"หมอธีระ"โพสต์เตือน หากเห็น 2 สัญญาณนี้เมื่อไหร่ บอกเลยว่าโควิดในประเทศไทยอันตราย กำลังจะคุมไม่อยู่แล้ว

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก รวมไปถึงสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ผ่านทาเฟซบุ๊กส่วนตัว Thira Woratanarat โดยระบุข้อความเอาไว้ว่า 

สถานการณ์ทั่วโลก 27 ธันวาคม 2563...
รัสเซียทะลุสามล้านคนไปแล้ว และพรุ่งนี้แอฟริกาใต้จะแตะล้านคนเป็นประเทศที่ 18 ของโลก
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 494,918 คน รวมแล้วตอนนี้ 80,650,547 คน ตายเพิ่มอีก 7,687 คน ยอดตายรวม 1,763,976 คน 
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 181,851 คน รวม 19,379,991 คน ตายเพิ่มอีกถึง 1,565 คน ยอดตายรวม 339,690 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 18,574 คน รวม 10,188,392 คน
บราซิล ติดเพิ่มถึง 17,246 คน รวม 7,465,806 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 29,258 คน รวม 3,021,964 คน ตอนนี้สื่อไต้หวันได้ลงข่าวว่า วัคซีน Sputnik-V ของรัสเซียที่บอกว่าป้องกันได้ 91% นั้นมาจากการวิเคราะห์ผลระหว่างวิจัยโดยมีการติดเชื้อรวม 78 คนจากคนที่ทดลอง 23,000 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวนอาสาสมัครน้อยกว่าวัคซีนของฝั่งอเมริกา นอกจากนี้ยังพบว่ากำลังประสบปัญหาเรื่องยังไม่ได้สิ้นสุดการวิจัยระยะที่สามเพื่อพิสูจน์ผลการป้องกัน ที่ตอนแรกจะรับอาสาสมัคร 40,000 คน แต่ทางรัฐบาลได้ประกาศฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสูงไปล่วงหน้า ทำให้หาอาสาสมัครเข้าร่วมการวิจัยได้ช้าลงกว่าเดิม และทางการแพทย์ก็กังวลว่าอาจขัดต่อหลักจริยธรรมการวิจัยหากไม่ให้วัคซีนแก่อาสาสมัครที่ถูกสุ่มไปอยู่ในกลุ่มที่ได้วัคซีนหลอก ล่าสุดเค้าประกาศลดจำนวนอาสาสมัครลงเหลือ 31,000 คน คงต้องติดตามดูต่อไปว่าผลจะเป็นเช่นไร
ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 3,093 คน รวม 2,550,864 คน  อันดับ 6-10 เป็น ตุรกี สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักหมื่นต่อวัน  ฝั่งอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น  แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่องเมียนมาร์ ติดเพิ่มหลายร้อย ส่วนจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่เวียดนามติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ สถานการณ์ในเมียนมาร์ช่วงนี้ดูลดลง เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 734 คน ตายเพิ่มอีก 27 คน ตอนนี้ยอดรวม 121,280 คน ตายไป 2,579 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1% ระบาดระลอกสามครั้งนี้ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง เล่นเอาหนักหนาสาหัส ล่าสุดฮ่องกงยังติดเพิ่มกว่าครึ่งร้อยทุกวัน ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นติดกันหลักพัน ทำให้คาดว่าฮ่องกงคงจะสู้ศึกไปถึงกุมภาพันธ์ ส่วนอีกสองประเทศน่าจะยาวไปถึงปลายมีนาคม

ในขณะที่ประเทศไทยก็ดูน่าวิตกมากครับเพราะลักษณะการติดเชื้อนั้นไม่ใช่สะเก็ดไฟกระจายไปตามที่ต่างๆแต่มันเป็นแบบการแพร่ใหญ่หลายเหตุการณ์พร้อมกัน อย่างที่เราเรียกเชิงเทคนิคว่า Superspreading events เช่นที่เห็นในบิ๊กไบค์ปาร์ตี้ และที่ระบาดจากบ่อนมาสู่ครอบครัว อย่างที่เคยบอกไปว่าการระบาดซ้ำ ระลอกสอง หรือระลอกใหม่ก็ตามใจคุณจะเรียกนั้นจะเกิดขึ้นเร็ว แรง หาต้นตอได้ยาก และมักจะมีปัญหาการแพร่ระบาดหลายกลุ่ม (multiple clusters) และการแพร่ระบาดใหญ่หลายเหตุการณ์ (multiple superspreading events) หากเห็นสองสัญญาณนี้เมื่อไหร่ ให้บอกตัวเองไว้เลยว่าอันตราย และจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเข้มข้นทันที เพราะเป็นสัญญาณว่ากำลังจะคุมไม่ได้แล้วเวลาทองของไทยที่จะบรรเทาการระบาดซ้ำให้เบากว่าหรือใกล้เคียงระลอกแรก มีราว 4 สัปดาห์คือถึงประมาณกลางมกราคม 2564 ตอนนี้เหลือไม่ถึงสามสัปดาห์แล้ว

หากผมเป็นประชาชนในพื้นที่เสี่ยงทุกจังหวัดที่มีการรายงานเคสติดเชื้อ จะสีอะไรก็ตาม ผมคงจะเรียนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดว่า เราคงต้องปกป้องบ้านเกิดของเราอย่างเต็มที่ ลดละเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น, ใส่หน้ากาก 100% ขณะออกนอกบ้าน, เพิ่มปริมาณการตรวจคัดกรองโรคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งเบิกได้หรือจ่ายเองก็ควรทำ, ปิดกิจการเสี่ยงทั้งหมด, การกินการดื่มในร้านต้องขอให้งด และซื้อกลับบ้านแทน, และถึงเวลา"อยู่บ้าน...หยุดเชื้อ...เพื่อบ้านเกิดของเรา"ถ้าไม่ทำ ณ ตอนนี้...ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้วปล่อยไว้...จะคุมไม่อยู่ครับ!!!ด้วยรักต่อทุกคนสวัสดีวันอาทิตย์ครับ...รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ข้อกำหนด 'พรก.ฉุกเฉิน' เร่งควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ห้ามชุมนุม-เข้าพื้นที่เสี่ยง

 

วันที่ 25 ธ.ค.2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 15 โดยมีรายละเอียดดังนี้

เมื่อปัจจุบันพบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ขึ้นในบางพื้นที่ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการกระชับและยกระดับมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที ป้องกันมิให้เกิดการระบาดลุกลามเป็นวงกว้างต่อไป อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.248 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

1. การห้ามใช้หรือเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดโรค ห้ามประชาชนใช้ เข้าไป หรืออยู่ในพื้นที่ สถานที่ หรือพาหนะที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรค

2. การปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค ให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พิจารณาสั่งปิดสถานที่ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคและการแพร่ของโรคไว้เป็นการชั่วคราว

