12 ส.ค.2563 -  นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “โควิด 19 ความหลากหลายทางพันธุกรรม กับ การกลายพันธุ์” ระบุว่า อยากจะทำความเข้าใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปโหนกระแส 

ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Polymorphism) ในส่วนของ DNA และ RNA เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการ เช่นในมนุษย์ ทำให้เกิด สูง ต่ำ ดำขาว ผิวขาว ผิวสี ผิวแบบคนเอเชีย โดยที่ทุกคนก็ยังเป็นคน ทำนองเดียวกัน เชื้อโควิด ก็มีการวิวัฒนาการเกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม เป็นสายพันธุ์ต่างๆ เป็นสายพันธุ์ S, L, V, G โดยบทบาทใหญ่ก็ยังเป็นเชื้อโควิด ทั้งด้านความรุนแรงและระบบภูมิต้านทานก็ยังคงเหมือนเดิม
การกลายพันธุ์ (Mutation) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือ DNA RNA ทำให้ มีลักษณะแตกต่างจากเดิม ทำให้การทำงาน การแสดงออก หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่นไข้หวัดนก H5 เดิมอยู่ในนก นกส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่เมื่อมีการสอดแทรก RNA ในส่วน ของยีน H5 ทำให้เพิ่มการสร้างกรดอะมิโนที่เป็น Basic ในบริเวณจุดตัด cleavage site ทำให้ไวรัสคุกคามนกได้ง่าย และเกิดความรุนแรงในนก และยังมีโอกาสข้ามมายังคนได้ ดังในอดีตที่เราเจอปัญหา ไข้หวัดนก

 

ในทำนองเดียวกัน เชื้อโควิด-19 ขณะนี้ ยังเป็นความหลากหลายทางพันธุกรรม ตามวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงจากบรรพบุรุษ เป็นสายพันธุ์ต่างๆ และมีการแพร่กระจายออกไปทั่วโลก สายพันธุ์ G ระบาดมากและแพร่กระจายได้ง่าย ในยุโรปและอเมริกาเข้าสู่ตะวันออกกลาง จึงเป็นสายพันธุ์เด่นในขณะนี้เส้นทางกลับสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยก่อนหน้านี้พบๆสายพันธุ์เด่น เป็นสายพันธุ์ S 

นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยจากหลายแห่ง ที่เผยแพร่ในวารสาร ศึกษาวิจัย พบว่า สายพันธุ์ G แพร่กระจายได้ง่าย (Korber B et al Cell, 2020, Yurkovetskiy L et al, bioRxiv 2020, Zhang L et al BioRxiv 2020,) แต่โรคไม่ได้ทำให้โรครุนแรงขึ้น เปลี่ยนแปลงระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด

ความหลากหลายทางพันธุกรรม ยังมีประโยชน์ในการติดตาม แยกแยะ หรือ หาแหล่งที่มา เช่นในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคล ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งไวรัส

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/74179

บริษัทเครื่องประดับอิสราเอลได้รับคำสั่งซื้อให้ทำ “หน้ากากป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่แพงที่สุดในโลก” โดยจะเป็นหน้ากากทองคำที่ฝังด้วยเพชร

