6 ธ.ค.2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า 

 

สถานการณ์ทั่วโลก 6 ธันวาคม 2563...

วันนี้อันดับโลกท็อปเท็นเปลี่ยนแปลง อิตาลีแซงสหราชอาณาจักรและสเปนขึ้นมาอันดับ 6

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 585,199 คน รวมแล้วตอนนี้ 66,746,077 คน ตายเพิ่มอีก 9,516 คน ยอดตายรวม 1,532,581 คน 

อเมริกา กำลังจะแตะ 15 ล้านคน เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่มอีก 191,521 คน รวม 14,926,086 คน ตายเพิ่มอีก 2,030 คน ยอดตายรวม 287,310 คน 

สถานการณ์อเมริกาน่าเป็นห่วงมาก ติดเชื้อประเทศเดียวคิดเป็น 22% ของทั้งโลก หลายรัฐมีอัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อจากการตรวจโควิดสูงมาก เช่น Idaho 50.4%, South Dakota 47%, Kansas 46.6%, Iowa 41.3%, Alabama 36.4%, Pennsylvania 33.9% สมัยเกือบยี่สิบปีก่อนเคยไปอยู่ที่ Delaware และ Maryland ตอนนี้ 8.2% และ 6.6% ตามลำดับ 

ปัจจุบันเค้าตรวจโควิดวันละประมาณเกือบสองล้านครั้ง อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อเฉลี่ย 10.3%

เอาใจช่วยให้เค้าคุมโควิดได้โดยเร็ว ลักษณะการระบาดเช่นนี้หากต่างรัฐต่างคนต่างทำจะคุมได้ยาก

อินเดีย ติดเพิ่ม 29,217 คน รวม 9,636,849 คน

บราซิล ติดเพิ่ม 43,209 คน รวม 6,577,177 คน 

รัสเซีย ทำลายสถิติเดิม ติดเพิ่มอีกถึง 28,782 คน รวม 2,431,731 คน

ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 12,923 คน รวม 2,281,475 คน 

อันดับ 6-10 ตอนนี้เปลี่ยนเป็น อิตาลี สหราชอาณาจักร สเปน อาร์เจนตินา และโคลอมเบีย ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน ตุรกี บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเมียนมาร์ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น

คาดว่าอีกราว 10 วัน ตุรกีจะเป็นประเทศที่ 15 ที่จะมีผู้ติดเชื้อเกินล้านคน ช่วงนี้ติดเพิ่มวันละหลายหมื่นคน หากคุมไม่ได้อาจเป็นศูนย์กลางระบาดในแถบนั้นที่น่ากังวล เพราะมีประชากรถึง 82 ล้านคน เป็นอันดับ 17 ของโลกในแง่จำนวนประชากร

แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชียยังคงน่าเป็นห่วง ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งเดนมาร์ก ฟินแลนด์ ลัตเวีย เอสโตเนีย จอร์เจีย ฯลฯ 

เกาหลีใต้ และฮ่องกง ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่ออสเตรเลีย เวียดนาม และนิวซีแลนด์ ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

...สถานการณ์ในเมียนมาร์ กำลังจะทะลุแสนคน เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 1,527 คน ตายเพิ่มอีก 22 คน ตอนนี้ยอดรวม 98,047 คน ตายไป 2,081 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1%

ภาพรวมการระบาดทั่วโลกนั้นยังรุนแรงต่อเนื่อง ประเทศที่เคยระบาดรุนแรงมากอย่างอเมริกาก็ยังคุมไม่ได้ แต่กลับหนักขึ้นไปอีกหลังเข้าสู่ฤดูหนาวและมีเทศกาลต่างๆ ที่มีคนพบปะ ไปมาหาสู่กันตามประเพณี

จากต้นกันยายนถึงต้นธันวาคม สามเดือนที่ผ่านมา จำนวนการติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดือนละ 9.5 ล้านคน เป็นเดือนละ 13 ล้านคน และล่าสุดเป็น 18 ล้านคนภายในเดือนเดียว หากเป็นเช่นนี้จะแตะแปดสิบล้านตอนปีใหม่ 
จำนวนผู้ติดเชื้อที่รุนแรงและวิกฤตินั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ปัจจุบันมียอดรวมมากกว่าเดือนตุลาคมถึงสองเท่าตัว และมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 500,000 คนในสองเดือน บ่งบอกถึงภาวะที่จำนวนการติดเชื้อสูงเกินกว่าระบบสุขภาพจะรับไหว

ดูข้อมูลเช่นนี้ แล้วหากปรามาสว่า COVID-19 เป็นโรคกระจอก คงต้องทบทวนแล้วว่า สิ่งที่รู้ สิ่งที่ทำ สิ่งที่เชื่อนั้น เป็นมายาคติหรือไม่?

