Font Size

รอบบ้านเราตอนนี้หนักมาก Malaysia เพิ่งประกาศทำ National Lockdown เวียดนามยังไม่จบ เขมรยังหนักมาก เมียนมาที่ตัวเลขสับสน ไต้หวันครั้งนี้ก็โดนหนักแต่น่าจะจบ มีความน่ากังวลบางอย่างใน UK และที่ US แนวโน้มค่อนข้างดีครับ

ผมทำสรุปตัวเลขและกราฟต่างๆมาให้ดูครับ มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างครับ

Malaysia:
อยู่ใน Wave#3 ที่หนักหน่วงซึ่งต่อเนื่องมากจาก Wave#2 แบบไม่ได้พักมายาวนานกว่า 7 เดือนแล้ว Local Lockdown ไปหลายรอบมาก แต่ที่สุดแล้ว ก็ควบคุมไม่ได้ ตัวเลขติดเชื้อ New High วันนี้ที่ 9,020 ก็ต้องตัดสินใจ Lockdown ทั่วประเทศตั้งแต่ 1 มิ.ย. แนวโน้มจากนี้ไปยังไม่ชัดต้องติดตามครับ แต่โอกาสแตะหลักล้านสูงมากครับ และสาธารณสุขของมาเลย์ก็เอาไม่อยู่แล้ว ตอน Wave#2 ตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันสูงสุด 25 คน แต่วันนี้ผู้เสียชีวิตรายวันก็สูงสุดเป็นสถิติกว่า 98 ราย และไม่น่าจะหยุดแค่นี้ครับ

มาเลย์เซียเป็นตัวอย่างของแชมป์เก่า ที่ไม่เด็ดขาด ก็เลยเจ็บนาน และเจ็บหนักมากครับ

Cambodia:
จบ Wave#1 เล็กๆที่ 470 กว่า จนกระทั่งโดน Wave#2 ขนาดใหญ่กว่าระดับ 100 เท่า เริ่มเมื่อกลางก.พ.ผ่านไป 3 เดือนแล้วก็ยังปิดไม่ลง วันนี้ 29,404 แนวโน้มกราฟ %Increase แม้จะค่อยๆลดลง แต่ปัญหาคือ มี Time Constant ที่ยาวนานถึง 27.5 วัน และสวิงมาก บ่งบอกขัดเจนว่า 1. ตรวจเชื้อน้อยเกินไป 2. การ์ดตกกันทั้งประเทศ ดูไม่ยากครับคนไทยที่กลับเข้ามาติดเชื้อเยอะมากผิดปกติ

ระบบสาธารณสุขที่นี่ไม่เพียงพอ ไม่น่าจะจบง่ายๆ แรงงานต่างด้าวและการลักลอบชายแดนจะเป็นปัญหาให้ไทยและเวียดนามไปอีกยาวนาน น่าจะจนกว่าจะเกิด Herd Immunity ในปีหน้าเลยครับ

Myanmar:
ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเป็นต้นมา กราฟและตัวเลขต่างๆไม่มีทรงที่ชัดเจน ผมเชื่อว่าระบบสาธารณสุขของเขา ไม่อยู่ในสภาวะปกติแล้ว ตัวเลขที่ดูน้อยเหล่านี้คือปัญหาใหญ่ เพราะทำให้ผู้ประกอบการไทยประมาทและนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาใช้งานจำนวนมาก เราพบ Cluster แรงงานเมียนมาในจังหวัดชายแดนและใกล้เคียงอยู่ตลอด และตอนนี้ก็ระเบิดออกมาเป็น Cluster โรงงาน ไซต์ก่อสร้าง ในที่ต่างๆร่วมกับแรงงานเขมร

ที่เมียนมา ผมคิดว่าไม่มีวันจบแน่นอน ปัญหาการลักลอบผ่านชายแดนจะทำให้เราและมาเลเซียเจ็บไปอีกนาน

Vietnam:
โดน Wave#1, #2, #3 ก็เอาอยู่ทั้งหมดจบรวมกันที่ 2,550 แต่ตั้งแต่ 29 เม.ย. ก็โดนจู่โจมโดยสายพันธุ์อังกฤษและอินเดียและเกิดลูกผสม British-India ระเบิดเป็น Wave#4 ซึ่งมาแบบ Surprise หนักมาก เปิดมาแค่ 7 วันกระโดดไป 200 ผ่านมาไม่ถึงเดือนตัวเลขไปที่ 4,000 และเพิ่งเกิด Cluster โรงงานขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่กราฟของ %Increase บอกเราว่า เวียดนามยังเอาอยู่ครับ Time Constant ยังดีมากที่ 9.1 ซึ่งถ้าถ้าไม่การ์ดตกใน 1.5 เดือนข้างหน้า น่าจะจบได้ที่ 7,000

