22 พ.ค.63 - ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาดังนี้
บอกอนาคต


โควิด-19 : WHO สถานการณ์ยังน่าห่วง จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลกทะลุ 1 แสนคนในวันเดียว
ถ้าผู้ป่วยคือคนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการหนัก 10%ของทั้งหมด ต้องให้ออกซิเจน 5% ใช้เครื่องช่วยหายใจ อีก5% จะมีผู้รับเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือเข้าไม่ถึงแพทย์อีก90% ถ้ามีผู้ป่วยรายใหม่หนึ่งแสนในวันเดียว   แปลว่ามีผู้รับเชื้อที่ไม่แสดงอาการอีก 900000 คนในวันเดียว  จำนวนผู้ปล่อยเชื้อจึงมากกว่าที่เข้าใจกัน ที่น่ากลัวคือ ในบางพื้นที่คนอาจปล่อยเชื้อ ทำtransmissionกันเอง ระหว่างคนที่แข็งแรง ไม่แสดงอาการด้วยกันยาวนาน  เอาว่าทุกหกวันผู้รับเชื้อจะเพิ่มเท่าตัว จู่ๆก็ป่วยหนักทั้งเมือง แบบนิวยอร์ก บราซิเลีย มิลาน

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เราใช้สูตรว่า พบคนป่วยหนึ่งคน จะมีคนที่เราหาตัวไม่พบ30คน พบคนตาย1คน จะมีคนติดเชื้อ 800 คนที่เราไม่พบ สูตรของUCL ของน้อง นีล เฟอร์กูสัน ดีนะที่คนไทยช่วยกันล้วงควักข้อมูลมาแต่เดือนกุมภา เราไม่เชื่อว่าค่า Ro 2,1 เราเจอว่าค่าตั้ง4.4 ถึง6.6
และประชากรโลกจะถูกโจมตี80%ของทั้งหมดจึงจะเลิกรากัน วันนี้ นึกภาพที่คนที่ติดเชื้อเมื่อวานล้านคน กำลังปล่อยเชื้อ ถ้าไม่คุม หนึ่งคนแพร่เชื้อให้คนได้ 406คนในหนึ่งเดือนจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมหาศาล หนึ่งล้านคน สร้างได้อีก 406ล้านคนในหนึ่งเดือน สิบสองเดือนก็จะร่วม4000 ล้าน
เวฟสองจะมาแน่ ปีนี้ปีหน้าจะน่ากลัวครับ คิดเลขก็รู้ ถ้ามันจะจบไวก็เพราะแนวนี้แหละ

อิอิ หลอกกันนี่หว่า เรารู้ แต่ประเทศส่วนใหญ่ไม่รู้
ไม่มีเพจลับแบบของเรา
มีอะไรที่น่าค้นหาในเพจนี้เยอะจ้า ตลกแต่เอาจริง เอาจริงๆ
ศึกนี้อีกยาว
ชงกาแฟกินดีกว่า
สวัสดีตอนเช้านะครับ
อาบน้ำวันละหกครั้งนะ อากาศมันร้อน สระผมซะด้วย
จุ๊บๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/66588

19 พ.ค.63- เพจ Covid-19 Thailand FACT Today ระบุถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนโควิด-19 ว่า ข่าวดี ที่คนทั้งโลก รอคอย ลุ้นโลกมีวัคซีนในมกราฯ 64 

(Moderna) บริษัทด้านไบโอเทคของสหรัฐพบค้นพบวัคซีน ที่สามารถสร้างสารภูมิต้านทาน หรือแอนติบอดี ที่ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

โดยจากผลการทดลองในเบื้องต้น ซึ่งทางบริษัทโมเดอร์นา ร่วมกับพันธมิตร สถาบันสุขภาพแห่งชาติ พัฒนาวัคซีนนี้ขึ้น

ดร.ทัล แซคส์ ประธานเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของโมเดอร์นา กล่าวว่า หากอนาคต ผลการศึกษาเป็นไปด้วยดี วัคซีนของบริษัทอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ประชาชนใช้ป้องกันไวรัสมรณะเร็วสุดในเดือนมกราคมนี้