และมายาคตินั้นจะน่ากลัวมาก หากส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ส่งผลต่อประเทศ มีผลต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนทุกคนในประเทศ

และหากจะแนะนำท่านผู้นำประเทศใดๆ ที่เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว ถ้าให้ความสำคัญ คำนึงถึงสวัสดิภาพความปลอดภัยของคน และความมั่นคงของชาติ คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเรียกไปปรับทัศนคติ และไม่ให้มีอำนาจดำเนินการต่างๆ ที่เสี่ยงต่อปัญหาโรคระบาดที่รุนแรงเช่นนี้ครับ

อีก 13 วันก็จะครบเก้าเดือนเต็มที่เราได้สู้กับโควิดกันมาอย่างเต็มที่จนรอดพ้นระลอกแรกมาได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์การระบาดในประเทศไม่โอเคแล้วครับ ควรช่วยกันอย่างเต็มที่ไม่ให้สะดุดหัวคะมำ

กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี ศบค. และหน่วยงานความมั่นคง ได้โปรดพิจารณาดำเนินมาตรการเข้มข้นตอนนี้สักสองสัปดาห์ เพื่อรักษาปีใหม่ให้กับประชาชน ดีกว่าจะเสี่ยงให้ล้มกันยาว แล้วจะไม่มีแรงฟื้นฟู 

ประกาศพื้นที่เสี่ยง... รณรงค์ลด ละ เลี่ยง การเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ยกเว้นจำเป็นจริงๆ...

หากเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ต้องป้องกันตัวเสมอ และออกจากพิ้นที่แล้วควรสังเกตอาการตนเอง ถ้าไม่สบายให้รีบไปตรวจ...

เร่งพัฒนาระบบบริการตรวจโควิดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เข้าถึงได้ง่าย...

ไม่งั้นเราอาจเข้าทำนอง...เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย...

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/86076

สามีภรรยาสหรัฐ รู้ทั้งรู้ติดโควิดแต่ยังขึ้นเครื่องบินกลับฮาวายพร้อมเด็ก 4 ขวบ 

รู้ว่าติดโควิด-19 แต่สามีภรรยาคู่หนึ่งไม่สนคนอื่นจะตกอยู่ในความเสี่ยงขึ้นเครื่องบินกลับบ้านที่ฮาวายพร้อมเด็ก 4 ขวบ 

 

เวสลีย์ โมริเบ วัย 41 ปี และคอร์ทนีย์ ปีเตอร์สัน วัย 46 ปีสามีภรรยาจากรัฐฮาวาย ถูกแจ้งข้อหาประมาทเลินเล่อจนอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น หลังจากโดยสารเที่ยวบินจากซานฟรานซิสโก กลับฮาวายเมื่อวันที่ 29 พ.ย.  ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ด้วยกันทั้งคู่ 

 

โฆษกตำรวจเมืองคาวายอิ กล่าวว่า สามีภรรยาคู่นี้กลับถึงสหรัฐด้วยเที่ยวบินระหว่างประเทศ และเข้ารับการตรวจเชื้อในซีแอตเทิลก่อนขึ้นเครื่องบินกลับฮาวาย ซึ่งเป็นมาตรการเดินทางปลอดภัยของรัฐฮาวาย  ขณะแวะต่อเครื่องที่ซานฟรานซิสโก ได้รับแจ้งว่าติดโควิด-19 ขอให้งดเดินทางและกักตัว แต่ทั้งคู่ไม่สนใจ ต่อเที่ยวบินยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ กลับเมืองลิฮู รัฐฮาวายตามแผนเดิม 

เมื่อไปถึง ก็มีเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขกับตำรวจมารออยู่ เข้าประกบนำตัวไปห้องแยกกักและสอบสวน ส่วนเด็กวัย 4 ขวบที่บางสำนักข่าวระบุว่าเป็นลูกชายที่เดินทางมาด้วยกัน ให้ญาติมารับกลับบ้าน 

 

สามีภรรยาสหรัฐ รู้ทั้งรู้ติดโควิดแต่ยังขึ้นเครื่องบินกลับฮาวายพร้อมเด็ก 4 ขวบ 

 

ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นคนแจ้งผลตรวจเชื้อให้กับทั้งสองได้รับทราบ ตอนแรก โฆษกตำรวจเมืองคาวายอิ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กักกันของสนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก เป็นผู้แจ้ง แต่สนามบินระบุว่าไม่ได้พูดคุยกับทั้งสองเลย  และเป็นศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี)  ที่ได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่สนามบินลิฮู ให้เตรียมพร้อม หลังจากโมริเบกับปีเตอร์สันขึ้นเครื่องบินตามแผนการเดิม  ด้าน สายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลนส์ ระบุว่า ก่อนเดินทาง ผู้โดยสารทุกคนจะต้องกรอกข้อมูล "Ready to Fly" หรือยืนยันว่ามีความพร้อมเดินทาง และไม่เคยถูกตรวจพบเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา สายการบินกำลังสอบสวนเรื่องนี้เพื่อประเมินมาตรการในอนาคต 

 

ตำรวจกล่าวว่า สามีภรรยาคู่นี้ ทำให้ผู้โดยสารบนเที่ยวบินตกอยู่ในความเสี่ยงถึงแก่ชีวิต จากการขึ้นเครื่องบินโดยรู้ผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก  ทั้งสองวางเงินประกันคนละ 1,420 ดอลลาร์ และมีกำหนดไปขึ้นศาล 6 ม.ค. หากถูกตัดสินมีความผิด อาจถูกลงโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับ 2,680 ดอลลาร์ (ประมาณ 8,100 บาท) 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/foreign/450961?adz=

 

ใครได้ ใครเสีย จากความสำเร็จของ 'วัคซีนโควิด-19'?