3. การห้ามชุมนุม ห้ามมิให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัด หรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อง ทั้งนี้ ภายในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานกาณณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงประกาศกำหนด

4. มาตรการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจคัดกรองการเดินทางและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว

5. การปฏิบัติและบังคับใช้มาตรการป้องกันโรค ให้ส่วนราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานควบคุมโรคติดต่อ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้ประชาชนทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด

6. การประสานงาน ให้ ศปก.ศบค. ซึ่งมีเลขา สมช. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ทำหน้าที่เป็นหน่วยปฏิบัติขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เพื่อให้สถานการณ์ฉุกเฉินสามารถยุติโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

7. เพื่อให้การกำหนดมาตรการป้องกันโรคเป็นไปในทางเดียวกัน การออกประกาศ หรือคำสั่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัดตามข้อ 1 หรือข้อ 2 เพื่อการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ให่ดำเนินการตามมาตรการหรือแนวปฏิบัติที่นายกรัฐมนตรี หรือตามที่ ศบค.กำหนด ให้ศนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ร่วมกันพิจารณาประเมินและกำหนดพื้นที่สถานการณ์เพิ่มเติมเพื่อการบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดใหม่

8. ให้บรรดาประกาศ หรือคำสั่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นตามข้อกำหนดนี้

 

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ข้อกำหนด 'พรก.ฉุกเฉิน' เร่งควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ห้ามชุมนุม-เข้าพื้นที่เสี่ยง

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ข้อกำหนด 'พรก.ฉุกเฉิน' เร่งควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ห้ามชุมนุม-เข้าพื้นที่เสี่ยง

 

บรรยากาศที่มหาชัย พม่าเข้าคิวตรวจโควิดดูน่ากลัวกว่าเดิม

 

หัวเมืองตะวันตก สมุทรสาครแตกพังพินาศ อย่างที่สุด

ผมคิดว่า Stay Home กันได้แล้วครับ หนักมากแล้ว เราช้าเกินไปแล้ว ...
ผมว่า ต้อง Panic กลัว และเตรียมพร้อมทันทีครับ ความกลัวเท่านั้นที่จะช่วยเราได้แล้วครับ

ความน่ากลัว....
1. แค่วันที่ 3 ก็พบผู้ติดเชื้อระดับ 516 คน กรณีที่ยะไข่วันที่ 3 พบ 2 คน ที่ดานังพบ 15 คน ดูที่กราฟครับ เรากำลังแย่มากๆ
2. อัตราการพบผู้ติดเชื้อต่อผู้เข้าตรวจ >40% ที่คือสาหัสมาก
3. มีแรงงานเมียนมาอยู่ที่สมุทรสาครประมาณ 200,000 คน ตัวเลข Case จริงจะเป็นเท่าไหร่ ระบบสาธารณสุขที่นั่นจะเอาไหวไหมครับ
4. ที่นั่นคือตลาดกลาง ที่มีคนจากกรุงเทพฯและที่ต่างๆเข้ามาและนำสินค้าไปขายต่อกระจายไปหลายพื้นที่
5. ตัวเลข 516 นี้ใหญ่มากอาจจะเกินกว่าที่การทำ Contract Tracing จะได้ผลเต็มที่แล้ว
6. มาตรการที่ประกาศคืนนี้ เบามาก และพยายามจะ Down Tone ไม่ให้คนกลัว ซึ่งผมว่าผิดทางแล้วครับ รัฐบาลกำลังห่วงเศรษฐกิจมากเกินไปเหมือนๆกับทุกประเทศที่ล้มเหลว สุขภาพดูท่าว่าจะมาทีหลังเสียแล้วครับ

สิ่งที่ควรทำที่สุด:
ปกป้องกรุงเทพฯ ครับ
กรุงเทพฯอาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับย่างกุ้งได้ภายในไม่กี่วัน เราไม่สามารถติดตามทุกคนที่มาจากสมุทรสาครไปกรุงเทพฯได้ เราจะเสี่ยงอย่างนั้นหรือครับ? ถ้ากรุงเทพฯแตก มันจะกระจายไปทั่วประเทศครับ
อย่างน้อยกรุงเทพฯและปริมณฑล ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะจำเป็นนะครับ
1. หยุดโรงเรียน
2. ปิดห้าง โรงหนัง
3. เข้มงวดขนส่งสาธารณะ
4. ปิดร้านเหล้าทั้งหมด
5. Work from Home
6. มหาวิทยาลัย เรียน Online ทั้งหมด
ฯลฯ

อย่างน้อย 7 วันแล้วดูผลว่าจะต้องขยับเป้น 14 วันไหมครับ

จำไว้นะครับว่ากรณีแรงงานต่างชาติ
1. เมียนมาเจ้าของประเทศ เริ่มที่ยะไข่ หนักสุดที่ย้างกุ้ง วันนี้ 115,187
2. สิงคโปร์ โดนมาก่อนเพื่อน 58,403
3. มาเลเซียกำลังโดนอยู่ วันนี้ 91,969 และยังไม่จบ

ประเทศไทย 2nd Wave นี้ถ้าปิดได้โดยไม่ถึงหลักหมื่น ผมถือว่าเก่งมากๆครับ

ผมเองทำอะไร... ไม่ได้อยู่ในสมุทรสาครนะครับ แต่ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ Stay Home ครับ

Sunt​ ​Srianthumrong
19/12/63
https://www.facebook.com/100000921874426/posts/5147455651961780/?sfnsn=mo

สึนามิอุดมศึกษาไทยที่ก่อตัวมานานจากจำนวนประชากรวัยเรียน ถูกปัจจัยเร่งจาก KOVID-19 คือสภาพเศรษฐกิจที่ทรุดและถดถอยไปทั่วโลก ส่งผลให้สึนามิอุดมศึกษาไทยและทั่วโลกลูกใหญ่กว่าและรุนแรงรวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งปรากฎผลขึ้นแล้ว จากข้อมูลจำนวนนิสิตนักศึกษาที่สมัครเข้าเรียนปีการศึกษา 2563 ดังต่อไปนี้ (ดูรายละเอียดในตารางตามภาพประกอบ)

##ปีการศึกษา 2563 มีสถาบันอุดมศึกษาไทยสมัครใช้ ระบบTCAS (Thai University Central Admission System) คือระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา จำนวน 82 สถาบัน จากจำนวนทั้งหมด 310 สถาบัน ปัญหาจำนวนผู้สมัครซ้ำรอยเดิม ของปีที่ผ่านๆมา คือมีที่นั่งในสถาบันอุดมศึกษาในระบบ TCAS ว่างหลายแสนที่นั่ง จำแนกได้ตามกลุ่มสถาบันดังต่อไปนี้