แซคส์ กล่าวว่า นี้เป็นข่าวดีที่สุด และเป็นข่าวที่คิดว่าหลายคนรอมาสักระยะหนึ่งแล้ว ข้อมูลเบื้องต้นนี้มาจากการทดลองทางคลินิกระยะแรก ซึ่งได้ทำการศึกษาประชาชนจำนวนหนึ่ง และมุ่นเน้นว่าวัคซีนจะมีความปลอดภัย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือไม่ ผลของการศึกษา ซึ่งนำโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ได้มีการตรวจสอบ หรือพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารการแพทย์

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า บริษัทโมเดอร์นา ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็น 1 ใน 8 บริษัททั่วโลกที่ทำการทดลองทางคลินิก ใช้วัคซีนต่อต้านไวรัสโควิด-19 ในคน ส่วนอีก 2 บริษัท คือไฟเซอร์ และอิโนวิโอ บริษัทผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐเช่นกัน และอีกหนึ่งบริษัทอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในอังกฤษ และอีก 4 บริษัทอยู่ในจีน

โมเดอร์นาให้วัคซีนกับอาสาสมัครหลายสิบคนที่เข้าร่วมการศึกษา และตรวจพบแอนติบอดี หรือสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันใน 8 คน โดยทั้ง 8 คน พัฒนาแอนติบาดีลบล้างฤทธิ์ไวรัส ถึงระดับหรือเกินระดับที่เคยพบเห็นในคนที่หายป่วยจากโควิด-19 โดยธรรมชาติ

ซึ่งทำให้ไวรัสไม่สมารถเข้าไปติดเชื้อในเซลส์มนุษย์ได้ ส่วนการทดลองครั้งใหญ่กว่าเพื่อดูว่า วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสได้อย่างแท้จริงหรือไม่ คาดว่าจะเริ่มได้ในเดือนกรกฎาคม

แซคส์ กล่าวว่า เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การสร้างแอนติบอดีเหล่านี้ ซึ่งเป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน สามารถต่อต้านไวรัสได้อย่างแท้จริง

เป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างมากในการเดินทางไกลไปสู่การผลิตวัคซี ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของบริษัทโมเดอร์นา กล่าวว่า ผลการทดลองของบริษัท ถือว่ายอดเยี่ยม

ทั้งนี้ งานพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีประมาณ 80 กลุ่มจากทั่วโลกที่กำลังเร่งพัฒนาวัคซีนอยู่ในขณะนี้ ส่วนบริษัทโมเดอร์นา เป็นบริษัทแรกที่ทำการทดลองวัคซีน ที่เรียกว่า mRNA-1273 ในคน

ข้อมูล :
https://www.nytimes.com/…/…/coronavirus-vaccine-moderna.html

#Thailandfacttodayล

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/66327

❗Please share❗

Dr Anthony Fauci, head of the US CDC, said,

50% of deaths in the United States occur in haircuts.
The biggest danger comes from the barber shop itself.

The most dangerous Corona outbreak is from barber shops.

The barber wipes the nose of at least 4 to 5 people with the same towel.

Haircut towel, haircut razor,
Haircut brushes are used by many people.

The barber is in contact with many people,
If we come in contact with an infected patient, the ticket will definitely be infected.

Before the virus has completely disappeared,
We don't even think of going to the salon to get a haircut.
Even if the situation returns to normal,
The threat remains.
This danger will last for a long time.

Don’t rush for a haircut 💇‍♂️ M/F
on 12may.