 

ความคืบหน้า "วัคซีนโควิด-19" ถือเป็นข่าวดีของทุกประเทศที่ต้องเผชิญเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์มานานเกือบปี นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปและไทยต่างก็ได้อานิสงส์จากข่าววัคซีนเช่นกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เคยได้ประโยชน์ช่วงก่อนหน้ากลับให้ผลตอบแทนน้อยกว่า

ของขวัญปีใหม่ที่คนทั่วโลกรอคอยกำลังจะมาถึงและเร็วกว่าทุกๆ ปี ...เพราะในเดือนพฤศจิกายนที่พึ่งผ่านไป มีบริษัทที่ประกาศความสำเร็จในการทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ใน Phase 3 หรือการทดลองในกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากแล้วถึง 3 บริษัท คือ

1. Pfizer ร่วมกับ BioNTech พบว่า 95% ของผู้เข้าร่วมทดลองมีภูมิคุ้มกันจากโรคโควิด-19 โดยวัคซีนของค่ายนี้เป็นแบบ mRNA ซึ่งผลิตจากชิ้นส่วนสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส แต่จะมีข้อจำกัดในการขนส่ง เพราะวัคซีนต้องอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า -70 องศาเซลเซียส

2. Moderna ผลิตวัคซีนแบบ mRNA เช่นเดียวกัน และมีอัตราความสำเร็จที่ 94.5% วัคซีนค่ายนี้ได้เปรียบตรงที่สามารถเก็บในอุณหภูมิเพียง 2-8 องศาเซลเซียสได้นานถึง 30 วัน

3. AstraZeneca ร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford คิดค้นวัคซีนแบบ Viral vector คือ การฉีดเชื้อไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนแอลงเข้าไปในร่างกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน พบว่าวัคซีนได้ผล 70.4% และมีจุดเด่นที่ราคาถูกกว่าวัคซีนของค่ายอื่น

ขณะนี้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนได้ขออนุมัติจากองค์กรด้านสุขภาพเพื่อใช้เป็นกรณีฉุกเฉินแก่บุคลากรทางการแพทย์ก่อน และในลำดับถัดไปถึงจะจำหน่ายวัคซีนในวงกว้าง ซึ่งความสำเร็จของวัคซีนนี้เป็นความหวังที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินเป็นปกติได้

ตั้งแต่มีข่าวความสำเร็จของวัคซีน ตลาดหุ้นก็ตอบรับในทันที โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับเพิ่ม +3.2% นำโดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์สูงจากความสำเร็จของวัคซีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ที่ผลประกอบการมักจะพลิกฟื้นได้หากเศรษฐกิจกลับมาเปิดเป็นปกติ เช่น กลุ่มการเงิน +11.7% กลุ่มพลังงาน +25.6% รวมทั้งหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลงแรงจากการปิดเมือง อย่างโรงแรมและสายการบินที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง +23% (ราคาตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 30 พฤศจิกายน)

 

หากดูเป็นรายประเทศจะพบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์จากข่าววัคซีนมากกว่าประเทศอื่นๆ ได้แก่ หุ้นยุโรป +9.0% และหุ้นไทย +11.7% เนื่องจากเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนและไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ประกอบกับโครงสร้างตลาดหุ้นมีหุ้นกลุ่มวัฏจักรเป็นส่วนใหญ่

ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มผู้ชนะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า อย่างเช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับเพิ่มเพียง +1.1% ส่วนกลุ่ม Healthcare นั้นกลับปรับลดลง -0.4% ด้านประเทศจีนที่ควบคุมการแพร่ระบาดฯ ได้ดีกว่าที่อื่นๆ และสามารถหลุดพ้นจากวิกฤตโรคโควิด-19 จนเศรษฐกิจพลิกมาขยายตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2020 ให้ผลตอบแทนเพียงราว +1% เท่านั้น

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดคำถามว่า ความสำเร็จของวัคซีนจะทำให้หุ้นกลุ่มผู้ชนะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เสื่อมมนต์ขลังได้หรือไม่

การที่หุ้นกลุ่มวัฏจักรปรับเพิ่มขึ้นมานั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การสลับกลุ่มเล่นจากนักลงทุนที่ได้กำไรจากกลุ่มเทคฯ มาเยอะแล้ว หรืออาจจะเกิดจากนักลงทุนที่พึ่งเริ่มมีความเชื่อมั่นในการลงทุนจึงเลือกลงทุนในกลุ่มนี้เพราะ ราคายังต่ำอยู่ และเรามองว่าการปรับเพิ่มขึ้นยังอยู่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยง

ในระยะข้างหน้าหุ้นกลุ่มวัฏจักรยังจะต้องเผชิญความท้าทายอีกมาก เพราะการที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นต่อได้อย่างยั่งยืนต้องอาศัยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึงและแข็งแกร่งจนทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมที่จะถอนคันเร่งของการผ่อนคลายและเสริมสภาพคล่อง หันมาเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากในเร็ววันนี้ ดังนั้นการที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักรจะต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะการเลือกสรรหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีพอ และติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

สำหรับหุ้นกลุ่ม New economy เช่น เทคโนโลยี และนวัตกรรมการแพทย์ จะยังให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและรูปแบบการดำเนินธุรกิจไปแล้ว โดยมีวิกฤตโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่ง ซึ่งเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการด้านเทคโนโลยีจะเติบโตได้อย่างมาก

กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือ ลงทุนหุ้นกลุ่มวัฏจักรเพื่อคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการติดตามการฟื้นตัวของราคาและการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ขณะที่การลงทุนในหุ้นกลุ่ม New economy ในสัดส่วนที่สูงกว่าจะสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/911216?anf=

5ธ.ค.63-นพ.ธีระ วรธนารัตน์ แพทย์จากรพ.จุฬาฯโพสต์ข้อความ สถานการณ์ทั่วโลก 5 ธันวาคม 2563...

