆ ตามความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องอาหารด่าง น้ำด่าง ที่ว่าถ้าร่างกายเรามีความเป็นด่าง จะสามารถสู้กับโรคไวรัสได้ ถ้าเป็นกรด ก็ติดเชื้อง่าย จึงให้ไปกินพวกยาที่ทำออกฤทธิ์เป็นด่าง

ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ได้มีประโยชน์แบบที่ว่าเลย  ค่า pH หรือกรดด่างของเลือดในร่างกายเรา มีค่าค่อนข้างคงที่ ที่เป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งปรับสมดุลโดยอัตราการหายใจของร่างกาย ไม่ใช่จากอาหารที่กินเข้าไป ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องพยายามเอาด่างเข้าร่างกายเหมือนที่อ้างกัน

เช่นเดียวกับ รศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่า โซดามินต์ มันไม่ใช่ยาที่ปลอดภัย 100% ควรจะให้แพทย์เป็นผู้ดูแลและเป็นผู้จ่ายยาให้เท่านั้น

  • 3. ยืนตากแดดสามารถฆ่าเชื้อได้ 

ประเด็นการตากแดดสามารถฆ่าโควิด-19 นั้นถูกส่งต่อกันในโซเชียลมีเดีย โดยมีรายละเอียดดังนี้ “ยืนตากแดด วันละ 20 นาทีช่วยฆ่าเชื้อ โควิด-19 ได้” 

ทั้งนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ออกมายืนยันอีกรอบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ

กรมควบคุมโรค ยืนยันว่า กรณีชวนเชื่อเคล็ดลับฆ่าเชื้อโควิด-19 โดยระบุว่าให้แสงแดดชโลมทั่วตัววันละ 20 นาทีทุกวัน (หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้) แสงแดดจะไปเสริมภูมิคุ้มกันฆ่าเชื้อโควิด-19 ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าการยืนตากแดดนั้นสามารถฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ โดยเชื้อไวรัสตระกูลโควิด-19 นั้นสามารถทนทานต่อความร้อนได้ถึง 90 องศา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความร้อนจากแสงแดดนั้น มีความร้อนไม่ถึง 90 องศาแน่นอน

โดยระบุเพิ่มเติมว่ามีข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้า พบว่าไวรัสชนิดนี้จะตายเมื่อโดนความร้อนที่อุณหภูมิ 56 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานต่อเนื่อง 30 นาที ซึ่งแสงแดดไม่สามารถทำให้เกิดความร้อนในระดับนี้ได้

อีกทั้งผิวหนังของมนุษย์ก็ไม่สามารถทนทานต่อความร้อนและแสงแดดได้นานเช่นกัน ดังนั้น การตากแดดหรืออาบแดดจึงไม่สามารถรักษาและฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ โดยความร้อนจากแสงแดดนั้น มีไม่ถึง 90 องศาแน่นอน

  • 4. ยาจีนเหลียนฮัวชิงเหวินแคปซูลรักษาโควิด-19

สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ชี้แจ้งว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นการโฆษณาสรรพคุณเกินจริง ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถรักษาโควิด-19 ได้ โดยผลิตภัณฑ์นี้ได้รับอนุมัติทะเบียนตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร จาก อย. ว่ามีสรรพคุณ “ช่วยขจัดพิษ ลดไข้ บรรเทาอาการหวัด ได้แก่ ไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย คัดจมูก ไอ น้ำมูก เจ็บคอ” เท่านั้น

  • 5. เชื้อแพร่กระจายผ่านอากาศได้ (airborne)

กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา จะแพร่ผ่านละอองเสมหะ (droplets) ไม่ใช่การแพร่กระจายทางอากาศ (airborne) ซึ่งผู้รับเชื้อต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ไอ จาม ในระยะน้อยกว่า 90 ซม. และต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เข้าทางเยื่อปาก จมูก ตา 

  •  6. กลั้นหายใจตรวจการติดเชื้อที่ปอดด้วยตัวเอง  

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เปิดเผยว่า ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ทางการแพทย์ว่าสามารถใช้วิธีดังกล่าวเพื่อตรวจสอบการติดเชื้อที่ปอดด้วยตนเองได้ ซึ่งปกติแล้วการตรวจปอดมีการอักเสบจากการติดเชื้อหรือไม่นั้น จะต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยโรคด้วยการฟังเสียงปอด ร่วมกับการเอกซเรย์ปอด เพื่อดูว่ามีฝ้าขาวผิดปกติไหม 

 

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/937134?anf=

 