Stay safe Stay healthy

... no haircut until zero cases to be sure lor. Save money also. 🤣🤣🤣

 

โรคติดต่อไวรัสโควิค -19 เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียปีที่แล้วก่อนที่จะระบาดในเมืองอู่ฮั่น ผลการผ่าชันสูตรศพแสดงให้เห็นว่าสาเหตุการตายคือไวรัสโควิค-19 ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกวินิจฉัยอย่างผิดๆว่าตายเพราะไข้หวัดใหญ่ ผู้ตายเหล่านี้ไม่เคยเดินทางออกจากสหรัฐ อเมริกาเป็นผู้ปกปิดแหล่งกำเนิดของไวรัส
ตามรายงานของสื่อในสหรัฐ ผู้ว่าแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ออกคำสั่งที่สำคัญนี้ให้ชันสูตรศพผู้ตายด้วยไข้หวัดใหญ่ในเดือนธันวาคม ปี 2019 ในรัฐของเขา
จุดประสงค์เพื่อชี้ชัดว่าไวรัสโควิคเริ่มปรากฎในรัฐแคลิฟอร์เมื่อไหร่
ในที่ประชุมนักข่าว Nelson กล่าวถึงเหตุผลที่เริ่มงานนี้เพื่อที่จะเจาะลึกหาความจริงว่าไวรัสโควิคเริ่มมีอิทธิพลต่อชาวเมืองแคลิฟอร์เนียเมื่อไหร่ นี่มีความสำคัญต่อหลักฐานทางการแพทย์
Nelson กล่าวว่า ไม่เพียงแต่จะดำเนินการในแคลิฟอร์เนียเท่านั้น แต่จะตรวจที่รัฐอื่นๆด้วย แคลิฟอร์เนียเป็นเพียงผู้เริ่มต้น รัฐอื่นๆก็ควรจะค้นหาความจริงโดยไม่ปิดบังเช่นกัน
เมื่อสองวันที่แล้ว กรมอนามัยที่ Santa Clara ในแคลิฟอร์เนียได้ทำการชันสูตร 3 ศพ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจัดอยู่ในจำพวกตายด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ พวกเขาตายวันที่ 6 และ 17 กุมพาพันธ์ และ 6 มีนาคมตามลำดับ ผลของการชันสูตรศพทั้ง 3 นี้แสดงว่า แท้จริงแล้วตายจากการติดเชื้อโควิค
ตามรายงานของสื่อในสหรัฐ ชาวแคลิฟอร์เนียทั้ง 3 คนนี้ไม่เคยเดินทางไปประเทศจีนเลย
การตายของพวกเขาเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ผลสรุปทำให้ทรั้มป์ตกใจที่คนตายเพราะติดเชื้อจากในอเมริกาเอง
หลังจากที่กรมอนามัยได้ประกาศผลออกมา นายกเทศมนตรีแคลิฟอร์เนียได้สั่งการให้เข้าไปไต่สวนเรื่องนี้อย่างละเอียด
เจ้าหน้าที่ของกรมอนามัยใน Santa Clara กล่าวว่า 3 ศพนี้เป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ยังมีการตายอีกมากมายที่ถูกจัดว่าตายด้วยไข้หวัดใหญ่ แท้จริงแล้วตายด้วยโรคโควิค
ข่าวนี้สะเทือนไปทั่วทั้งอเมริกาและทั่วโลก เพราะก่อนหน้านี้ทรั้มป์พยายามให้ร้ายจีนโดยการเรียกโรคโควิคว่าโรคไวรัสจีน และสร้างภาพลวงว่าโรคโควิคกำเนิดจากจีน เพื่อที่จะกดดันจีน
การชันสูตรศพได้แสดงถึงโรคโควิคได้แพร่กระจายอยู่ในสหรัฐก่อนหน้านี้ รัฐบาลทรั้มป์ไม่ยอมรับ และพยายามปกปิดด้วยวิธีการต่างๆ
หลังจากทรั้มป์ให้ร้ายจีนไม่สำเร็จ เขาก็หันไปเอาเรื่องกรมอนามัยโลกโดยการยุติเงินสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม ทรั้มป์ไม่เพียงแต่ล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย แท้จริงแล้วเขากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง
เมื่อเร็วๆนี้ โรคโควิคถูกพบบนเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐด้วย ในเมื่อเรือล่องอยู่บนทะเลลึกเป็นเดือนๆยังมีคนติดเชื้อไวรัส จึงสรุปได้ว่าเชื้อโรคถูกแพร่กระจายจากพื้นดินสู่บนเรือ ไม่ใช่จากประเทศอื่น