1.กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม(ทปอ.) จำนวน 29 สถาบัน (เข้าร่วม TCAS ทุกสถาบัน) จำนวนเรียกรับตามแผน มอค.2 จำนวน 168,996 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 145,813 คน มีที่นั่งเหลือ 23,183 คน คิดเป็นร้อยละ 13.72 ดังข้อมูลต่อไปนี้
1.1 จำนวนหลักสูตร 2,348 หลักสูตร จำนวนรับทั้งสิ้น 168,996 คน เฉลี่ย 1 หลักสูตร 72 คน
1.2 ม. เกษตรศาสตร์ สูงสุด มี 236 หลักสูตร รับ 17,520 คน รับเข้าได้ 17,472 คน ร้อยละ 99.73
1.3 ม. นครพนม ต่ำสุด มี 61 หลักสูตร รับ 3,530 คน รับเข้าได้ 1,203 คน ร้อยละ 34.08
สรุป .กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม(ทปอ.)มีสถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 มี 3 สถาบันได้แก่ (1) ม แม่โจ้ รับเข้าได้ 2,624 คน ร้อยละ 46.36 (2) ม กาฬสินธุ์ รับเข้าได้ 727 คน ร้อยละ 40.17 และ (3) ม.นครพนม รับเข้าได้ 1,203 คน ร้อยละ 34.08
คำเตือน สถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 3 สถาบัน เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูง

2.กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฎ 16 สถาบัน จาก 38 สถาบัน (ไม่เข้าร่วม TCAS จำนวน 22 สถาบัน) จำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 57,785 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 38,246 คน มีที่นั่งเหลือ 19,539 คน คิดเป็นร้อยละ 33.81 ดังข้อมูลต่อไปนี้
2.1 จำนวนหลักสูตร 1.008 หลักสูตร จำนวนรับทั้งสิ้น 57,785 คน เฉลี่ย 1 หลักสูตร 58 คน
2.2 มรภ.สวนสุนันทา สูงสุด มี 107 หลักสูตร รับ 7,130 คน รับเข้าได้ 7,564 คน ร้อยละ 106.09
2.3 มรภ.จันทรเกษม ต่ำสุด มี 51 หลักสูตร รับ 3,500 คน รับเข้าได้ 886 คน ร้อยละ 25.31
สรุป .กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฎ 16 สถาบัน มีสถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50
จำนวน 4 สถาบัน ได้แก่ (1) มรภ.พระนคร รับเข้าได้ 1,162 คน ร้อยละ 39.26 (2) มรภ.ชัยภูมิ รับเข้าได้ 435 คน ร้อยละ 35.08 (3) มรภ.อุตรดิตถ์ รับเข้าได้ 936 คน ร้อยละ 27.37 และ (4) มรภ.จ้นทรเกษม รับเข้าได้ 886 คน ร้อยละ 25.31
คำเตือน สถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 4 สถาบัน เป็น กลุ่มมีความเสี่ยงสูง

3.กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 สถาบัน (เข้าร่วม TCAS ทุกสถาบัน) จำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 34,588 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 15,806 คน มีที่นั่งเหลือ 18,782 คน คิดเป็นร้อยละ 54.30 ดังข้อมูลต่อไปนี้
3.1 จำนวนหลักสูตร 714 หลักสูตร จำนวนรับทั้งสิ้น 34,588 คน เฉลี่ย 1 หลักสูตร 49 คน
3.2 มทร.ธัญบุรี สูงสุด มี 111 หลักสูตร รับ 6,290 คน รับเข้าได้ 4,495 คน ร้อยละ 71.46
3.3 มทร.สุวรรณภูมิ ต่ำสุด มี 111 หลักสูตร รับ 4,890 คน รับเข้าได้ 1,011 คน ร้อยละ 20.67
สรุป กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 สถาบัน มีสถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 6 สถาบัน ได้แก่ (1) มทร.อีสาน รับเข้าได้ 2,103 คน ร้อยละ 47.53 (2) มทร.ศรีวิชัย รับเข้าได้ 1,673 คน ร้อยละ 44.11 (3)มทร.ล้านนา รับเข้าได้ 1,393 คน ร้อยละ 36.95 (4) มทร.รัตนโกสินทร์ รับเข้าได้ 738 คน ร้อยละ 29.76 (5) มทร.ตะวันออก รับเข้าได้ 759 คน ร้อยละ 23.50 และ (6) มทร.สุวรรณภูมิ รับเข้าได้ 1,011 คน ร้อยละ 20.67
คำเตือน สถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 6 สถาบัน เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูง

4.กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน 23 สถาบัน จาก 75 สถาบัน (ไม่เข้าร่วม TCAS จำนวน 52 สถาบัน) จำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 44,708 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 1.423 คน มีที่นั่งเหลือ 43,285 คน คิดเป็นร้อยละ 96.82 ดังข้อมูลต่อไปนี้
4.1 จำนวนหลักสูตร 457 หลักสูตร จำนวนรับทั้งสิ้น 44,708 คน เฉลี่ย 1 หลักสูตร 98 คน
4.2.วิทยาลัยเซ็น์หลุยส์ สูงสุด มี 3 หลักสูตร รับ 250 คน รับเข้าได้ 119 คน ร้อยละ 47.60
4.3 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ต่ำสุด มี 68 หลักสูตร รับ 10,855 คน รับเข้าได้ 174 คน ร้อยละ 1.60
4.4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มี 45 หลักสูตร รับ 5,535 คน รับเข้าได้ 74 คน ร้อยละ 1.34
4.5 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มี 23 หลักสูตร รับ 2,490 คน รับเข้าได้ 4 คน ร้อยละ 0.16
หมายเหตุ
4.5 มี 3 สถาบันที่มีนักศึกษา 1,2,3 คน ตามลำดับ ได้แก่ วิทยาลัยสันตพล วิทยาลัยดุสิตธานี และมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเซีย
4.6 มี 5 สถาบัน ที่ไม่มีนักศึกษาสมัครเข้าศึกษา คือมีจำนวนรับ ร้อยละ 0.00 ได้แก่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มหาวิทยาลัยนอร์ทเชียใหม่ มหาวิทยาลัยการจัดการแะเทคโนโลยีอิสเทิร์น วิทยาลัยเทคโนโลยีพนมวันท์ และสถาบันเทคโนโลยียานยนต์มหาชัย
4.7 .กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน 23 สถาบัน มีสถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน ทั้ง 23 สถาบัน
คำเตือน สถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 23 สถาบัน เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูงมาก

5.กลุ่มสถาบันสมทบ 4 สถาบัน จำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 7,727 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 2,900 คน มีที่นั่งเหลือ 4,827 คน คิดเป็นร้อยละ 62.7 ดังข้อมูลต่อไปนี้
5.1 จำนวนหลักสูตร 122 หลักสูตร จำนวนรับทั้งสิ้น 7,727 คน เฉลี่ย 1 หลักสูตร 64 คน
5.1 กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย สูงสุด มี 54 หลักสูตร รับ 2,947 คน รับเข้าได้ 2,670 คน ร้อยละ 90.60
5.2 มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ต่ำสุด มี 66 หลักสูตร รับ 4,470 คน รับเข้าได้ 28 คน ร้อยละ 0.63
สรุป กลุ่มสถาบันสมทบ 4 สถาบัน มีสถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 2 สถาบัน ได้แก่ (1) วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้า รับเข้าได้ 6 คน ร้อยละ 6.00 (2) มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ รับเข้าได้ 28 คน ร้อยละ 0.63
คำเตือน สถาบันที่รับนิสิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 50 จำนวน 2 สถาบัน เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูง

###สรุป กลุ่มสถาบันที่เข้าร่วมระบบ TCAS จำนวน 82 สถาบัน มีจำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 313,804 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 204,188 คน มีที่นั่งคงเหลือ 109,616 คน คิดเป็นร้อยละ 34.93

6.สถาบันอื่นในสังกัด อว. ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง และวิทยาเขต และสถาบันอุดมศึกษาและวิทยาเขตในสังกัดกระทรวงอื่นๆ 103 สถาบัน (ไม่มีข้อมูล เนื่องจากเป็นการรับตรงของแต่ละสถาบัน)

จากข้อมูลจำนวนนิสิตนักศึกษาข้างต้นจะเห็นว่า

1.กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม(ทปอ.) จำนวน 29 สถาบัน ที่เข้าร่วม ระบบ TCAS ทุกสถาบัน
1.1 มีสถาบันที่รับได้เกินจำนวนรับตามแผน มคอ.2 เกิน 100% มีจำนวน 6 สถาบัน ได้แก่ (1)มหาวิทยาลัยนเรศวร (117.94%) (2)มหาวิทยาลัยทักษิณ (117.55%) (3)มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (116.78%) (4)มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (114.65%) (5)มหาวิทยาลัยบูรพา (110.43%) (6)มหาวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (109.05%) มหาวิทยาลัยลำดับที่ (1)-(5)เป็นมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดทั้งสิ้น สะท้อนถึงผู้เรียนที่นิยมเรียนในสถาบันตามภูมิลำเนามากขึ้น
2. กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม(ทปอ.) จำนวน 2 มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำจาก World Ranking ได้แก่ (1)จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (80.44%) และ (2)มหาวิทยาลัยมหิดล (58.98%) นับนิสิตนักศึกษาได้ไม่เต็มจำนวนรับตาม มคอ.2 สะท้อนถึงคุณภาพของนักเรียนที่สมัครเข้ารับการคัดเลือก
3.กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฎ 16 สถาบัน จาก 38 สถาบัน (ไม่เข้าร่วม TCAS จำนวน 22 สถาบัน)
มีที่นั่งเหลือ 19,539 คน คิดเป็นร้อยละ 33.81. สะท้อนถึงความนิยมเรียนในสถาบันในท้องถิ่นลดลง และสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา
ข้อสังเกต มหาวิทยาลัยราชภัฎที่รับตรง โดยไม่เข้าร่วมรับระบบ TCAS ก็น่าจะอนุมานได้ว่า มีจำนวนผู้เข้าเรียนไม่แตกต่างกันกับสถาบันที่เข้าระบบ TCAS หากคิดเป็นค่าร้อยละตามสัดส่วน สถาบันที่รับได้เกินร้อยละ 50 จำนวน 12 สถาบัน (75%) และต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน 4 สถาบัน (25%) มหาวิทยาลัยราชภัฎที่รับตรงอีก 22 สถาบัน มีความน่าจะเป็นคือรับได้เกินร้อยละ 50 จำนวน 16 สถาบัน (72.73%) และต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน 6 สถาบัน (27.27%) รวมเป็นสัดส่วน 28:10 สถาบัน
4. กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 สถาบัน (เข้าร่วม TCAS ทุกสถาบัน) มีจำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 34,588 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 15,806 คน มีที่นั่งเหลือ 18,782 คน คิดเป็นร้อยละ 54.30 สะท้อนถึงความนิยมการเรียนวิชาชีพทางและด้านสังคมศาสตร์ลดลงตามลำดับ
5.กลุ่มสถาบันสมทบ 4 สถาบัน จำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 7,727 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 2,900 คน มีที่นั่งเหลือ 4,827 คน คิดเป็นร้อยละ 62.7 มีสถาบันที่ทีจำนวนรับต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน 2 สถาบัน สะท้อนถึงทั้งด้านคุณภาพและปริมาณในการผลิตแพทย์ ในขณะเดียวกันก็น่าเป็นห่วงด้านการพัฒนาสัขภาพโดยรวมที่ไม่มีผู้สนใจเรียนในมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติเท่าที่ควร
6.กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน 23 สถาบัน จาก 75 สถาบัน (ไม่เข้าร่วม TCAS จำนวน 52 สถาบัน) จำนวนเรียกรับตามแผน มคอ.2 จำนวน 44,708 คน จำนวนรับยืนยันสิทธิ์ 1.423 คน มีที่นั่งเหลือ 43,285 คน คิดเป็นร้อยละ 96.82 แม้ว่าสถาบันเอกชนอีกจำนวน 52 สถาบัน จะใช้ระบบรับตรง โดยไม่เข้าระบบ TCAS แต่จากสถานการณ์ด้านประชากรที่ลดลงและสภาพเศรษฐกิจจากพิษ KOVID-19 น่าจะอนุมานได้ว่า จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนในสถาบันเอกชนน่าจะไม่แตกต่างกับการรับระบบ TCAS ของทั้ง 23 สถาบัน นั่นคือกลุ่มมหาวิทยาลััยเอกชนทั้ง 75 สถาบัน

###สึนามิอุดมศึกษาไทย:ใครรอด?ใครร่วง?
1.กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐจากการวิเคราะห์ภาพรวม ได้แก่ (1)กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม(ทปอ.) จำนวน 3 สถาบัน (2) กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฎ จำนวน 10 สถาบัน และ (3) กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคล จำนวน 6 สถาบัน (4) กลุ่มสถาบันสมทบ 2 สถาบัน รวมทั้งสิ้น 21 สถาบัน เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่มีความเสี่ยงสูงมาก (จากจำนวน 80 สถาบัน)
2.กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน 75 สถาบัน ทุกสถาบันมีความเสี่ยงสูงมากทั้งสิ้น เนื่องจากไม่มีสถาบันใดมีจำนวนรับที่นักศึกษายืนยันสิทธิ์ถึง ร้อยละ 50 นอกจากนั้นหากอนุมานามสัดส่วนมหาวิทยาลัยที่น่าจะมีผู้เรีนน้อยต่ำกว่า 5 คนถึง 0 คน น่าจะมีจำนวนถึง 25 สถาบัน (จากจำนวน 75 สถาบัน)