Taiwan:
จบ Wave#1 ที่ระดับแค่ 400 จากนั้นก็มีติดเชื้อน้อยมาก มีแต่ Import Case จนกระทั่งโดนจู่โจมด้วย British Variant เกิด Wave#2 ขนาดใหญ่แบบรวดเร็วและรุนแรง เมื่อ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา ไต้หวันพยายามคุมแบบเบาๆและ Hitech ที่เคยทำสำเร็จ แต่ครั้งนี้เอาไม่อยู่ต้องประกาศใช้วิธีเข้มงวดตั้งแต่เมื่อ 19 พ.ค. ซึ่งตอนนี้แนวโน้มเอาอยู่ กราฟ %Increase วิ่งตาม Time Constant ที่ 9.1 น่าจะไปจบที่ประมาณ 14,000 ช่วงกลางเดือนก.ค. ไต้หวันคงพยายามลง Zero New Case แน่นอน และน่าจะทำได้ถ้าไม่พลาดท่าเสียที

ความน่ากังวลจากสถานการณ์รอบบ้าน:
สถานการณ์ที่ เวียดนาม ไต้หวัน กัมพูชา รวมทั้งไทยด้วย บอกเราค่อนข้างชัดเจนถึงความรุนแรงของไวรัสกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์อังกฤษครับ
และอยากจะเตือนว่า มองโกเลียที่แทบไม่โดนอะไรเลยตลอดปี 2020 จนถึง Q1 2021 ก็แตกแล้วนะครับ วันนี้ไป 57,000 แล้ว ถ้าไต้หวันแตกได้ มองโกเลียแตกได้ จีนก็ประมาทไม่ได้เลยนะครับ ถ้าจีนแตกอีกรอบเศรษฐกิจกระทบเราหนักแน่ครับ

ความน่ากังวลที่ UK:
กราฟ %Increase ของ UK กำลังส่งสัญญาณการเข้า Wave#4 ชัดเจนมากครับ 1 เดือนแล้วที่กราฟไม่ลงต่อ และกำลังเชิดขึ้น น่ากังวลมากเพราะที่นี่ฉีดวัคซีนไปแล้วมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสายพันธุ์ที่กำลังจู่โจมคือสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 ตอนนี้รัฐบาลอังกฤษตื่นตัวแล้ว และคงต้องจับตามองอย่างยิ่งครับ สถานการณ์ที่อังกฤษจะสร้างบทสรุปให้เรารู้ว่า เราต้องฉีดวัคซีน AZ มากแค่ไหนในประชากรจึงจะเกิด Herd Immunity กับสายพันธุ์อินเดียได้

ความหวังที่ US:
วันนี้เป็นวันแรกที่มีเพียง State เดียวใน US คือ New York ที่รายงานตัวเลขเกิน 1,000 และเกินนิดเดียว แนวโน้ม US กราฟเป็นขาลงต่อเนื่อง ไม่มีติด Trap ที่ใดเลย น่าจะลงถึงระดับ 0.01% ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า และด้วยความที่ฉีดวัคซีนไปเยอะมากแล้ว ผมคิดว่าสงครามที่นี่น่าจะยุติแล้วครับ ยกเว้นว่า ไวรัสกลายพันธุ์จะดุกว่าที่เราคิดอย่างมาก
...................

กราฟประเทศไทย:
ต้องบอกว่าข่าวร้ายจริงๆครับ กราฟ %Increase ยังไม่ลงไปไหนเลย หลังจากโดนสารพัด Cluster จากสงกรานต์ มาต่อชุมชนเมืองและออฟฟิศ บวกด้วยเรือนจำ ตอนนี้ก็วนกลับมาที่แรงงานต่างด้าวอีกครั้ง เราติดอยู่ที่กับดัก %Increase แถวๆ 3-5% โดยมีกราฟลดลงบ้างแต่ค่า Time Constant ยาวนานถึง 59 วัน ซึ่งแย่มากๆ ตัวเลขนี้คือช้าและยาวนานเกินกว่าจะจบครับ โดยทั่วไปจะเกิด Wave ถัดไปก่อนแน่นอน ไม่มีประเทศใดในโลกยกการ์ดสูงได้นานระดับ 3-4 เดือน เรายกมา 2 เดือนจนเมื่อยกันมากแล้ว เดือนหน้าเดือนถัดไป ผมว่า ความเสี่ยงสูงมากครับ วัคซีนดูแล้วคงทันและช่วยได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น