ลูกเรือในเรือดำน้ำก็ติดโรคโควิดหลายคน ในเมื่อเรือดำน้ำดำอยู่ในทะเลเป็นร้อยวัน ลูกเรือย่อมติดเชื้อได้จากบนฝั่งเท่านั้น
เหตุการณ์ดังกล่าวชี้ชัดว่าโรคโควิคแท้จริงแล้วระบาดก่อนหน้าที่จะมาตรวจพบที่จีนเสียอีกหากทรั้มป์ไม่พยายามปกปิดมัน
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าโรคโควิดมีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐมากกว่าจากจีน
ทำไมตอนนี้สหรัฐถึงต้องการชันสูตศพผู้ตายเพราะโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นเพราะในขณะนี้ ทรั้มป์และคณะบริหารของเขาพยายามปกปิดความจริงโดยการโยนความผิดให้จีนเพื่อบิดบังความไร้สามารถของตนจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชาวอเมริกัน
ในตอนแรก คณะบริหารของทรั้มป์ปฏิเสธที่จะให้วิเคราะห์คนไข้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อโควิค เพื่อจะได้ไม่มีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ แต่โชคร้าย โรคโควิดแพร่กระจายเสมือนไฟลามทุ่งสุดจะปกปิดได้ ผลสุดท้ายก็ต้องออกมาเริ่มตรวจแบบไม่เต็มใจด้วยจำนวนอันน้อยนิด ถ้าอุปกรณ์ตรวจเพียงพอ จะพบผู้ติดเชื้อจำนวนน่าตกใจ ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจอเมริกาจนต้องปิดเมือง ทรั้มป์ในฐานะประธานาธิบดีจะถูกวิจารณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อน โอกาสที่เขาจะได้รับเลือกตั้งให้อยู่ในตำแหน่งต่อก็จะพังไปด้วย นั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามจะชะลอการตรวจหาเชื้อโควิคคนในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในสหรัฐได้เปลี่ยนไป หลายๆรัฐแสดงความไม่พอใจวิธีจัดการกับโรคระบาดของทรั้มป์และรัฐบาลส่วนกลาง พวกเขารู้สึกว่าทรัมป์ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ ซึ่งใครบางคนต้องรับผิดชอบ ผู้ว่าการรัฐไม่อยากจะถูกตำหนิ อันเป็นผลมาจากการมองข้ามและการปกปิดของทรัมป์ ทรัมป์จะเป็นคนเดียวที่ต้องให้คำตอบ
อย่างไรก็ตามทรัมป์ก็มีกลุ่มผู้สนับสนุนที่ประท้วงบนท้องถนนที่คัดค้านคำสั่งกักบริเวณ แต่ก็มีชาวอเมริกันจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ซึ่งโทษว่าเขาจัดการกับโรคระบาดครั้งใหญ่ที่แย่มากและมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจำนวนมาก พวกเขาประท้วงโดยการเอาถุงใส่ศพจำนวนมากไปไว้หน้าทรัมป์พลาซ่า
ตอนนี้มีสองรัฐในสหรัฐฯที่เป็นผู้นำในการต่อต้านทรัมป์ หนึ่งในนั้นคือรัฐนิวยอร์กซึ่ง Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐระบุว่าได้ทำการทดสอบผู้ป่วยแล้วว่าติดเชื้อมากกว่า 2,500,000 ราย คำพูดของเขาสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศและทำให้เกิดความอับอายอย่างมากต่อประธานาธิบดีทรัมป์
อีกรัฐของสหรัฐอเมริกาคือรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ผู้ว่าการรัฐได้ขู่หลายครั้งว่าหากทรัมป์ไม่สนับสนุน แคลิฟอร์เนียอาจซื้อเวชภัณฑ์อย่างอิสระดังเช่นประเทศอื่น คำสั่งการชันสูตรศพของ Newsom เกี่ยวกับเหยื่อของการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ถือเป็นความท้าทายโดยตรงต่อทรัมป์ซึ่งเป็นการเปิดเผยการโกหกของทรัมป์ต่อประชาชนชาวอเมริกัน