ทะลุ 66 ล้านไปแล้ว จำนวนติดเชื้อและจำนวนเสียชีวิตต่อวันของทั่วโลกสูงทำลายสถิติ

 

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มถึง 743,339 คน รวมแล้วตอนนี้ 66,160,878 คน ตายเพิ่มอีกมากถึง 13,638 คน ยอดตายรวม 1,523,065 คน 

อเมริกา ทำลายสถิติทั้งจำนวนติดเชื้อและจำนวนการตาย ติดเชิ้อเพิ่มอีกสูงถึง 255,054 คน รวม 14,736,565 คน ตายเพิ่มอีก 3,224 คน ยอดตายรวม 285,280 คน สถานการณ์แย่ลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการเดินทางไปมาหาสู่กันในช่วงวัน Thanksgiving

วันก่อนบุคลากรทางการแพทย์จากหลายรัฐ เช่น เทนเนสซี่ คอนเนคติกัต มิสซูรี่ มิสซิซิปปี้ ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเข้มข้นเพื่อจัดการควบคุมโรคให้ได้ เพราะระบบสุขภาพกำลังจะรองรับไม่ไหว

อินเดีย ติดเพิ่ม 43,067 คน รวม 9,607,632 คน

บราซิล ติดเพิ่ม 46,884 คน รวม 6,533,968 คน 

รัสเซีย ติดเพิ่มอีก 27,403 คน รวม 2,402,949 คน

ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 11,221 คน รวม 2,268,552 คน 

อันดับ 6-10 ตอนนี้เป็น สเปน สหราชอาณาจักร อิตาลี อาร์เจนตินา และโคลอมเบีย ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน

เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ สวีเดน โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน ตุรกี บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเมียนมาร์ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น

แคนาดาติดเชื้อเพิ่มหลายพันต่อวันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยอดสะสมเกิน 400,000 คนไปแล้ว ในขณะที่มาเลเซียส่วนใหญ่ติดเพิ่มพันกว่าต่อวัน จนยอดรวมเกิน 70,000 คนแล้ว

แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชียยังคงน่าเป็นห่วง ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งเดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์ ลัตเวีย เอสโตเนีย จอร์เจีย ฯลฯ มีโอกาสเป็นศูนย์กลางการระบาดในระยะถัดไปได้

เกาหลีใต้ติดกันเพิ่มหลายร้อยมาตลอด ส่วนฮ่องกงก็เพิ่มหลักร้อย จีนและออสเตรเลียติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่สิงคโปร์ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 1,502 คน ตายเพิ่มอีก 31 คน ตอนนี้ยอดรวม 96,520 คน ตายไป 2,059 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1% คาดว่ายอดรวมจะแตะหลักแสนในอีก 3 วัน

หากทบทวนรายงานวิจัยเกี่ยวกับ superspreading event หรือเหตุการณ์การระบาดวงกว้างจากผู้ติดเชื้อคนเดียวหรือกลุ่มเดียวนั้น มีจำนวนงานวิจัยราว 41 ชิ้น ดังที่เคยเล่าให้ฟังไปวันก่อน 

การที่คนติดเชื้อคนหนึ่ง แพร่ไปให้คนจำนวนมากนั้น เกิดขึ้นอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ เป็นการแพร่กระจายในสังคมวงกว้าง (societal superspreading event) กับการแพร่กระจายในคนหมู่มากที่อยู่ในสถานที่จำเพาะ (isolated superspreading event)

แบบแรกคือการแพร่กระจายในสังคมวงกว้าง เกิดได้หลายแบบ เช่น โรงเรียน งานแต่งงาน งานศพ พิธีทางศาสนา ผับบาร์คาราโอเกะ ที่ทำงาน ที่ช็อปปิ้ง สถานที่แข่งกีฬา ฯลฯ 

ส่วนแบบที่สอง คือการแพร่กระจายในสถานที่จำเพาะนั้น เกิดขึ้นในเรือ ในเรือนจำ และในสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ 

ของไทยเรานั้น กลุ่มเคสที่ลักลอบเข้าเมืองจัดเป็นกรณีศึกษาที่มีอัตลักษณ์ ต่างจากของต่างประเทศมากทีเดียว เพราะเข้ามาเป็นกลุ่ม แต่กระจายไปหลายจังหวัดหลายภาคพร้อมๆ กัน ซึ่งสถานการณ์แบบนี้น่ากังวลมาก

ยิ่งหากหน่วยงานรัฐบอกว่าประสบความยากลำบากในการสอบสวนโรค เพราะมีการปกปิดหรือปิดบังข้อมูล ให้การวกวน หรือเตี้ยมกัน ดังที่เป็นข่าวในสื่อเมื่อวาน ก็ยิ่งทำให้โอกาสมีการแพร่เชื้อรับเชื้อโดยคนไม่รู้ตัวย่อมมีสูง และจะแพร่ต่อได้ในวงกว้าง