เศรษฐีลึกลับสั่งทำ “หน้ากากอนามัยที่แพงที่สุดในโลก” ราคาเกือบ 47 ล้านบาท

ไอเวล (Yvel) บริษัทเครื่องประดับอิสราเอลกำลังดำเนินการสร้าง “หน้ากากป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่แพงที่สุดในโลก” โดยจะเป็นหน้ากากทองคำที่ฝังด้วยเพชร สนนราคา 1.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 46.8 ล้านบาทไอแซ็ก เลวี (Isaac Levy) นักออกแบบเครื่องประดับ กล่าวว่า หน้ากากดังกล่าวจะเป็นหน้ากาก N99 ซึ่งมีประสิทธิภาพสุงกว่า N95 ทำจากทองคำขาว 18 กะรัต และประดับด้วยเพชรสีขาวและดำ 3,600 เม็ด ตามคำร้องขอของผู้สั่งซื้อเลวีกล่าวว่า ผู้ซื้อมีความต้องการอีก 2 ประการคือ หน้ากากนี้ต้องแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และอีกประการ คือจะต้องเป็นหน้ากากกันโควิด-19 ที่มีราคาที่แพงที่สุดในโลก โดยเงื่อนไขสุดท้ายนั้น เลวีบอกว่า “เป็นเรื่องง่ายที่สุด”เขาปฏิเสธที่จะระบุตัวผู้ซื้อว่าเป็นใคร แต่เบื้องต้นเปิดเผยว่า เป็นนักธุรกิจชาวจีนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาอย่างไรก็ตาม ด้วยน้ำหนัก 270 กรัม ซึ่งมากกว่าหน้ากากอนามัยทั่วไปเกือบ 100 เท่า ทำให้เลวีคาดว่า ผู้ซื้อไม่น่าจะนำมันไปใช้เป็นเครื่องประดับที่สวมใส่ได้จริง“เงินอาจจะไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่มันสามารถซื้อหน้ากากป้องกันโควิด-19 ที่แพงมาก และถ้าคน ๆ นั้นต้องการสวมมันและเดินไปรอบ ๆ เพื่อให้ได้รับความสนใจ เขาก็ควรจะมีความสุขกับสิ่งนั้น” เลวี่กล่าวหน้ากากที่ดู “โอ้อวด” เช่นนี้อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในช่วงเวลาที่ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกต้องออกจากงานหรือมีความทุกข์จากผลกระทบทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เลวีบอกว่า ขอบคุณสำหรับโอกาสนี้จากผู้ว่าจ้าง“ผมมีความสุข เพราะหน้ากากนี้ทำให้เรามีงานและรายได้สำหรับพนักงานของเรา ให้เราสามารถจัดสรรงานให้พวกเขาได้ในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างนี้” เขากล่าว
 
เศรษฐีลึกลับสั่งทำ “หน้ากากอนามัยที่แพงที่สุดในโลก” ราคาเกือบ 47 ล้านบาท
 
 
เรียบเรียงจาก AP

10 ส.ค. 63 - รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "สถานการณ์ทั่วโลก 10 สิงหาคม 2563 ติดเชื้อเพิ่มอีก 208,627 คน ตายเพิ่ม 4,449 คน ยอดรวมตอนนี้ 19,981,875 คน ช่วงสายๆ ของวันนี้จะทะลุ 20,000,000 คน

อเมริกา ติดเพิ่ม 46,266 คน รวม 5,192,022 คน ยอดผู้เสียชีวิตตอนนี้ 165,541 คน

 

บราซิล ติดเพิ่ม 23,010 คน รวม 3,035,422 คน เมื่อวานยอดเสียชีวิตทะลุ 100,000 คนไปแล้ว ทำให้บราซิลเป็นประเทศที่สองที่มีจำนวนคนตายเกินแสน รองจากอเมริกา

อินเดีย ติดเพิ่ม 62,117 คน รวม 2,214,137 คน

รัสเซีย ติดเพิ่ม 5,189 คน รวม 887,536 คน

แอฟริกาใต้ เม็กซิโก เปรู ติดกันเพิ่มอีก 6-7 พันกว่าคน

ในขณะที่สหราชอาณาจักร อิหร่าน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ติดกันหลักพันถึงหลายพัน เฉกเช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่สถานการณ์ดูระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ

น่าเป็นห่วงญี่ปุ่น ที่เริ่มมีกระแสปลุกระดมให้ไม่ใส่หน้ากาก และให้เชื่อว่า "COVID-19 เป็นหวัดธรรมดา"...หากทางการไม่สามารถคุมโรคได้โดยเร็ว อาจพบจำนวนผู้เสียชีวิตสูงขึ้นมากในเวลาอันใกล้นี้ เพราะเขาเป็นสังคมสูงอายุ และในระยะยาว มีแนวโน้มว่าหากวัคซีนมีประสิทธิภาพที่ไม่สูงมากนัก ก็อาจทำให้กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค หรือพื้นที่ดงโรคได้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวที่อาจแก้ไขได้ยาก

หลายประเทศในทวีปยุโรป ปากีสถาน แคนาดา สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มกันหลักร้อย

ส่วนจีน ฮ่องกง มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ติดเพิ่มกันหลักสิบ

...พรุ่งนี้รายงานอย่างเป็นทางการจะมียอดติดเชื้อทั่วโลกเกิน 20 ล้านคน...

หากเราลองฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคน ทุกคนมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยเรามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการระบาดซ้ำในไม่ช้านี้

ความเห็นดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า รัฐแง้มประตูประเทศให้มีการเดินทางของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากต่างประเทศเข้ามาได้

หากเปิดอ้าซ่า ไม่มีประเทศใดเลยที่รอดจากการระบาดซ้ำ และระลอกสองนั้นรุนแรงกว่าระลอกแรก คุมยากกว่า และก่อให้เกิดความเสียหายที่หนักหนา

รัฐ ศบค. และสมช. โปรดทบทวนเกณฑ์ของระยะที่ 5-6 เสียใหม่

หากท่านตามข่าว ท่านจะพบว่ามีการใช้เกณฑ์ที่ประกาศไปเพื่อนำเข้ากลุ่มชาวต่างชาติจำนวนมาก

บางเรื่องดูจะมีความจำเป็น เช่น แรงงาน

บางเรื่อง ไม่ใช่ความจำเป็น ไม่มีก็ไม่ตาย ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชนในประเทศ เช่น นักกีฬา นักวิ่งแข่งขัน นักฟุตบอล

บางเรื่อง อาจไม่ต้องนำเข้าและใช้คนไทยทำแทน หรือหากจะนำเข้าก็ควรมีรายละเอียดการคัดเลือกแหล่งที่มาให้ลดความเสี่ยงลงให้น้อยที่สุด เช่น ครูสอนภาษา เป็นต้น

โปรดคำนึงไว้เสมอว่า ทั่วโลกระบาดรุนแรง หลายต่อหลายประเทศมีอัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อสูงกว่าไทยหลายสิบเท่า

การนำเข้าแต่ละคน แต่ละครั้ง ล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดการหลุดรอดของผู้ติดเชื้อเข้ามาสู่ชุมชน และแพร่ระบาดได้ จึงต้องขันน็อต ระแวดระวังให้ดี

ประชาชนไทยก็ควรตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว และรักตัวเองรักครอบครัว ป้องกันตนเองเสมอ ใส่หน้ากาก...ล้างมือ...อยู่ห่างๆ คนอื่นหนึ่งเมตร พูดน้อยลง...พบปะคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร คอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว...หากไม่สบาย ให้หยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจรักษา".

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/73947


** สายพันธุ์ใหม่ของเวียตนาม **

---> โจมตีเร็วมาก

1 วันติดคนใน รพ. 11 คนรวด บุคลากรทางการแพทย์โดนในวันแรกติดเชื้อ 4 คนรวด (ติดได้แม้ใส่มาส์ก ?)

1 สัปดาห์กระจายไป 6 เมือง ติด 3 ทอด 230 คน

เป็นแบบ Superspreaders พบเป็น Clusters (เข้าเฟส 3 ในสัปดาห์เดียว)

---> ดูรุนแรงกว่าตัวแรกชัดเจน

ทำให้อาการแย่ลงไวกว่า

คนไข้ชุดแรก 1 สัปดาก์ก็ว่าเสียชีวิตรวดเดียว 8 คน

ฝากคนไทยช่วยกันประชาสัมพันธ์

ฝากทีมแพทย์อ่าน เริ่มวางแผนรองรับในกรณีเจอสายพันธุ์​ใหม่มาแบบไม่ตั้งตัว​ และประชาสัมพันธ์​ให้​ ปชข​ ทั้งประเทศไทย​ทราบล่วงหน้าด้วยครับ

ถ้าสายพันธุ์​ใหม่เข้าไทยได้​ อาจจะกระจายแบบน้องๆ​ สหรัฐ​ ยุโรป​ บราซิล​ อินเดีย​ หรือเอาแค่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็แสนกว่าคน กก็ไม่ต้องแปลกใจ ...