วันหนึ่งนักประวัติศาสตร์จะเขียนว่า Covid-19 มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งการโกหกและการปกปิดของทรัมป์ทำให้เกิดการเสียชีวิตของชาวอเมริกันนับหมื่นชีวิต

 


15 พ.ค.63-ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan มีเนื้อหาดังนี้
โควิด 19 วัคซีนวัณโรค BCG เมื่อแรกเกิด ป้องกันโรคได้จริงหรือ
มีการพูดกันมากว่า คนทางแถบเอเชียได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรคแรกเกิด ติดเชื้อ โควิด 19 น้อยกว่าคนทางยุโรป ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรคเมื่อแรกเกิด
จึงมีข้อสมมติฐานว่า วัคซีนBCG ป้องกันวัณโรค   ช่วยป้องกันการติดเชื้อ โควิด 19
จากการศึกษาที่อิสราเอล เป็นประเทศที่ให้วัคซีน BCG ในเด็กแรกเกิด มาจนถึงปี 1982 หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการให้อีก
เมื่อเปรียบเทียบประชากรย้อนขึ้นไป 3 ปี กับประชากรลงมา 3 ปี  คือประชากรที่เกิดก่อนและหลังปี 1982 เมื่อเปรียบเทียบอายุแล้วจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
 และดูอัตราการติดเชื้อ โควิด 19 พบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีน BCG  ติดเชื้อ โควิด-19 11.7%
ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน BCG  ติดเชื้อ โควิด-19 จำนวน 10.4%
และมีความรุนแรงเสียชีวิตกลุ่มละ 1 คน
จากข้อมูลดังกล่าว ได้ลบล้างความเชื่อที่ว่า
การให้วัคซีน BCG เมื่อแรกเกิดอย่างที่ประเทศไทยที่ให้กับทารกแรกเกิด
ไม่มีผลในการป้องกัน โควิด 19

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65973

 

13 พ.ค.2563 - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาว่า ที่มีคนโวยวายว่า ก็ต้องกินข้าวโต๊ะเดียวกันในร้านอาหารได้สิ หลังจากเปิดผ่อนคลายให้กินข้าวในร้านอาหารได้

คนไทยนี้อ้างเหตุผลว่า นโยบาย คำสั่งของรัฐบาลงี่เง่า ก็มารถคันเดียวกัน 4-5 คน เบียดกันมา ทำไมจะกินข้าวโต๊ะเดียวกันไม่ได้ จะเป็นอะไรไป ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน

ผมขออธิบายว่า ที่รัฐบาลสั่งนั้นถูกต้องแล้วตามหลักการทางระบาดวิทยาในการป้องกันการแพร่เชื้อโรค

ประการแรก ตอนนั่งรถมาใส่หน้ากากอนามัยกันมาบนรถ ไม่ได้ถอดหน้ากากอนามัยออกเหมือนตอนนั่งกินข้าวในร้าน

ประการสอง ที่พูดคุยกันในรถ ก็ไม่ได้เปิดหน้ากากอนามัย แต่มากินข้าวที่ร้าน ถอดหน้ากากอนามัยออกก่อนกิน (ไม่งั้นจะกินได้ไง) และตอนกินตอนเคี้ยว ฝอยละอองน้ำลายกระเด็นกันไปเท่าไหร่ แพร่เชื้อกันไปขนาดไหน ก็ต้องไปลองคิดดู