 
หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เตือนไทยระวังโควิดกลายพันธุ์จากประเทศอินเดีย เข้ามาใกล้ไทยแล้ว เผยพบวัคซีนไฟเซอร์ก็อาจเอาไม่อยู่ หลังคนอิสราเอลฉีดครบ 2 เข็ม แต่ก็ยังติดโควิดได้

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เพจ “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “อย่างที่เคยคุยกันครับ ไตรมาส 3/4 อาจต้องฉีดใหม่อิสราเอล ฉีด Pfizer ไปทั้งประเทศแล้ว ยังเจอติดสายพันธุ์ อินเดีย Cr ข่าว รวบรวมและเขียนจาก อ เฉลิมชัยทั้งหมดครับ น่ากังวล !! อิสราเอลพบผู้ฉีดวัคซีน Pfizer ยังติดโควิดสายพันธุ์อินเดียได้รวดเดียว 4 ราย จากการที่ประเทศอิสราเอล เป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลก ในการที่สามารถจัดหาวัคซีนและเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน

ซึ่งมีจำนวนพลเมืองทั้งสิ้น 9.19 ล้านคนได้สำเร็จจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ กล่าวคือ สามารถฉีดวัคซีนให้กับ คนอิสราเอลครบสองเข็มได้ 5.41 ล้านคน คิดเป็น 58.7 เปอร์เซ็นต์ และฉีดวัคซีน รวมนับคนที่ได้เข็มเดียวด้วย ได้มากถึง 62.4% ทำให้สถานการณ์ของประเทศอิสราเอล ซึ่งใช้วิธีผ่อนหนักผ่อนเบามาโดยตลอด เพื่อหล่อเลี้ยงให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้แลกกับการที่ระบบสาธารณสุขต้องรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมาก จนประเทศอิสราเอลมีผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับที่ 29 ของโลก คือ ติดเชื้อ 838,407 คน คิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของจำนวนพลเมือง และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 6362 คน

เมื่อมีวัคซีนเกิดขึ้น ทางการอิสราเอลจึงต้องจัดซื้อจัดหาโดยเร่งด่วน โดยยอมรับเงื่อนไขสองประการ คือ
1) จัดซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าราคาตลาดค่อนข้างมาก
2) ต้องยอมรับเงื่อนไขของบริษัทไฟเซอร์ ในการทำการวิจัยทดลองขนาดใหญ่กับคนอิสราเอล อันหมายรวมถึงการทดลองฉีดในเด็กอายุห้าขวบขึ้นไปด้วยลังจากที่ทางการอิสราเอลสบายใจมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากการเร่งระดมฉีดวัคซีนจำนวนมาก ถึงขั้นมีการประกาศให้ผู้ที่อยู่นอกบ้าน สามารถถอดหน้ากากได้นั้นดูเหมือนความดีใจจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว เพราะเมื่อวานนี้ (29 เมษายน 2564) กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลได้รายงานการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617) จำนวน 41 รายเป็นคนต่างชาติ 21 ราย

คนอิสราเอลที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 3 ราย ในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีเด็กมากถึง 5 ราย แต่ที่สร้างความวิตกกังวลให้กับรัฐบาลอิสราเอลมาก ก็คือ ในรายที่ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียดังกล่าว มีอยู่ถึง 4 รายด้วยกัน ที่ได้ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์แล้ว ประเด็นดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะทางการอิสราเอลคาดหวังว่า เมื่อฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ครบสองเข็ม จนได้ภูมิต้านทานหมู่แล้ว น่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ดีตามปกติ ทั้งการทำมาหากิน การผ่อนคลายวิถีชีวิต และการท่องเที่ยว การนำเข้าส่งออก แต่แล้วก็มาพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดีย ซึ่งถ้าทำให้ติดเชื้อเฉพาะคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าสามารถฝ่าด่านคนที่ฉีดวัคซีนมาแล้ว ทำให้ติดเชื้อได้ ก็ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
การแถลงดังกล่าวเกิดขึ้น ในวันเดียวกับที่ผู้บริหารของบริษัทไบโอเอ็นเทค (BioNTech) ซึ่งร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ (PfizerBioNTech) กล่าวถึงความมั่นใจว่า วัคซีนของไฟเซอร์จะสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียได้ เพียงแต่ขอรอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อน แต่ในวันนี้ (30 เมษายน 2564) ห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ทางการอิสราเอลก็รายงานว่า วัคซีนที่ฉีดให้สี่คนนั้น ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียไปแล้ว และยังมีข่าวเพิ่มเติมอีกว่าทางการเวียดนาม ก็ตรวจพบผู้ติดไวรัสสายพันธุ์อินเดียอีกด้วย นั่นหมายความว่า ประเทศเพื่อนบ้านของไทย คือ อินเดีย นับเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางทิศตะวันตก มีบังกลาเทศและเมียนมากั้นอยู่ กับประเทศเวียดนามทางด้านตะวันออก ซึ่งมีลาวและเขมรกั้นอยู่ ได้พบไวรัสสายพันธุ์อินเดียเรียบร้อยแล้ว ไทยจึงจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้เราเร่งฉีดวัคซีนจนครบในสิ้นปีนี้ได้ แต่ถ้ามีไวรัสกลายพันธุ์ที่วัคซีนเอาไม่อยู่ ก็จะเป็นปัญหาต่อไป”
 