ภาวนาให้เวียตนามทุ่มสุดตัวเอาอยู่สำหรับตัวใหม่​ ที่แพร่อาจไวกว่าเดิมได้ถึง​ 6​ เท่าตัว

ฝาก​ "คนไทยครึ่งประเทศที่ยังยกการ์ดสูงอยู่" ช่วยกันเตือน​ "ศบค​ ให้ยกการ์ดสูง​ ๆ" และฝาก​ ศบค​ บอก "คนไทยอีกครึ่งประเทศที่แอบประมาทฝันกวานกับ​ 0​ ต่อเนื่อง" ให้รู้ตัวว่า​

เชื้อตัวใหม่จะเข้ามาเมื่อไหร่​ก็ได้ หรือเข้ามากับทหารอียิปต​์แล้วก็ไม่รู้​

ยกการ์ดสูง​กันด้วย​!

...........

วิเคราะห์เวียตนามโดนโจมตี เวอร์ชั่นแรก + วิเคราะห์อาเซียนโดยรวม

https://www.facebook.com/100912971593787/posts/176127364072347

วิเคราะห์เวียตนามโดนโจมตี (ฉบับย่อ​ Timeline​ 14​ วัน) อันตรายของสายพันธุ์ใหม่ และแนวทางการรับมือ​ ตามอ่านได้ที่โพสต์นี้ครับ

https://www.facebook.com/100912971593787/posts/176211877397229/

.

ข่าวด่วน​ ! ...

รบกวนเตือนญาติ​-เพื่อน ​

...สายพันธุ์​ใหม่ในเวียตนามระบาดเร็วมาก​กระจายไป​ 3 ทอด​ ติด​ 220​ กว่าคน​ ตายรวดเดียว​ 8​ คน​ แถมดูรุนแรงมาก​กว่าเก่า​

เพราะแค่ไม่กี่วัน​ แพร่ไปหลายจังหวัด ...


ไทยควรระวังต่างชาตินำเข้าเชื้อสายพันธุ์​ใหม่แบบเวียตนามโดนกันจะจะเห็นเห็นต่อหน้าต่อตา​ !!!

---> -​--> รัฐบาลเวียตนามเผยว่า​ เริ่มตาม​ผู้ติดเชื้อรุ่นใหม่ไม่ทัน​ เพราะสายพันธุ์​นี้กระจายไวมาก​ 1​ คนกระจายไป​ 5-6 คน​ (คล้ายในสหรัฐ​ ยุโรป​ บราซิล​ อินเดีย)

https://www.reuters.com/article/us-health-coronavirus-vietnam-idUSKBN24Y0CL

จากอาจารย์
นิธิ มหานนท์ :

ความจริง
ที่ไม่เหมือนเดิม

วันก่อนคุยกับลูกชายเรื่องโควิด 19 เขามีเพื่อนที่ทำธุรกิจถามมาว่าเมื่อไหร่ถึงจะกลับไปทำธุรกิจได้เหมือนก่อนที่จะมีโรคระบาดนี้มา

ผมค่อยๆอธิบายไป พอจบลูกชาย บอกว่าให้รีบเขียนและโพสต์ทันทีเพราะทุกคนควรเข้าใจด้วย 😬😬

😬😬 ก่อนหน้านี้ คิดจะเขียนเรื่องนี้มาสักสองสามอาทิตย์แล้ว แต่กลัวคนตื่นเต้นกันเกินเหตุเลยไม่ได้เล่าสู่กันฟังตั้งแต่ตอนนั้น
😊😊😊😊

ไวรัสชนิดนี้
เป็น RNA virus ครับ

เป็นกลุ่มที่หวังพึ่งวัคซีนไม่ได้มาก ที่เป็นข่าวกันให้ตื่นเต้นติดตามกันใกล้ชิด

ส่วนหนึ่งมาจาก
บริษัทยา
ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการเมือง

โหมข่าวเรื่องวัคซีนกันไปเพื่อหวังผลในสิ่งที่ตัวเองจะได้ประโยชน์ 😢😢😢

ไวรัสประเภทนี้กลายพันธุ์ง่ายกว่าไวรัสประเภทอื่น
(ถ้ามนุษยชาติโชคดีมันก็จะกลายพันธุ์ไปเป็นชนิดว่านอนสอนง่าย แต่ถ้าโชคไม่ดีนักมันก็กลายพันธุ์เป็นดุขึ้นท้าทายวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่อไป) มันเป็นประเภทเดียวกับไข้หวัดธรรมดา ที่ทุกคนเคยเป็นกันอยู่ตลอดปีตลอดชาติบ่อยบ้างห่างบ้าง ลองคิดง่ายๆครับว่า ถ้าทำวัคซีนได้ง่ายๆ ทำไมเราจึงไม่เคยมีวัคซีนป้องกันหวัดธรรมดา
และที่เป็นข่าวทำๆ กันอยู่ทดลองวัคซีนสำหรับโควิด 19 ตอนนี้ ไม่ว่าจะประเทศไหนบริษัทใด อย่างเก่งแค่ตรวจดูได้หลังฉีดว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้นไหม แต่ไม่เคยมีการออกแบบวิจัยให้เห็นผลในสัตว์ว่าวัคซีนจะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่
(ยิ่งในคนไม่ต้องพูดถึงเลยถึงจะมีการลองใช้ในคนแล้วก็ตาม)

อันนี้ต้องเข้าใจว่า การมีภูมิคุ้มกันไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันติดโรคได้ ยังยาวนานอีกหลายปี และถึงแม้จะพิสูจน์ได้ว่าป้องกันการติดเชื้อได้ แต่จะป้องกันไปได้นานแค่ไหนก็ยังไม่มีใครรู้😱😱😱😱😱
(เรากำลังเร่งขบวนการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคที่ปกติต้องใช้เวลา 5-6 ปี ให้สั้นเหลือไม่กี่เดือน!!!มันจะเป็นไปได้อย่างไร)

และยิ่งไปกว่านั้น ลองคิดดูว่าวัคซีนจะให้ดีแค่ไหนก็ป้องกันโรคได้ไม่เกิน 90% ป้องกันได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้
ถ้ามีคนจะเดินทางเข้ามาเมืองไทย 100 คนฉีดวัคซีนทุกคน จะรู้ได้อย่างไรว่าใครอยู่กลุ่ม 90 คนที่ป้องกันโรคได้แล้ว ไม่ใช่ อีก 10 คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 😓😓😓😓ยังไงๆก็ต้องมีการควบคุมดูแลในที่เฉพาะ 14 วัน(ซึ่งก็ไม่ได้การันตี100%)อยู่ดี การเดินทางไปมาหาสู่กันคงยากลำบากไม่อีกพัก จนกว่าเรามีการตรวจหาเชื้อในตัวคนได้ “เร็ว” “ไว (sensitive)สูง” และได้ทันทีที่คนได้รับเชื้อก่อนที่คนๆนั้นจะแสดงอาการ ที่สำคัญการตรวจนี้ต้องราคาถูก คนทั่วไปทำได้เอง ซึ่งผมคาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีทางเป็นไปได้ และเมื่อร่วมกับยาต้านไวรัสที่ดี......ก็ Happy ending ครับ😊😊😊😊

ดังนั้นเราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะ 5-6 ปี และในช่วงจากนี้ไปสถานการณ์คงค่อยๆปรับตัวดีขึ้น แต่คนที่หวังว่าทุกอย่างธุรกิจต่างๆจะกลับไปเหมือนเดิมอีกครึ่งปีหรือหนึ่งปีเพราะจะมีวัคซีนนั้น คงต้องเปลี่ยนความคิด ทุกคนทุกภาคส่วนต้องรีบออกแบบปรับรูปแบบธุรกิจ (business model) การทำมาหากินกันใหม่ล่ะครับ ตัวอย่างเช่นธุรกิจที่ต้องพึ่งพาอาศัย”คน”ต่างชาติและการท่องเที่ยวเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมทั้งการบ้านการเมืองที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค ต้องปรับคิดใหม่ทำใหม่อาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยจะดีกว่าที่จะเป็นจุดบาปจุดแพร่กระจายการระบาดแบบ super spreader ให้ประเทศเรา 🙏🙏🙏