ประการสาม มีเคสที่เกิดการติดเชื้อจากการกินสุกี้ยากี้ต้มเดือดๆ หม้อเดียวกัน ร้อนๆ เชื้อโควิด-19 ตายหมด อ้าวฝอยละอองน้ำลายตอนอ้าปากเคี้ยว มันไม่ได้ลงหม้อสุกี้ยากี้เดือดๆ ทุกละอองฝอยสักหน่อยหนาออเจ้า ยังหายใจรดกันอีกตอนสุมหัวลวกสุกี้ยากี้ เคสนี้ที่ร่วมหม้อสุกี้ยากี้กัน ปรากฏว่าติดโควิดกันหมด

ผมขอยืนยันว่า เวลากินให้แยกโต๊ะกินกันโต๊ะละคนถูกหลักการแล้ว แม้จะไม่ถูกใจ แต่ระงับป้องกันการแพร่เชื้อได้ อ้อ ในรถเป็นพื้นที่ส่วนตัวจะทำอะไรก็ทำไป แต่ในร้านอาหารมีคนอื่นนั่งกินด้วยเป็นพื้นที่สาธารณะ เข้าใจคำว่าพื้นที่สาธารณะไหม?

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65783

 

  

13 พ.ค.2563- ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “โควิด 19 มองโลกในแง่ดี” ระบุว่า โควิด 19ทำให้ประเทศไทยเกิดนักวิจัยมากมาย ในอนาคตเราอาจมีนักวิจัยมากที่สุดในโลกก็ได้ 

ผมได้รับโทรศัพท์เกือบทุกวัน มีสิ่งของอยากให้มาทดลอง ตั้งแต่การกรองเชื้อ จนถึงยาฆ่าเชื้อ โควิด 19
ก็นึกอยู่ว่าจะทำให้ประเทศไทย มีนักวิจัย นักประดิษฐ์คิดค้นมากมาย

 

เคยได้รับโทรศัพท์ตอน 3.00 น ผมคิดว่ามีเรื่องด่วน บอกว่านั่งสมาธิ พบเห็นสมุนไพร แล้วเลยรีบโทรมา เพื่อให้ทดลอง ถ้าไม่รีบโทรมาคงกลัวจะลืม 

เมื่อวานนี้ก็มีอีก โทรมาบอกว่าพบสูตรตำรายาป้องกันโรค โควิด 19 และตนได้กินไปแล้ว เชื่อว่าในเลือดจะมีภูมิต้านทาน จะขอมาบริจาคพลาสมาเอาไว้รักษาให้กับคนอื่น มีคนขอทดลอง อาหารที่กินขึ้นจมูกของญี่ปุ่น เชื่อว่ารักษา โควิด 19

ผมเองก็เกรงกลัวว่า จะเหมือนอินเดีย ที่เภสัชกรคิดค้นยารักษา โควิด 19 แล้วให้กับตนเองและภรรยา ผลลัพธ์คือเสียชีวิตทั้งคู่ ยังมีอีกมากมาย ที่นักวิจัยของเรา ฝันเกินความเป็นจริง ทำได้ 1 สลึง แต่ขอคุยไว้ 1 บาทก่อน เช่นจะได้ยา x ในเวลา 4 ปี 

ในยามว่างแบบนี้ มีคนมีแนวคิดมากมาย ถ้าให้ดี เวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะ กับการค้นหาความรู้ใส่ตัว ปัจจุบันความรู้หาได้ง่ายมาก เพราะอยู่ในก้อนเมฆ ไม่ใช่ความรู้มาจากความฝัน ขอให้ search ถ้าไม่รู้ ก็ search หรือ re-search และถ้ายังไม่รู้อีก ค่อยเอา “-” ออก เป็น research หรือวิจัยจึงจะได้สิ่งใหม่ องค์ความรู้ใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65782

 

 

Covid#25 “Education is the process of turning cocksure stupidity into thoughtful uncertainty” K.G. Johnson

สิ่งที่เราทำนายเกี่ยวกับโรคโควิด19 มีโอกาสผิดแค่ไหน มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ไหม
ต้องอธิบายก่อนครับว่า แพทย์ไม่เคยมั่นใจอะไรร้อยเปอร์เซนต์หรอกครับ ถ้ามั่นใจ 98-99% ก็ต้องพูดว่า 100% ไม่งั้นคนไข้งงแย่ ความจริงถ้าอะไรบางอย่างมีโอกาสถูกมากกว่า 95% ก็ต้องถือว่ามั่นใจแล้ว