#####อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยเอกชนเป็นธุรกิจประเภท “ธุรกิจการศึกษา (Business Education)ในเมื่อไม่มีสถาบันเอกชนใดรับนักศึกษาได้เกินกว่าร้อยละ50 จึงมีความน่าจะเป็นเป็นอย่างยิ่งว่า ภายใน 5 ปี ไม่เกิน 10 ปี คือ ภายใน พ.ศ.2573 คำว่า”มหาวิทยาลัยเอกชน”อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่เล่าขานกันในประวัติอุดมศึกษาไทย เท่านั้น

“รออ่านตอนต่อไปอีกนานหน่อยครับ กับ สึนามิมหาวิทยาลัยของรัฐ”

##หลุมดำมหาวิทยาลัยของรัฐ?
“กระทรวงอุดมฯเป็นเป็ดง่อย
ผู้บริหารคอยครบวาระ
นักศึกษาสถานะตกงาน
อาจารย์ถูกลอยแพ”

 

‘หมอธีระ’เทียบเคส‘โควิดสมุทรสาคร’แค่ยอดน้ำแข็งโผล่พ้นน้ำ เตือนเลิกคิด‘ลดวันกักตัว’

‘หมอธีระ’เทียบเคส‘โควิดสมุทรสาคร’แค่ยอดน้ำแข็งโผล่พ้นน้ำ เตือนเลิกคิด‘ลดวันกักตัว’

 

อย่ารนหาที่!‘หมอธีระ’เทียบเคส‘โควิดสมุทรสาคร’แค่ยอดน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ เตือนยกเลิกแนวคิดหาเงินเข้าประเทศโดยนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากๆ กลับใจเลิกแนวคิด ‘ลดวันกักตัว’

 

18 ธันวาคม 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat” เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 มีเนื้อหาดังนี้...

เคสสมุทรสาคร เป็นผู้สูงอายุ โชคดีที่ดูจะมีอาการไม่รุนแรง ให้กำลังใจหายไวไวครับ

หากเราสังเกตทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ตุลาคม เราจะพบว่าแทบทุกรายนั้นผู้ติดเชื้อมาหาเพื่อตรวจเอง จะโดยมีอาการหรือไม่มีอาการก็แล้วแต่ มาหาเพื่อตรวจเอง มีทั้งที่ตรวจก่อนเข้าเรือนจำ ตรวจก่อนแข่งบอล ตรวจจะไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงตรวจเพราะมีอาการไม่สบาย เช่น กลุ่มลักลอบเข้าเมือง และเคสในประเทศล่าสุดเย็นวันนี้

มองในแง่ดี...คือ...ไทยเรานั้นโชคดี

แต่หากมองอีกที...มันบ่งชี้ว่า นี่คือยอดน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้นเอง

ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่อาจอยู่ใต้น้ำ เพราะไม่ได้มุดลงไปดู

 

ดังที่เคยเตือนมาตลอด 8 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หลังเปิดประเทศรับคนจากต่างประเทศเข้ามา จะเกิดปรากฏการณ์ติดเชื้อในประเทศ และดาวกระจาย โดยมักเกิดราว 6-8 สัปดาห์ และจากนั้นมีโอกาสระบาดซ้ำได้หากไม่ป้องกันอย่างเข้มงวด และเลิกมาตรการนำความเสี่ยงเข้าสู่ประเทศโดยไม่จำเป็น

นอกจากนี้ เรื่องที่บอกมาตลอดคือ นอกจากรณรงค์ป้องกันตัว ใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ แล้ว จำเป็นต้องทำเรื่องต่อไปนี้ด้วย

หนึ่ง "แจ้งให้ประชาชนทราบว่าสถานการณ์ในประเทศนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาดซ้ำได้" เรื่องนี้สำคัญ เพราะหากสื่อสารไปในทางตรงข้าม จะทำให้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อรับเชื้อได้ และพอเกิดเรื่อง มักหาต้นตอลำบาก คุมยาก ตามไม่ทัน

สอง "รณรงค์ให้ประชาชนหมั่นคอยสังเกตอาการตนเอง และครอบครัว หากมีอาการไม่สบาย ต้องหยุดเรียน หยุดงาน และรีบไปตรวจรักษา" เรื่องนี้สำคัญ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มสูงมากที่จะมีเชื้ออยู่ในประเทศ เราไม่ทราบเลยว่าคนที่เราเจอในชีวิตประจำวันนั้น ใครติดเชื้ออยู่บ้าง เพราะมักไม่รู้ตัว จะโดยไม่มีอาการ หรือมีอาการแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัด หรือหวัดใหญ่ หรือเจ็บป่วยเล็กน้อย

สาม "ต้องขยายระบบบริการตรวจโควิดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เข้าถึงได้ง่าย และไม่ติดล็อคแค่เรื่องอาการ" เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะระบบที่มีอยู่ ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึง การไปตรวจนั้นทำได้ไม่ง่ายนัก และกำลังการตรวจมีจำกัด หากไม่เตรียมพร้อมพัฒนาเรื่องนี้ให้เข้มแข็ง ระบาดซ้ำมักมาไม่ทันตั้งตัว ดังที่เห็นจาก 75 ประเทศทั่วโลก จะรับมือไม่ได้

สุดท้าย...ขอเรียนย้ำพวกเราทุกคนอีกครั้งว่า สถานการณ์ไม่โอเคนะครับ...

การเดินทางไปในที่ต่างๆ ขอให้ใคร่ครวญให้ดี เดินทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ ไปอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดมากๆ

ต้องรู้จักประเมินสถานการณ์แวดล้อม หากแออัด คนเยอะ ไม่ใส่หน้ากาก หรือมีกิจกรรมที่เสี่ยงสูง เช่น ตะโกน ตะเบ็ง ดื่มกินกันอย่างยาวนาน ขอให้เลี่ยง ลด ละ เลิก เพราะไม่ปลอดภัยครับ

ใครจะว่าเว่อร์ ก็ช่างเขา...ขอให้เราไม่ติดก็พอครับ ติดแล้วตายได้ แพร่สู่คนใกล้ชิดได้ และหากกลับจากเดินทางแล้ว คอยสังเกตอาการ หากไม่สบาย ต้องรีบไปตรวจ ไม่ว่าจะเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ดมไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้ หรือท้องเสียก็ตาม

 

นี่ไม่ใช่เวลากระตุ้นเศรษฐกิจจนเว่อร์วัง แต่เป็นเวลาทำมาหากิน โดยเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

ทำมาหากินแบบประคับประคองตัว ให้รอดจากระบาดซ้ำครับ

คาดว่ามีนาคมปีหน้า หากสถานการณ์ทั่วโลกเบาลง ค่อยเปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่งั้นจะสะดุดหัวคะมำ สาหัส ลุกไม่ขึ้น

จากนั้น รศ.นพ.ธีระ โพสต์ข้อความอีกครั้งในวันที่ 18 ธันวาคม 2563 มีเนื้อหาดังนี้...