นอกจากนี้การจัดกิจกรรมบันเทิงต่างๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปกันนั้น ยังมีแนวโน้มว่าจะมีคนที่ไป แต่ไม่ได้เช็คอินไทยชนะ หรือไม่มีข้อมูลรายละเอียดบันทึกไว้ให้รัฐติดตามได้อย่างครบถ้วน ดังจะเห็นจากการต้องประกาศข่าวเรียกให้คนประเมินตนเองและมารายงานตัว ก็ยิ่งทำให้น่ากังวล เพราะจะมาในแนวเดียวกับที่เราเห็นบทเรียนในยุโรปหลายประเทศ ที่ระบบการติดตามตัวนั้นไม่สามารถตามตัวคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนำมาสู่การระบาดซ้ำ

โรค COVID-19 นี้เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ ที่ติดต่อกัน พบปะกัน คลุกคลีใกล้ชิดกัน

และโรค COVID-19 นี้ก็ยังควบคุมได้ยาก เนื่องจากแพร่ง่าย และเหมือนรู้ใจคนว่า พฤติกรรมของคนนั้้นก็เหมือนจิตใจของคน...ยากแท้หยั่งถึง

หากอุปนิสัยใจคอรักความสะดวกสบาย อิสระเสรี ไม่เคร่งครัดวินัย ไม่เคารพกฎระเบียบ เราก็จะเห็นปรากฏการณ์"กฎมีไว้แหก" สนองกิเลสตนเองแต่สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นในสังคม

ตอนนี้ผมคิดว่ารัฐจำเป็นต้องประกาศพื้นที่เสี่ยง และรณรงค์ให้ลด ละ เลี่ยงการเดินทางเข้าออกพื้นที่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น หากใครจำเป็นต้องเดินทาง ก็ขอให้มีสติ ป้องกันตัวเสมอ และสังเกตอาการตนเองหลังกลับมาอย่างน้อยสองสัปดาห์

มาตรการแบบไล่ตามโรค ยากนักที่จะป้องกันโรคลักษณะนี้ได้ และหากมีการระบาดกระจาย จะควบคุมได้ยาก ใช้เวลานานกว่าเดิม

จากบทเรียนต่างประเทศ ถ้าระบาดซ้ำ จำนวนติดเชื้อสูงสุดต่อวันจะสูงกว่าเดิมอย่างน้อย 3 เท่า (500-600 คนต่อวัน) และใช้เวลาคุมนานกว่าเดิม 1.6 เท่า (88 วัน) ดังนั้นเราต้องทำเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดขึ้น

ประเทศไทยต้องทำได้

ด้วยรักต่อทุกคน

สวัสดีวันพ่อแห่งชาติ และขอให้คุณพ่อทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากโรคครับ

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/86030

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ข่าวร้ายปลายปี 2563 "ไทยแพน" พบผักผลไม้ 58.7% มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน "องุ่นนำเข้า พุทราจีน พริก ขึ้นฉ่าย คะน้า มะเขือเทศเล็ก" เจอ 100%

 

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เผยผลการตรวจสอบผักและผลไม้ประจำปี 2563 โดยสุ่มตรวจผักผลไม้ทั้งหมด 509 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ โดยประกอบไปด้วย ผลไม้จำนวน 9 ชนิด อาทิ ส้มโอ, ส้มแมนดารินนำเข้า, ลองกอง, น้อยหน่า, แก้วมังกร, ฝรั่ง, ส้มสายน้ำผึ้ง, พุทราจีน และองุ่นแดงนอก

 

และ ผัก จำนวน 18 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวโพดหวาน, มันฝรั่ง, หน่อไม้ฝรั่ง, กระเจี๊ยบเขียว, แครอท, ถั่วฝักยาว, บร็อกโคลี, หัวไชเท้า, ผักบุ้ง, มะระ, กะเพรา, กวางตุ้ง, ผักชี, มะเขือเทศผลเล็ก, คะน้า, ขึ้นฉ่าย, พริกแดง และพริกขี้หนู

 

และของแห้ง 2 ชนิด ได้แก่ พริกแห้ง และเห็ดหอม โดยส่งตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งสามารถตรวจวัดผลได้ครอบคลุมสารเคมีกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่รวมสารเคมีกำจัดวัชพืช) กว่า 500 ชนิด  และได้รับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO17025)


น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

โดย น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้เปิดผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า มีผักและผลไม้มากถึง 58.7% ที่พบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ผักที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด คือ มะเขือเทศผลเล็ก พริกขี้หนู พริกแดง ขึ้นฉ่าย คะน้า พบตกค้างเกินมาตรฐานทั้งหมดทุกตัวอย่าง (100%) จากที่เก็บมาชนิดละ 16 ตัวอย่าง

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ผักผลไม้ที่พบการตกค้างรองลงมา ได้แก่ กะเพรา (81%) มะระ (62%) ผักบุ้ง (62%) หัวไชเท้า (56%) บร็อกโคลี (50%) ถั่วฝักยาว (44%) แครอท (19%) กระเจี๊ยบเขียว (6%) และหน่อไม้ฝรั่ง (6%) ส่วนมันฝรั่งพบการตกค้างในระดับไม่เกินมาตรฐาน และข้าวโพดหวานไม่พบการตกค้างเลย

 
 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ในส่วนของผลไม้ที่พบสารพิษตกค้างมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่ องุ่นแดงนอก (100%) พุทราจีน (100%) ส้มสายน้ำผึ้ง (81%) ฝรั่ง (60%) แก้วมังกร (56%) น้อยหน่า (43%) ที่พบการตกค้างน้อย ได้แก่ ลองกอง (14%) ส้มแมนดารินนำเข้า (13%) และส้มโอไม่พบการตกค้างเกินมาตรฐาน