แนวคิดเรื่อง Herd immunity มีโอกาสผิดไหม คำตอบคือ น้อยมาก แนวคิดนี้ใช้มานับร้อยปี มีรากฐานหนาแน่น และใช้คณิตศาสตร์ไม่ซับซ้อน

แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของการระบาดมีโอกาสผิดมากกว่า ขึ้นกับว่าใช้มันอย่างไร ถ้าสนใจเพียงเฉพาะลักษณะทั่วไปของการระบาด เช่น รูปร่างของกราฟแสดงจำนวนผู้ป่วยเท่านั้น แบบจำลองจะไม่ค่อยผิด แต่ถ้าสนใจว่าจำนวนผู้ป่วยถูกต้องไหม จะมีโอกาสผิดมาก เพราะการจำลองทางคณิตศาสตร์ให้ถูกต้อง ต้องรวบรวมปัจจัยต่างๆเป็นตัวเลขที่ถูกต้องได้ทั้งหมด

สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดเกี่ยวกับแบบจำลองในประเทศไทย คือ เรามีจำนวนผู้ป่วยน้อยเกินคาด ทำไมเราจึงไม่มีผู้ป่วยมากเหมือนประเทศในยุโรป หรืออเมริกา

คำถามนี้มีความสำคัญมาก เวลาทำสงครามกับศัตรูที่กล้าแข็ง ถ้าเราชนะการรบเอาง่ายเกินคาด ก็ควรกังวลใจ

คำอธิบายที่กล่าวกันมากที่สุด คือการแพทย์และสาธารณสุขของเราดีมาก เรื่องนี้ไม่มีใครเถียงแน่นอน แต่คำอธิบายนี้มีข้อควรกังวลอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือ เราดีกว่าประเทศอย่างเยอรมันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ และข้อสองคือ ประเทศข้างๆเราเช่น ลาว เขมร พม่า ก็ดูเหมือนไม่มีผู้ป่วยมากสักเท่าไร แม้แต่อินเดียก็มีผู้ป่วยไม่มากเทียบกับประชากรพันล้าน

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ก็พยายามขบปัญหานี้
สมมติฐานแรก คือ ประเทศเหล่านี้ส่วนมากมีการฉีดวัคซีนวัณโรค และวัคซีนวัณโรคช่วยลดความรุนแรงของโรคและทำให้เชื้อแพร่ได้น้อยลง ตอนนี้ก็มีการทดลองกันอยู่ คนไทยอายุต่ำกว่า 50 ปี ฉีดวัคซีนวัณโรคมาแล้วเกือบทุกคน ถ้าทฤษฎีนี้จริงก็ต้องเรียกว่า เราโชคดีมาก

สมมติฐานที่สอง คือ ประเทศเหล่านี้มีอากาศร้อนกว่าซึ่งเชื้อทนไม่ค่อยได้ ซึ่งมีหลักฐานการทดลองสนับสนุนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจกันว่า มันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ บางคนแย้งว่า ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินศ์ก็ร้อนเหมือนกัน แต่การทดลองแสดงว่า ถ้าความชื้นสูง เช่นใกล้ทะเล เชื้อจะทนได้ดีกว่ามาก
ถ้าเรื่องนี้สำคัญ เราจะเดือดร้อนมากขึ้นเมื่ออากาศค่อยๆเย็นลงและฝนตกนับจากเดือนพฤษภาคมไป

สมมติฐานที่สาม คือประเทศเหล่านี้มีเชื้อโรคเพ่นพ่านอยู่มาก อาจมีการระบาดของเชื้อโคโรน่าอื่นที่ไม่ก่อโรครุนแรงอยู่เก่า ทำให้คนมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้วบางส่วน สมมติฐานนี้ยังไม่สามารถหาหลักฐานสนับสนุนได้

การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่ได้มีการนำสมมติฐานทั้งสามมาเกี่ยวข้องด้วย แต่ทั้งสามเรื่องไม่น่ามีผลต่อ herd immunity
ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์
2 พฤษภาคม เวลา 13:13 น.