สถานการณ์ทั่วโลก 18 ธันวาคม 2563...

ติดเพิ่มอย่างบ้าคลั่ง ทะลุ 75 ล้านไปแล้ว ตายต่อวันกว่าหมื่นสาม ยอดตายต่อวันสูงกว่าช่วงต้นปีถึงสองเท่า

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มถึง 760,438 คน รวมแล้วตอนนี้ 75,164,769 คน ตายเพิ่มอีก 13,195 คน ยอดตายรวม 1,665,787 คน

 

อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 253,668 คน รวม 17,568,521 คน ตายเพิ่มอีก 3,426 คน ยอดตายรวม 317,091 คน

สถานการณ์อเมริกาไม่ดีเอาเสียเลย ตายต่อวันเกินสามพันคน เป็นผลจากการไม่สามารถคุมการติดเชื้อใหม่ได้ จนอาจเกินขีดความสามารถในการดูแลรักษาของระบบสุขภาพ เป็นไปตามที่หลายฝ่ายได้เตือนไว้ และคาดว่าจะเป็นภัยพิบัติทางสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์อเมริกา คงต้องเอาใจช่วยให้ทุเลาโดยเร็ว

อินเดีย ติดเพิ่ม 22,991 คน รวม 9,977,760 คน กำลังจะแตะ 10 ล้านคนแล้ว บราซิล ติดเพิ่มถึง 69,825 คน รวม 7,110,433 คน รัสเซีย ติดเพิ่มอีก 28,214 คน รวม 2,762,668 คน ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 18,254 คน รวม 2,427,316 คน

อันดับ 6-10 เป็น ตุรกี สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน และอาร์เจนตินา ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน

เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ สวีเดน โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เมียนมาร์ และเกาหลีใต้ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น

เนเธอร์แลนด์ติดเชื้อต่อวันทำลายสถิติเดิมอย่างต่อเนื่อง เมื่อวานเพิ่มถึง 12,779 คน สถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะหากคุมไม่ได้ อาจเป็นอีกจุดที่มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการระบาดต่อเนื่องของยุโรปในปีหน้า

แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชียยังไม่ดีขึ้น ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

เดนมาร์กติดเพิ่มหนักมากขึ้นไปอีก ทำลายสถิติเดิม 4,034 คน สูงกว่าระลอกแรกถึง 9 เท่า นอกจากนี้ใช้เวลาแค่ 4 วันในการมียอดติดเชื้อสะสมแซง 6 ประเทศ ทั้งอียิปต์ เอธิโอเปีย ปาเลสไตน์ ตูนีเซีย ฮอนดูรัส และเมียนมาร์ ส่วนสิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักสิบถึงเฉียดร้อย ในขณะที่จีน และเวียดนาม ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 1,182 คน ตายเพิ่มอีก 31 คน ตอนนี้ยอดรวม 113,082 คน ตายไป 2,377 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1%

ของไทยเรานั้น ผมประเมินว่า เรามีเชื้อในประเทศชัดเจน ทั้งมาจากต่างประเทศตามช่องทางต่างๆ และอาจมีการติดเชื้อในชุมชนอยู่บ้างโดยไม่รู้ตัว และไม่ทราบจำนวนและการกระจายว่าอยู่ที่ใดบ้าง ดังจะเห็นได้จากรายงานเคสในรอบสองเดือนกว่าที่ผ่านมา

สิ่งที่แต่ละฝ่ายจำเป็นต้องทำ ก็ได้บอกมาหลายครั้งแล้ว ระบาดซ้ำจะแรงกว่าเดิม คุมยากกว่าเดิม จากประสบการณ์ของทั่วโลกที่ระบาดซ้ำ ยอดติดเชื้อสูงสุดต่อวันจะสูงกว่าเดิม 5 เท่า และใช้เวลาในการคุมนานกว่าเดิม 2 เท่า

ควรยกเลิกแนวคิดหาเงินเข้าประเทศโดยนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากๆ

ควรกลับตัวกลับใจ เลิกแนวคิดลดวันกักตัว ไม่ว่าจะ 10 วัน 7 วัน หรือไม่กักตัว เพราะจะทำให้ปราการด่านสุดท้ายของประเทศ คือ ระบบการกักตัว 14 วันอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการระบาดซ้ำ

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะรนหาที่

สถานการณ์ปัจจุบัน ผมประเมินตรงๆ ว่าไม่ปกติ และไม่ได้ปลอดภัยใสปิ๊ง จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดครับ

ขอให้สุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย

ข้อมูลจาก https://www.naewna.com/local/539407

 

 

 
กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิดจากการทำงานในสถานกักตัวของเอกชน(ASQ) ทำให้เกิดกลุ่มก้อนการติดโควิด 7 คนนั้น
ขณะนี้มีรายงานอย่างเป็นทางการว่า ตรวจพบ ไวรัสโคโรนาที่ก่อโรคโควิดที่ลูกบิดประตู ทำให้วิเคราะห์ได้ว่า
บุคลากรทางการแพทย์ดังกล่าวน่าจะมีโอกาสติดโควิดจากสองแหล่งด้วยกันคือ
1) จากลูกบิดประตู
2) ติดจากผู้ที่มารับการกักตัว และบุคลากรดังกล่าวทำการตรวจสารคัดหลั่ง(Swab)โดยไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยหรือชุดป้องกันที่เพียงพอ
จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ไวรัสที่อยู่บนลูกบิดประตูจะอยู่ได้นานมากน้อยเพียงใด
มีงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติออสเตรเลียพบว่า ในวัสดุที่ทำลูกบิดประตู เช่น
สแตนเลส(Stainless Steel) ไวรัสจะอยู่ได้ดังนี้
ถ้าอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส อยู่นานถึง 28 วัน อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสอยู่ได้นาน 7 วัน
อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสจะอยู่ได้เพียงวันเดียว
โดยมีปัจจัยอื่นประกอบการอยู่ได้นานหรือไม่ดังนี้
1) ถ้าวัสดุผิวยิ่งเรียบ ไวรัสจะอยู่ได้นานกว่าวัสดุผิวขรุขระ
2) ถ้าวัสดุมีไขมันหรือโปรตีน จะทำให้ไวรัสอยู่ได้นานมากขึ้น
3) ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำหรืออากาศแห้ง ไวรัสอยู่ได้นานมากขึ้น
4) ถ้ามีแสงแดดน้อยหรือมืด ไวรัสจะอยู่ได้นานขึ้น
ดังนั้นลูกบิดประตู(วัสดุผิวเรียบ) ของห้องพักโรงแรม(ไม่ถูกแสงแดด) มีอากาศเย็น(อุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส) และมีคนที่จับลูกบิดประตูโดยไม่ใส่ถุงมือ(ทำให้มีไขมันหรือโปรตีนบนลูกบิด)
ก็จะทำให้ไวรัสอยู่บนลูกบิดนั้นได้นานยิ่งขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม การที่จะติดไวรัสจากลูกบิดประตูได้
ต้องเกิดจากบุคลากรนำมือที่มีไวรัสนั้น มาสัมผัสกับเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก หรือเยื่อบุในช่องปาก เพราะไวรัสจะไม่สามารถผ่านผิวหนังที่มือได้
แต่ถ้าในกรณีที่ติดจากผู้ป่วยที่หายใจ หรือไอจามสู่บุคลากรที่ไม่ใส่หน้ากาก ขณะทำการตรวจสารคัดหลั่ง ก็จะติดได้โดยตรง