สิ้นเดือนก.ค. ตอนนี้ตัวเลขประเทศไทยแนวโน้มอยู่ที่ Total 240,000 แล้วยังไปต่อครับ

กราฟกทม.:
กทม.ตัวเลขและกราฟทรงตัว ยังไม่ไปไหนไกล ยังไม่ดีขึ้นเพียงพอ กราฟหลุดจากกับดัก %Increase ที่ 5% มาได้แค่นิดเดียว ตัวเลขยังคงอยู่ที่ราวๆ 2% ซึ่งยังน่ากังวลมาก เพราะสูงพอที่พร้อมจะระเบิด Cluster ใหม่เรื่อยๆครับ แนวโน้มตัวเลขตอนนี้ถ้ายังพอยันได้ สิ้นก.ค.น่าจะเพิ่มอีก 20,000 กว่าคนไปอยู่แถวๆ Total 60,000 ไม่รวมปริมณฑล ซึ่งก็ยังมีอีกมากให้น่าหนักใจครับ

เราไม่มีทางเปิดเทอมที่กทม.และปริมณฑลได้ภายในเร็วๆนี้ สิ้นก.ค. ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในกทม.อย่างดีก็น่าจะแถวๆ 400 คนครับ
ความหวังเดียวคือฉีดวัคซีนในกทม.ให้ได้ 4-5 ล้านคนในเดือนหน้า ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากครับ

คำแนะนำสำหรับ 1 เดือนข้างหน้า:
1. ไปฉีดวัคซีนให้ได้ ตัวไหนก็ได้ครับ แล้วท่านจะมีภูมิในเดือนก.ค. ส.ค. ซึ่งอาจเกิด Wave#4
2. รัฐบาลต้องหาวัคซีนมาให้ได้มากกว่านี้อีกมาก
3. กทม. WFH กันต่อไปสำหรับคนที่ยังไหว และธุรกิจที่ยังพอไหวก็ขอให้ WFH ครับ เลี่ยงสถานที่ติดแอร์กันต่อไป
4. โรงงาน และไซต์ก่อสร้าง ขอให้หยุดใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทันที ตรวจเชื้อคนงานทุกคน พม่า เขมรไม่จบง่ายๆหรอกครับ ถ้าต้องปิดโรงงานท่านจะเสียหายยิ่งกว่าค่าตรวจค่าดูแลคนงานเยอะครับ วัคซีนเดือนหน้าไม่ทันหรอกครับ
5. จังหวัดสีขาว จังหวัดสีเขียวเลขตัวเดียว ขอให้เปิดเทอมอย่างระมัดระวัง
6. จังหวัดที่ตัวเลข 0 หรือตัวเลขน้อย กักตัว 14 วันทุกคนที่มาจาก กทม.ปริมณฑล และจังหวัดที่มีโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าว ไปอีก 2-3 เดือน
7. ฝ่ายความมั่นคง ชายแดนจะเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายไปจนถึงสิ้นปี จนกว่าเราจะเกิด Herd Immunity จากการฉีดวัคซีนมากพอครับ
8. ผู้สูงอายุ ขอให้เพิ่มความระมัดระวัง ผมคิดว่าเดือนหน้า คนหนุ่มสาวน่าจะเริ่มการ์ดตกกันหนักมากขึ้นครับ

ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า สถานการณ์ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ และมีโอกาสที่อะไรจะแย่ลงไปได้อีกทุกเมื่อ และน่าจะต้องสู้กันยาวถึงสิ้นปี ณ จุดนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า วัคซีน นี่คืออาวุธเดียวที่จะทำให้เราจบสงครามนี้ได้ครับ ส่วนระหว่างที่อาวุธหนักยังไม่มา พวกเราแต่ละคนก็ต้องใช้อาวุธเบาคือ Social Distancing, Stay Home, WFH คนละไม้คนละมือตามสภาพ ทุกคนต้องช่วยกันซื้อเวลาให้ได้ยาวนานที่สุดครับ ขออย่างเพิ่งถอดใจ อย่าเพิ่งยอมแพ้ครับ อีกไม่กี่เดือนมันก็จะจบแล้วครับ แม้ว่าช่วงใกล้จบมันอาจจะ Peak หน่อย แต่มันจบแน่ๆครับ
ขอให้ทุกท่าน ครอบครัวและคนที่ท่านรักสุขภาพแข็งแรงครับ