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65713

 

 
‘โควิด-19 กลายพันธุ์’ อุปสรรคร้ายต่อ 'พัฒนาวัคซีนต้านไวรัส'
 

นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ ลอส อลาโมส (แอลเอเอ็นแอล) หนึ่งในห้องปฏิบัติการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก สังกัดกระทรวงพลังงานสหรัฐ เปิดเผยว่า  ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อกว่า 4 เดือนที่แล้ว ได้กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ติดต่อได้ไวขึ้นและกำลังระบาดหนักในสหรัฐ

ผลการศึกษาชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการแห่งชาติ ลอส อลาโมส ความยาว 33 หน้า ได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ bioRxiv(ไบโออาร์ไคฟ) คลังเอกสารวิชาการออนไลน์ด้านชีววิทยา ระบุว่าไวรัสโคโรน่าที่กลายพันธุ์เริ่มการแพร่ระบาดในยุโรปช่วงต้นเดือน ก.พ.  ก่อนที่จะลุกลามไปยังภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐ แคนาดา และได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่พบในหลายประเทศทั่วโลกภายในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

นักวิจัยกำลังจับตาว่า ไวรัสชนิดนี้จะอ่อนกำลังลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น  ในช่วงฤดูร้อนเหมือนกับไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เกิดโรคหวัดตามฤดูกาลหรือไม่ หรือจะกลายพันธุ์ต่อไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ทำให้เกิดข้อจำกัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19ที่ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนากันอยู่ เนื่องจากนักวิจัยวัคซีนส่วนหนึ่งใช้ลำดับพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่าในช่วงแรก ๆ ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดตั้งต้น เพื่อประโยชน์ด้านการพัฒนาวัคซีน

เบตต์ คอร์เบอร์ นักชีววิทยาของแอลเอเอ็นแอล  ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานผลการศึกษากล่าวว่า  แม้เรื่องนี้จะเป็นข่าวเชิงลบก็อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะทีมนักวิจัยแอลเอเอ็นแอล ได้เก็บบันทึกข้อมูลการกลายพันธุ์นี้ไว้หมดแล้ว  รวมทั้งผลของการกลายพันธุ์ที่มีต่อการแพร่ระบาด และความร่วมมือระหว่างบรรดานักวิจัยในห้องปฏิบัติการของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้มีการศึกษา ติดตาม และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับลำดับพันธุกรรมใหม่ของไวรัสชนิดนี้ ได้อย่างรวดเร็ว และเท่าที่จะเป็นไปได้

มีรายงานว่า เมื่อต้นเดือน มี.ค. นักวิจัยของจีนก็ออกมาระบุว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดอยู่ ถูกตรวจพบว่ามี 2 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ในการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งและสถาบันปาสเตอร์ในเซี่ยงไฮ้ เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ชี้ว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ติดต่อได้รวดเร็วขึ้นนั้น  มีสัดส่วนราว 70% ของทั้งหมดที่ถูกนำมาวิจัย และเป็นสายพันธุ์ที่ออกอาการรุนแรงทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต พบมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดใหม่ ๆ ในเมืองอู่ฮั่น

อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยของแอลเอเอ็นแอล ได้ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดยุค และมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์จากประเทศอังกฤษ ทำการวิเคราะห์วิจัยลำดับพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่าอีกหลายพันสายพันธุ์ และจนถึงขณะนี้พบว่า มี14 สายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์  ซึ่งมีผลต่อสไปค์โปรตีน (spike protein) ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัสและเป็นกลไกที่นำพาไวรัสเข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์และแนวทางที่นำไปสู่การพัฒนาวัคซีนให้เกิดขึ้นในเร็วนี้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/879396