 

คงจะต้องรอการพิสูจน์ว่า ไวรัสที่ลูกบิดประตูนั้น มีสารพันธุกรรมตรงกับที่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ดังกล่าวติดโควิดหรือไม่ คงทราบผลกันในไม่ช้านี้ครับ
Reference
 

หลังจากที่อังกฤษได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้

ก็พบเหตุการณ์ที่ผู้ฉีดวัคซีนจำนวน 2 ราย
พบผลข้างเคียงรุนแรงมากระดับเรียกว่าช็อค (Anaphylactoid reaction)
โดยทั้งสองรายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นผู้ที่มีประวัติอาการแพ้สิ่งอื่นแบบรุนแรงอยู่แล้ว จนต้องพกยาฉีดป้องกันแพ้แบบติดตัวไว้ตลอดเวลา( Adrenaline injection หรือ Epi-pen)
จากการทดลองในเฟสสามของไฟเซอร์ พบว่าวัคซีนที่ฉีดระดับสี่หมื่นคน มีผู้ที่แพ้แบบไม่รุนแรงเป็นจำนวนพอสมควร
และแพ้ปานกลาง 137 ราย จากอาสาสมัคร 19,000 ราย แต่แพ้ถึงขั้นช็อคนั้นยังไม่พบ
แต่เมื่อวัคซีนดังกล่าวถูกนำไปฉีดให้กับประชาชนเป็นการทั่วไปในประเทศอังกฤษเมื่อวานนี้ ในจำนวนนับพันคนต่อวัน ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น
จากการติดตามภายใน 24 ชั่วโมงแรก มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอังกฤษที่รับวัคซีน มีอาการแพ้แบบรุนแรงถึงสองราย(Anaphylactoid reaction )
อาการแพ้รุนแรง รวมถึง ผิวหนัง เกิดอาการคันและบวม หน้าและลิ้นบวม หายใจลำบาก ความดันตก และอาจเสียชีวิตได้
โชคดีที่ผู้มีอาการแพ้ สามารถแก้ไขได้สำเร็จเรียบร้อย ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
จึงมีข้อแนะนำเบื้องต้นจาก MHRA (ซึ่งเป็นผู้พิจารณาอนุญาตให้ฉีดวัคซีนนี้ได้ในประเทศอังกฤษ) ว่า ห้ามฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีประวัติการแพ้อาหาร แพ้ยา หรือเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง
โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นจะต้องมียาฉุกเฉิน
(Adrenaline injection) ติดตัวไว้แก้ไขตลอดเวลา
ขอให้งดเว้นการฉีดวัคซีนโควิดดังกล่าวไว้ก่อน
ทางการอังกฤษเอง ทั้งผอ.NHS และผอ.MHRA ได้ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้สำหรับการให้วัคซีนจำนวนมากกับคนทั่วไป
แต่โดยทั่วไปแล้วจะเกิดน้อยมาก เช่น 1ในล้าน
กรณีนี้ฉีดไปเพียงหลักพันคนก็เกิดแล้ว จึงน่าเป็นห่วง และต้องติดตามข้อมูลเมื่อมีผู้ฉีดเพิ่มมากขึ้นว่า จะมีผลข้างเคียงทำนองนี้ เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
ข่าวดังกล่าวนี้ จะทำให้ส่งผลกระทบต่อความหวังเรื่องวัคซีนของไฟเซอร์ จะเกิดการชะงักไม่มากก็น้อย
ทำให้วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์มีจุดอ่อนเพิ่มขึ้นคือ นอกจากการเก็บรักษาที่ยุ่งยากคือ
ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส
และมีราคาที่ค่อนข้างแพง
ตลอดจนเป็นเทคโนโลยีใหม่ แบบ mRNA ซึ่งยังไม่เคยใช้ในการผลิตวัคซีนชนิดใดในโลกมาก่อน
แล้วตอนนี้มาพบจุดอ่อนเพิ่มเติมที่สำคัญคือ ผลข้างเคียงที่เป็นการแพ้แบบชนิดรุนแรง
ทำให้ความหวังของวัคซีนด้วยเทคโนโลยีเดียวกันคือ mRNA ของบริษัทโมเดิร์นนาก็อาจจะประสบปัญหาเดียวกันด้วย
ทำให้วัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีอื่น เช่น การใช้ไวรัสเป็นพาหะ(Viral Vector) ของบริษัท AstraZeneca
และการใช้เทคโนโลยีแบบวัคซีนเชื้อตายของประเทศจีน อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ว่าจะมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่า เพราะเป็นเทคโนโลยีที่เคยใช้มานานหลายปีแล้ว
ต้องติดตามข่าวคราวอย่างใกล้ชิดกันต่อไปครับ
Reference
https://www.bbc.com/news/health-55244122
https://www.dailymail.co.uk/news/article-9034115/Allergy-risk-Pfizer-jab-TWO-patients-fall-ill-V-Day-rollout.html

'ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร' ชั้นเชิงและเกมเหนือชั้นของมหาอำนาจ‘จีน’

ถ้าใครไปเที่ยวจีน แล้วใช้เงินสดซื้อของ อาจถูกมองว่ามาจากยุคไหน เพราะปัจจุบันจีนใช้ระบบออนไลน์สแกนใบหน้าจ่ายเงินแล้ว และยุคนี้ใครๆ ก็อยากแวะร้านเสียวหมี่ที่มีแกดเจ็ตเทพๆ ถูกๆ ให้เลือก ทำไมจีนพัฒนาได้ก้าวไกล

กว่าจะรู้จักจีนอย่างลึกซึ้ง ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ต้องใช้เวลาในการศึกษา หาประสบการณ์ ทั้งอ่านหนังสือเกี่ยวกับจีน ทำงานในจีน และคบหาสมาคมกับเพื่อนชาวจีน รวมถึงเดินซอกแซกในเมืองต่างๆ แวะไปหยอดเหรียญตีปิงปองกับหุ่นยนต์ นั่งรถไร้คนขับ ฯลฯ