ที่ผมว่าสถานการณ์อาจค่อยๆดีขึ้น เพราะความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลที่เคยเล่าไปแล้ว ผมคาดว่าอีกไม่นานคงมียาต้านไวรัสเฉพาะชนิดนี้ออกมา และที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราอยู่กับเจ้าเชื้อโรคตัวน้อยนิด 🦠 🦠 🦠 ตัวนี้ได้อย่างสบายๆ และอย่ากล่าวข้างต้นก็คือเราต้องมีวิธีตรวจที่ง่าย รู้ผลเร็ว ราคาถูก มีแพร่หลาย และคนทั่วไปสามารถทำเองได้เหมือนเทสต์ตรวจว่าผู้หญิงตั้งครรภ์หรือไม่น่ะครับ ถ้ามีการตรวจที่ไว (sensitive)มากกว่านี้ ใกล้ๆ 100% เมื่อคนๆหนึ่งได้รับเชื้อ เชื้อมันเข้าทางทางเดินหายใจ เราตรวจพบทันทีในวันที่ได้รับเชื้อ เมื่อรู้ผล ถ้ามียาก็ใช้ยาทันทีไม่ต้องรอให้มีอาการ(หรือปล่อยให้ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้) ถ้ายังไม่มียาก็กักกันตัวเองไม่ไปแพร่ให้คนรอบตัวที่เรารัก หรือแพร่ทำกรรมให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จัก😉😉😉

และในขณะที่สิ่งต่างๆที่จะช่วยให้เราอยู่กับเจ้าโควิดได้ กำลังค่อยทะยอยเกิดขึ้นมานั้นสิ่งที่ควรทำและพึ่งได้ดีที่สุดคือการป้องกันด้วยการ”อยู่อย่างสะอาด” และ”เลี่ยงที่อโคจร” ที่อโคจรหมายถึงที่ที่มีคนแออัด และอากาศไม่ถ่ายเท เช่นผับ บาร์ อาคารปรับอากาศ อยู่อย่างสะอาดคือการล้างมือให้บ่อย ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ไม่ใช้มือจับอาหารเข้าปาก ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อไปที่ชุมชนกลับเข้าบ้านก็อาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนอื่น เป็นต้น 😷 😷 😷

การระบาดของโรคโรคใดโรคหนึ่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องทางการแพทย์เท่านั้นพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมเป็นหลักที่สำคัญมาก การจะคุมการระบาดใดๆนั้นต้องอาศัยความร่วมมือและความพอดีของทางวิทยาศาสตร์และมนุษย์วิทยา ทั้งจากประชาชนและภาครัฐด้วย ถ้าเศรษฐกิจแย่สุขภาพคนในสังคมก็แย่ภูมิต้านทานทั้งคนและสังคมต่ำก็เกิดโรคระบาดได้เป็นวงกว้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนเป็นโรคหลุดรั่วเข้าไปในสังคมประเทศไทย ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม (แม้แต่ในเวียดนามขณะนี้ที่ไม่มีคนติดเชื้อในประเทศเกือบร้อยวันอยู่ๆก็มีคนติดเชื้อและยังหาไม่ได้แน่ชัดว่าคนที่ตั้งต้นแพร่ระลอกสองนั้นรับเชื้อมาจากไหน...คือโรคมันอาจจะหลบอยู่แล้วรอวันดีคืนร้ายเจอจุดอ่อนแอค่อยแสดงตัว😬😬😬😬) แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมยังประพฤติด้วยความเข้าใจในความจำเป็นมีวินัยในการใส่หน้ากากอนามัย ในการรักษาระยะห่าง ในการรักษาความสะอาดแล้วโอกาสแพร่กระจายกันอย่างมากและกว้างขวางก็จะไม่เกิดขึ้นครับ

นิธิ มหานนท์ 10 สิงหาคม 2563

เป็นเรื่องราวที่ถูกแชร์ต่อๆกันในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ หลังมีหญิงสาวรายหนึ่ง ที่เจอกับปัญหาโรงงานหยุดยาวไม่มีกำหนด เพราะสถานการณ์ของโควิด อีกทั้งสามีของเธอยังเป็นผีพนันเล่นจนหมดตัว สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจเลิกรา และขอกลับบ้านเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทั้งนี้เธอได้โพสต์เรื่องราวดังกล่าวไว้ในกลุ่ม ชุมชนคนรักบ่อวิน ระบุว่า