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

สำหรับ ของแห้ง ได้แก่ เห็ดหอมแห้ง และ พริกแห้ง นั้น พบการตกค้างในระดับไม่ปลอดภัยมากถึง 94% และ 88% ตามลำดับ

 

สำหรับแหล่งจำหน่ายเมื่อเปรียบเทียบระหว่างห้างกับตลาดสดทั่วไปนั้น พบว่า ผักและผลไม้จากตลาดทั่วไป พบสารตกค้าง 60.1% ส่วนห้างพบการตกค้างน้อยกว่าเล็กน้อยที่ระดับ 56.7% ทั้งที่โดยส่วนใหญ่จะจำหน่ายผักผลไม้ราคาแพงกว่าตลาดสดทั่วไป โดยในส่วนของตลาดสดทั่วไปนั้นมีการสุ่มตรวจผักจากตลาดทั่วประเทศ 10 จังหวัด ตลาดจังหวัดนนทบุรีมีการพบตัวอย่างการตกค้างเกินมาตรฐาน 72.4% และตลาดสดเชียงใหม่ตกค้างน้อยที่สุด 48.3%

 

สำหรับห้างค้าปลีกและสมัยใหม่นั้น พบว่าห้างค้าปลีกที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด เรียงลำดับได้แก่ แม็คโคร (69%) วิลล่ามาร์เก็ต (65.4%) เทสโก้ (56%) บิ๊กซี (51.7%) กูร์เมต์มาร์เก็ต (51.7%) และท็อปส์ (41.4%)

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563 

น.ส.ปรกชล กล่าวสรุปว่า โดยภาพรวมสถานการณ์ปัญหาการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในผักและผลไม้ยังไม่ดีขึ้น ทางไทยแพนกำลังดำเนินการแจ้งผลการตรวจวิเคราะห์แก่ห้าง และตลาดทั้งหมดเพื่อให้ร่วมแสดงความรับผิดชอบในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น และได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่เข้าร่วมรับฟังการแถลงในวันนี้ด้วยแล้ว เพื่อขับเคลื่อนให้มีการแก้ปัญหานี้ร่วมกัน และจากการตรวจพบสารเคมีที่แบนแล้ว (วัตถุอันตรายชนิดที่ 4) จำนวน 5 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส เอ็นโดซัลแฟน เมธามิโดฟอส เพ็นตาคลอโรฟีนอล และซัลโฟเท็พ รวมทั้งพบสารนอกบัญชีวัตถุอันตรายอีก 32 ชนิด ซึ่งผิดกฎหมายนั้น จะนำเอกสารนี้เพื่อขอให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการแก้ปัญหา

 

"ข้อมูลผลการตกค้างนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภคในการเลือกพืชผักที่ปลอดภัย และร่วมกับเรียกร้องให้ผู้ประกอบการต้องทำงานหนักมากขึ้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฎิรูประบบเฝ้าระวังและการจัดการสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างเป็นระบบโดยเร็ว" น.ส.ปรกชล กล่าว

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ข้อมูลเอกสารเพิ่มเติมของการแถลงข่าว https://www.thaipan.org/highlights/2283

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/450899?adz=

 

อ่านหน่อยนะ

เตรียมตัวไว้นะ
คนเยอะแยะบอกเราว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ติดไวรัสโคโรน่า แต่ไม่ยักมีใครสักคนบอกว่า ถ้าเกิดติดไวรัสแล้ว จะต้องทำอย่างไร
ขอบคุณนะ คุณพยาบาลในจักรภพอังกฤษที่รวบรวมคำแนะนำนี้ให้เรา

นี่เป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลบางประการ จากพยาบาลทั่วไปในอังกฤษ

นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเจอคำแนะนำว่า แรกที่สุดต้องทำอย่างไร จึงจะหลีกพ้นจากการติดไวรัส:
• ล้างมือให้สะอาดหมดจด
รักษาอนามัยร่างกาย
อยู่ห่างๆ​ ผู้คน

แต่ที่ดิฉันไม่เคยเห็นเลย คือ คำแนะนำว่า ถ้าเกิดติดไวรัสขึ้นมาจริงๆ​ จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งนี่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้นะ

ดังนั้น ในฐานะเป็นพยาบาลเพื่อนใกล้บ้าน ดิฉันขอให้คำแนะนำบางประการ:

ถ้าคุณ เกิดติดเชื้อ โควิด-19 ขึ้นมา
คุณต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน คล้ายๆกับว่า คุณรู้แล้วว่าคุณโดนไอ้เจ้าเชื้อทางเดินลมหายใจเล่นงานเข้าแล้ว เช่น เป็นมีภาวะหลอดลมอักเสบ หรือ ภาวะปอดบวม คุณต้องนึกไว้นะว่าอาการเหล่านี้จะเกิดกับตัวคุณ

คุณต้องเริ่มทำสิ่งต่อไปนี้เดี๋ยวนี้เลย :

ให้แสงแดดชะโลมทั่วตัววันละ 20 นาทีทุกวัน (หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้)
แสงแดดจะเพิ่มระดับไวตามิน D ให้คุณมากมาย นี่จะไปเสริมความสามารถของภูมิคุ้มกันของตัวคุณ

ถ้ามีกำลังทรัพย์ ให้กินอาหารเสริมดีๆ ร่วมกับไวตามิน C 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รวมทั้ง สังกะสี ซิลิเนียม และ สารกลูทาไธโอน

น้ำมันตับปลายี่ห้อ
Scott’s Emulsion ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีทีเดียว (น้ำมันตับปลาค้อด)

สิ่งที่คุณจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าเข้าไว้ก่อน คือ:

กระดาษ Kleenex

ยาพาราเซตามอล Paracetamol

*ยาแก้ไอ ตามที่ชอบ (ให้ดูฉลากยาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ยาแก้ไอจะไม่มียาพาราเซตามอลไปเพิ่มอีก)

*ยาอมผสมสังกะสี
*สะเปรย์พ่นคอ เช่น Andolex หรือ TCP

*น้ำผึ้งกับมะนาวก็ได้นะ ดีทีเดียวละ​ !