 

 "ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

 

เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เข็มแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ นักแสดงรุ่นใหญ่ "ตั๊ก มยุรา" ที่ไปรับการฉีดวัคซีน พร้อมกับ สามีสุดเลิฟ "หนุ่ย ธาดา เศวตศิลา" ที่โรงพยาบาล บำรุงราษฎร์ เมื่อวานที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา

 

โดย “ตั๊ก มยุรา” ได้โพสต์ภาพการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมเขียนข้อความว่า “เรียบร้อยค่ะ สำหรับการฉีดวัคซีน เข็มแรก AstraZeneca ของเราสองคนในวันนี้ ราบรื่นดีมาก ขอบคุณโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กับการดูแล และ บริหารการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆค่า เบื้องต้นยังไงมีอาการ รอดูคืนนี้จ้า”

"ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

"ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

ล่าสุดวันนี้ (9 มิถุนายน 64) “ตั๊ก มยุรา” ได้โพสต์คลิป เล่าถึงอาการข้างเคียง หลังจากฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 มาได้ 1 คืน โดย “ตั๊ก มยุรา” บอกว่า “เมื่อวานฉีดตอนบ่าย 2 โมง ทุกอย่างราบรื่นเรียบร้อยดีกลับมาบ้านก็พยายามไม่ทำอะไร ขยับแขนขยับขา มันมีอาการหาวบ้างนิดหน่อย แต่สามีจะมีอาการตึงๆ ที่ศีรษะนิดหน่อย แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้ก็ไม่ได้ถือว่ามาก

 

"ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

แล้วหลังจากนั้นเราก็เข้านอนกันปกติ แต่ก่อนนอนทานยาพาราดักไว้เลยหนึ่งเม็ด หลังจากนั้นตื่นขึ้นมาก็โอเคคุณหนุ่ยแข็งแรงไม่เป็นอะไร ตัวพี่ตั๊กเองก็โอเค ตื่นเช้ามาก็ทานยาพาราอีกหนึ่งเม็ด ทุกอย่างปกติดี แขนข้างที่ฉีดก็ไม่ได้รู้สึกปวด อาจจะมีตุ่ยๆ เป็นเรื่องปกติของการฉีดวัคซีน แต่ว่าเราก็ขยับแขนได้เป็นปกติ แต่อยากจะบอกว่าขอให้ฉีดเถอะค่ะ

"ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

ตอนนี้วัยนี้กำลังไล่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้าหมดแล้ว ไม่ได้มีผลอะไรถ้าคุณเตรียมตัวอย่างดี เช่น เขาบอกว่า งดกาแฟ ชา ต้องงดจริงๆ บางคนอาจจะไม่มีวินัย แอบบ้าง และ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

พอตื่นมาวันนั้นรับประทานน้ำลิตรถึงลิตรครึ่ง ขวดใหญ่ทานเลยเต็มที่ แล้วพร้อมที่จะไปฉีดวัคซีน ทำแค่นี้ก็น่าจะโอเคเพราะตัวเองเตรียมตัวแบบนี้แล้วทุกอย่างก็ราบรื่น ตื่นเช้ามาก็โอเคยังไม่มีอาการอะไร เดี๋ยวจะรอคืนนี้ดูอีกวันถ้ามีอาการอะไรจะมาแชร์ แต่ฉีดเถอะค่ะ อยากให้ฉีดเราจะได้ปลอดภัยไปด้วยกัน” 

"ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

"ตั๊ก มยุรา" อัปเดตอาการ หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มแรก

 

 ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/ent/469844?adz=

 

คนไทยอยากฉีด-พร้อมจ่าย "หมอบุญ" ปิดจ๊อบจอง "วัคซีนโมเดอร์นา" เฉียด 5 ล้านโดส

 

คนไทยอยากฉีด-พร้อมจ่าย "หมอบุญ" ปิดจ๊อบจอง "วัคซีนโมเดอร์นา" เฉียด 5 ล้านโดส

 