#ลาแล้วบ่อวิน โควิดเป็นเหตุโรงงานหยุดยาวๆไม่มีกำหนดเปิด. อยู่มา4ปีมีรถยนต์หนึ่งคัน. แต่สุดท้ายเป็นของคนอื่น เพราะผีพนันทำให้เหลือแต่ตัว(มีผัวผิดคิดฮอดมื้อตายจิง) มาสองแต่กลับคนเดียวกลับไปเอากำลังใจคำว่าผัวเลิกกันไปก็แค่คนอื่น ขอบคุณมิตรภาพเหมือนบ้านหลังที่สองขอบคุณประสบการณ์ในหลายๆอย่างทำให้เข้มแข็งมากขึ้น สุดท้ายก็ทำให้รู้ไม่มีทีไหนอยู่แล้วสบายใจเหมือนบ้านเรา. คนอยู่ก็สู้ต่อไปค่ะ

#ปลายทางหนองบัวลำภู #คนเหลือแต่ตัว

h

ซึ่งหลังจากที่เธอได้โพสต์ข้อความและรูปภาพลงไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากได้พากันเข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงให้กำลังใจกับเธอ

 


 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.springnews.co.th/

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.springnews.co.th/social/698176

 

ไม่ซื้อ และ รับทาน ผัก ผลไม้ทุกชนิด จาก USA 

 

ประเทศ Singapore ห้ามประชาชนแล้ว เหตุผล คือ USA ใช้รถบรรทุก เหล่านี้ บรรทุกศพผู้ตาย Covid. มาใช้

บรรทุกอาหาร เขื้อจะเข้าไปปนกับ อาหารเหล่านี้

Cherry จากอเมริกา Central รีบขาย ลดราคา คงต้องงดซื้อน่ะ
น่ากลัวจัง

ยอมแพ้! หมอ-พยาบาลฟิลิปปินส์ยกธงขาวโควิด แนะรัฐล็อกดาวน์

 หมอ-พยาบาลฟิลิปปินส์ยกธงขาวพ่ายโควิด-19 หลังผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แนะรัฐล็อกดาวน์เข้มรอบใหม่

วันนี้(1 ส.ค. 63) สื่อต่างประเทศรายงานว่า แพทย์และพยาบาลมากกว่า 1 ล้านคนของฟิลิปปินส์ได้เรียกร้องในวันนี้ให้ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต กำหนดมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดครั้งใหม่ทั้งในและรอบนอกกรุงมะนิลา โดยระบุว่าฟิลิปปินส์กำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19

 

บุคลากรทางการแพทย์ 80 กลุ่มของฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นตัวแทนแพทย์ 8 หมื่นคนและพยาบาล 1 ล้านคน ได้ออกมาเตือนว่า ระบบสาธารณสุขจะล้มเหลว เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดในกรุงมะนิลา และในจังหวัดใกล้เคียง

 

ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ ฟิลิปปินส์มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่พุ่งสูงสุดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยมีผู้ติดเชื้อใหม่ถึง 4,063 ราย

 

กลุ่มวิทยาลัยแพทย์ฟิลิปปินส์ระบุในจดหมายที่ส่งถึงปธน.ดูเตอร์เตระบุว่า "บุคลากรทางการแพทย์ของเราต้องรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดที่เข้ามายังโรงพยาบาลของเราเพื่อขอรับการดูแลฉุกเฉิน"

 

"เรากำลังทำสงครามที่พ่ายแพ้ให้กับโควิด-19" กลุ่มดังกล่าวระบุ                    

 

บุคลากรทางการแพทย์ได้เรียกร้องให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ดำเนินมาตรการล็อกดาวน์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ในกรุงมะนิลาและจังหวัดใกล้เคียงทางใต้ของกรุงมะนิลาไปจนถึงกลางเดือนส.ค.นี้


ทั้งนี้ นับตั้งแต่ฟิลิปปินส์ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ยอดติดเชื้อโควิด-19 ได้พุ่งขึ้น 5 เท่าแล้ว โดยล่าสุด Worldometer รายงานยอดรวมผู้ติดเชื้อในฟิลิปปินส์อยู่ที่ 93,354 ราย และยอดผู้เสียชีวิตสะสมพุ่งขึ้นมากกว่า 2 เท่าสู่ 2,023 ราย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.tnnthailand.com

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.tnnthailand.com/content/49772