ยาหม่อง Vicks* vaporub ก็ดีนะ คนใช้กันเยอะ

*เครื่องลดความชื้น ก็ควรจะซื้อมาใช้ในห้องที่คุณจะนอนทั้งคืน
(คุณอาจจะใช้วิธีอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว และนั่งในห้องน้ำ หายใจเอาไอน้ำเข้าตัวก็ได้นะ)

ถ้าคุณเคยเป็นหอบหืด และหมอเคยจ่ายยาพ่นให้ ต้องแน่ใจนะว่า มันยังไม่หมดอายุ ให้หายาพ่นมาสำรองไว้นะ

อาหารการกิน นี่เป็นเวลาเหมาะแก่การทำอาหารดีๆกิน ให้ทำซุบไว้เยอะๆเลย ใส่ตู้เย็นเอาไว้ พร้อมทุกเมื่อ

น้ำ น้ำ น้ำ ตุนไว้เลยนะ ของเหลวใสๆที่คุณชอบนั่นแหละ เอาไว้ดื่มกิน น้ำประปาก็น่าจะดีนะ บางครั้งบางคราวคุณอาจนะต้องใช้
*การจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อมีไข้สูงกว่า 38°c ให้กินยา Paracetamol จะดีกว่ายา Ibuprofen.

*พักผ่อนเยอะๆ * คุณไม่ควรออกจากบ้านนะ​ ! ถึงแม้ว่าคุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ก็อาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่กับตัวไปตั้ง 14 วัน ดังนั้น คนแก่กับคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว อย่าไปใกล้เขานะ

ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อไปให้คนอื่นในบ้านของคุณเอง

กักตัว ในห้องนอน ถ้าคุณไม่ได้อยู่แต่ลำพัง ให้บอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้ วางสิ่งที่จะส่งให้คุณไว้ภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดต่อ
ทำความสะอาด ซักผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าบ่อยๆ และล้างห้องน้ำด้วยน้ำยาทำความสะอาดด้วย

*คุณไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เว้นไว้แต่ว่า คุณกำลังหายใจลำบาก หรือมีไข้สูงมาก(มากกว่า 39°C) แล้ว ใช้หยูกยาต่างๆ​ ไม่ได้ผล

กับผู้ใหญ่ ที่มีสุขภาพดีแล้ว 90% สามารถดูแลได้ที่บ้าน โดยการพักผ่อน ดื่มน้ำ กินยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา

ถ้าคุณกังวล หรือไม่สบายใจ​ รู้สึกว่า ตัวเองอาการจะหนักขึ้น


ความเสี่ยงที่มีอยู่แล้ว ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพปอด (เช่น​ หายใจติดขัด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด) หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ต้องคุยกับหมอแล้วละว่า คุณควรจะทำอย่างไร หากคุณเกิดไม่สบายขึ้นมา


สำหรับเด็กๆ พ่อแม่ออกจะโล่งใจว่า โคโรนาไวรัส ญาติดีกับเด็กมาก มันมักจะเป็นไม่กี่วันก็หาย (แต่มันก็ยังเป็นเชื้อโรคติดต่อนะ) จึงต้องคำนึงถึงสภาพเด็กๆ​ ด้วย .

ให้มีสติและตระเตรียมตามควรแก่เหตุ แล้วทุกอย่างจะไม่เสียหาย

จะบอกคุณเอาไว้ว่า ค่า pH ของโคโรนาไวรัสทั้งหลาย มีได้ตั้งแต่ 5.5 ถึง 8.5.

สิ่งที่เราต้องทำ ในการจัดการกับไวรัสโคโรนา คือ เราต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่า pH สูงกว่าของไวรัส ดังที่บอกไว้ข้างบนนี้

อาหารเหล่านั้น เช่น

มะนาวฝรั่ง - 9.9pH
มะนาว - 8.2pH
อะโวคาโด - 15.6pH
กระเทียม - 13.2pH
มะม่วง - 8.7pH
ส้มเขียวหวาน - 8.5pH
สับปะรด - 12.7pH
ดอกเก็กฮวย(?) - 22.7pH
ส้ม - 9.2pH

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดไวรัสโคโรนาเข้าให้แล้ว?