จากกรณี สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ประชุมมีมติกำหนดราคากลางค่าบริการวัคซีนทางเลือก “โมเดอร์นา” ที่จะจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในราคาเข็มละ 1,900 บาท หรือครบ 2 โดส จำนวน 2 เข็ม ราคา 3,800 บาท เป็นราคารวมค่าวัคซีนและค่าบริการของโรงพยาบาลแล้ว เบื้องต้นสมาคมโรงพยาบาลเอกชนกำหนดราคาให้บริการสำหรับประชาชนที่ประสงค์ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ในอัตราเดียวกันทุกโรงพยาบาล 

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ได้เผยว่า "วันนี้ดีใจที่คนไทยอยากฉีดวัคซีน เพราะนอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ หลังจากที่เปิดให้ลงทะเบียนแสดงความจำนงในการจองฉีดวัคซีน"โมเดอร์นา"ไป พบว่า 3 วันมีคนมาลงทะเบียนกว่า 1.5 ล้านคน ทำให้ต้องปิดรับลงทะเบียน นอกจากนี้ยังมีองค์กรต่างๆ ที่ต้องการฉีดวัคซีนให้กับพนักงาน บุคลากรอีกกว่า 3 ล้านคนที่ลงชื่อสั่งจองไว้ แสดงให้เห็นว่า คนที่อยากฉีดวัคซีนและพร้อมที่จะจ่ายเงินเองมีอยู่จำนวนมาก" 

ดังนั้น รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้มีวัคซีนทางเลือกหลากหลายยี่ห้อ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงตามความพึงพอใจของประชาชน และรัฐบาลเองควรเอาวัคซีนหลัก ที่ฉีดให้ฟรีไปฉีดให้บริการกับประชาชนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน มีความเสี่ยง และต้องพบปะผู้คน เช่น พนักงานขับรถสาธารณะ ชุมชน หรือผู้ที่มีกำลังซื้อต่ำ และมีความเสี่ยงสูงก่อน เพื่อให้ได้ครอบคลุมให้ได้มากที่สุด“โรงงานหรือบริษัทต่างๆ ไม่มีใครอยากให้พนักงานติดเชื้อ เพราะติด 10-20 คน ต้องหยุดงานทั้งโรงงาน ส่งผลกระทบสูง และหากจะฉีดวัคซีนก็ต้องรอคิวยาวถึงสิ้นเดือนเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง กลุ่มนี้จึงมีความพร้อมและมีกำลังที่จะจ่ายเงินเองหากมีวัคซีนทางเลือก”

ด้านแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการที่ส.อ.ท. สั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์ม จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่นำเข้ามาเป็นวัคซีนตัวเลือกให้กับองค์กรใหญ่ในการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรจำนวน 3 แสนโดส นั้น ล่าสุดจากการประชุมร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พบว่า วัคซีนซิโนฟาร์มจะถูกส่งมาถึงในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ โดยมีค่าใช้จ่าย 1,800 บาทต่อ 2 โดส ยังไม่รวมค่าบริการฉีด โดยค่าบริการจะขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่ทำการฉีดให้ ทั้งนี้เบื้องต้น โรงพยาบาลที่ทำการฉีดให้ อยู่ระหว่างการประสานงาน อาทิ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์, โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้นทั้งนี้สมาชิกส.อ.ท. ที่ลงชื่อจองไว้ในเฟส 1-3 และชำระเงินก่อนภายในวันที่ 11 มิ.ย. จะได้รับการฉีดวัคซีนทันในล็อตแรกที่ส่งเข้ามาจำนวน 3 แสนโดส แต่หากเกินจำนวนดังกล่าวสามารถติดต่อขอรับเงินคืน หรือจะรอล็อตใหม่ก็ได้จากการสอบถามไปยังราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปราคาค่าบริการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มแต่อย่างใด ซึ่งราชวิทยาลัยฯจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเร็วๆนี้อย่างไรก็ดี โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งที่เปิดให้ลงทะเบียนแสดงความจำนงในการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาจำนวนมาก ซึ่งการจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ จะต้องผ่านความเห็นชอบจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขก่อน โดยได้กำหนดวัคซีนโควิด-19 ที่จะโฆษณาต้องได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยา และได้รับอนุมัติให้โฆษณาจากสำนักงานอาหารและยา รวมถึงสถานพยาบาลนั้นๆ และการเรียกเก็บเงินมัดจำหรือค่าใช้จ่าย หากไม่สามารถดำเนินการได้จะต้องคืนเต็มจำนวน เป็นต้น

ขอบคุณที่มา ฐานเศรษฐกิจ

 ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/469836?adz=