1. คันคอ
2. คอแห้ง
3. ไอแห้งๆ
4. มีไข้ตัวร้อน
5. หายใจถี่ หอบ
6. ไม่ได้กลิ่น และไม่รู้รส
7. นิ้วเท้า มีสีเขียวคล้ำ หรือดำ

ดังนั้น เมื่อใดมีอาการอย่างนี้ให้กินน้ำอุ่น ร่วมกับน้ำมะนาวเข้าไปเลย

อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ กรุณาส่งต่อๆไปให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยนะ

หมอสุดท้อใจ กินข้าวไม่ลง เครียดไปหมด หลังเจอเคสลักลอบเข้าไทยติดโควิด

หมอสุดท้อใจ กินข้าวไม่ลง เครียดไปหมด หลังเจอเคสลักลอบเข้าไทยติดโควิด

 

จากกรณีที่มีผู้ลักลอบจากประเทศเมียนมาร์ เข้ามายังประเทศไทยจากช่องทางธรรมชาติ ส่งผลทำให้ผู้ใกล้ชิดกับบุคคลดังกล่าว ต้องได้รับการกักตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อเฝ้าระวังอาการซึ่งเรื่องนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ได้เร่งดำเนินการอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังการติดเชื้อภายในประเทศ
 

ล่าสุดเพจ Infectious ง่ายนิดเดียว ได้โพสต์ภาพคุณหมอท่านหนึ่ง นั่งบนโต๊ะทำงานแบบหมดแรง หลังพบสาวไทยลักลอบเข้ามา โดยคุณหมอได้โพต์ระบายความในใจ และตัดพ้อว่า 

ก่ายหน้าผาก กุมขมับ  อีก 5 นาที ลงเวร 20.00 น.วันนี้กินไม่ลง คงไม่ได้กิน เครียดเรื่องโควิด 6 จังหวัด 10 เคส..จังหวัดแอดเกี่ยวข้องด้วย นั่งเครื่องบินมาลง 

ไม่อยากเข้าประชุมทุกวันอีกแล้ว
ไม่อยากมีเคสโควิดใน รพ.อีกแล้ว
ไม่อยากเห็นเจ้าหน้าที่ทำงานหนักอีกแล้ว อยู่บนความเสี่ยง
ไม่อยากต้องมาใส่ชุดหมี
ไม่อยากต้องมาป้ายคอ ค่ำๆดึกๆ
ไม่อยากต้องมาหาเครื่องมือ หน้ากาก เสื้อคลุม ถุงมือ face shield อีกแล้ว
ไม่อยาก lock down อีกแล้ว

ให้กำลังใจประชาชน เจ้าหน้าที่

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/450750?adz=

 

"หมอยง" เตือนสถานบันเทิงเป็นแหล่งแพร่กระจายโรคได้อย่างดี

 

"หมอยง" เตือนสถานบันเทิงเป็นแหล่งแพร่กระจายโรคได้อย่างดี ยกเคสเกาหลี-ญี่ปุ่น เหตุเป็นสถานที่ปิด พูดคุยกันเสียงดังและใกล้ชิด

 

วันนี้ 3 ธ.ค. 2563 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุ โควิด-19 สถานบันเทิง

การกระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง superspred มีบทเรียนมาแล้วจากการในระบาดระลอกแรกในประเทศไทย ที่เกิดจากสถานบันเทิง
 

สถานบันเทิงเป็นแหล่งแพร่กระจายโรคได้อย่างดี มีตัวอย่างมากมายจากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และประเทศทางตะวันตก

สถานบันเทิงเป็นสถานที่ปิด และมีเสียงดัง มีการพูดคุยกันเสียงดังและใกล้ชิด และเมื่อมีการดื่มเหล้า แน่นอนทั้งการกำหนดระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย การดูแลตนเองก็จะลดลงทันที จึงเป็นแหล่งระบาดได้อย่างรวดเร็วและจำนวนมาก
บทเรียนการระบาดในละลอกแรกของประเทศไทยที่เกิดจากสถานบันเทิง และสนามมวย ทำให้เราต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือนในการยุติปัญหาดังกล่าว
 
ในเกือบทุกประเทศที่มีการระบาดเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งจะเกิดจากสถานบันเทิง
 

การระบาดจากพม่าที่ท่าขี้เหล็ก ก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศไทยที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่ในขณะนี้

 

เราอยากให้ทุกคนมาช่วยกันแก้ปัญหานี้

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/450680?adz=

ผู้ประกอบการ SME 1.4 แสนราย เช็คเงื่อนไขด่วน รัฐไฟเขียวค้ำประกันสินเชื่อ 1.75 แสนล้าน

เช็คเงื่อนไข ช่วยผู้ประกอบการ "เอสเอ็มอี" กว่า 1.4 แสนราย หลังรัฐบาลไฟเขียวค้ำประกันสินเชื่อ 1.75 แสนล้าน
 

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เริ่มบรรเทาลง ส่งผลให้ภาคธุรกิจบางสาขาเริ่มส่งสัญญาณกลับมาฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี (Small and Medium Enterprises : SMEs) รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอ โดยสาเหตุสำคัญมาจากสถาบันการเงินยังไม่มั่นใจการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมองว่าผู้ประกอบการดังกล่าวยังมีความเสี่ยงในการชำระหนี้คืน

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างทั่วถึงและมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 (PGS9) วงเงินโครงการ 150,000 ล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อย (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาท ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อเป็นไปตามที่ บสย. กำหนด โดยรัฐบาลจะรับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการ SMEs ปีละไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 42,500 ราย

2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 (Micro 4) วงเงินโครงการ 25,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 500,000 บาทรวมทุกสถาบันการเงิน ค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี โดยรัฐบาลจะรับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการรายย่อยปีละไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายย่อยได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย

กระทรวงการคลังมั่นใจว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น มีสภาพคล่องที่เพียงพอและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910624?anf=