 

จากคนไม่ดื่มเหล้า เขาใช้สุรานำทาง สร้างมิตรภาพ เพราะคนจีนจะให้ความสำคัญกับการกินและดื่ม

และนี่คือ เรื่องราวของดร.ไพจิตร ซึ่งจบปริญญาโท MBA ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย Laredo State และปริญญาเอก บริหารธุรกิจ ด้านธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย Nova สหรัฐอเมริกา ในยุคที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นความสำคัญ“การค้าระหว่างประเทศ” แต่เขาเชื่อว่าจะเป็นเรื่องสำคัญในอนาคต

และก็เป็นอย่างที่เขาคิด เขาได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาเข้ารับราชการเป็นกงสุล ฝ่ายการพาณิชย์ ที่นครเซี่ยงไฮ้ สังกัดกรมส่งเสริมการส่งออก (ปัจจุบันกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กระทรวงพาณิชย์ และเป็นอัครราชทูต ฝ่ายการพาณิชย์ กรุงปักกิ่ง สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์เมือง รวมๆ รับราชการในจีน 8 ปีครึ่ง

หลังจากออกจากราชการ เขาหันมาทำงานที่หอการค้าไทยในจีน และ 3 ปีต่อมาเป็นรองประธานฯ อีกตำแหน่ง รวมถึงทำงานเป็นนักเขียนอิสระ อาจารย์พิเศษ กรรมการและที่ปรึกษาองค์กรภาครัฐและเอกชน และกลางปี 2563 มาช่วยงานสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีนอีกทางหนึ่ง

และนี่คือเรื่องราวคนที่คุ้นเคยจีนดีที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย

 

อยากให้เล่าประวัติส่วนตัวสักนิด?

ผมเคยรับราชการ หลังจากนั้นมาทำงานเป็นที่ปรึกษาภาคเอกชน ทำงานกับคุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ซึ่งอยากให้ผมช่วยงานหอการค้าไทยในจีนเต็มตัว เพราะเมื่อ 4-5ปีที่แล้ว คนที่ทำงานหอการค้าไทยในจีน ส่วนใหญ่จะมีธุรกิจของตัวเอง จึงให้ความสำคัญกับหอการค้าฯน้อย แต่ท่านให้ความสำคัญ อยากให้เป็นสถาบันช่วยผู้ประกอบการในการบุกตลาดขยายธุรกิจในจีน ก็เลยชวนผมมาเป็นเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน ทำงานเหมือนซีอีโอ

 

เป็นซีอีโอหอการค้าไทยในจีน แล้วทำธุรกิจด้านอื่นด้วยไหม

ที่เขาดึงผมมาจากภาคราชการ เพราะผมไม่มีธุรกิจ แม้จะมีคนชวนทำธุรกิจ ตั้งแต่ร่วมทุนจนถึงถือหุ้นลม ผมไม่เอา ผมอาจจะเป็นคนโบราณที่มีอุดมคติ อยากเป็นเลขานุการมืออาชีพ เพราะผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า ผลประโยชน์ของสมาคมหรือองค์กรเช่นนี้มักจะตกอยู่ที่กรรมการบริหาร

ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีโอกาสทำธุรกิจในจีน ไม่มีโอกาสเติบโต ดังนั้นใครอยากจะค้าขายหรือลงทุนมาปรึกษาลู่ทางธุรกิจกับผม ผมและทีมงานยินดีช่วยดูความเหมาะสมให้ เพราะการลงทุนในจีนต้องมีความลุ่มลึกในการจับคู่ธุรกิจให้เป็นรูปธรรม

160705285255

หุ่นยนต์แบบนี้ธรรมดามากในจีน 

เรียนรู้เรื่องจีนๆ จากไหนบ้าง

ชั้นหนังสือบ้านผมครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจีน ผมชอบอ่านหนังสือ ค้นคว้า และมีประสบการณ์ในจีน เพราะผมเขียนบทความและหนังสือ อีกอย่างผมทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนและภาครัฐของจีน 

จีน 15 ปีที่ผ่านมากับ 30 ปีที่แล้วก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งในระยะหลังยิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผมมีโอกาสทำงานกับคุณธนากร เสรีบุรี นายกสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน ซึ่งมีประสบการณ์เข้าออกจีนกว่า 30 ปี

ท่านกรุณาเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ผมฟัง นอกจากมุมมองของจีน ยังมีมุมมองธุรกิจต่างชาติ พอผมช่วยงานหอการค้าไทยในจีนได้ 5 ปี ท่านก็ทาบทามให้ผมมาเป็นเลขาธิการสมาคมฯ ผมก็เลยเอาสองส่วนนี้เชื่อมโยงเพื่อทวีกำลังกัน มีออฟฟิศทำงานทั้งในจีนและไทย

เท่าที่ผมเห็น จีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง มีนโยบายเปิดประเทศสู่ภายนอก เศรษฐกิจจีนขยายตัวเฉลี่ยปีละ 9.5% รัฐบาลทำให้คนจีนกว่า 800 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่งผลให้คนมีกำลังซื้อในประเทศเพิ่มมากขึ้น

 

ถ้าจะเข้าใจจีนอย่างลึกซึ้ง ต้องทำอย่างไร

ต้องยอมรับก่อนว่า เราไม่ค่อยรู้จักจีน ต้องเปิดกว้าง รับข้อมูลความคิด ก่อนผมจะมาประจำในเมืองจีน ผมคิดไปเองว่า จีนไม่เติบโตเพราะไม่เปิดกว้างทางความคิด แต่พอผมไปอยู่ที่นั่น ผมรู้เลยว่า จีนเปิดกว้างทางความคิด ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 10 ปีที่ผ่านมาคนจีนวัย 60-70 ปีใช้สมาร์ทโฟนเป็นเรื่องปกติ มีอะไรใหม่ก็ลองใช้

ขณะที่ผมซื้อสมาร์ทโฟนให้แม่ แม่บอกว่าไม่เอาแบบที่ปัดหน้าจอไปมา เพราะใช้ไม่เป็น ผู้ประกอบการไทยบางคนเห็นคิวอาร์โค้ด ยังนั่งงงว่า มันคืออะไร ดังนั้นถ้าเรารู้ไม่ลึกเกี่ยวกับธุรกิจที่เป็นสมาชิกของเรา เราจะไปจับคู่ธุรกิจ ขยายธุรกิจ ช่วยเหลือเขา ก็เหมือนตาบอดคลำช้าง 

 

จากคนไม่ดื่มเหล้าก็หันมาดื่ม เพื่อสร้างสัมพันธภาพ ถ้าอย่างนั้นต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตไหม

10 ปีที่แล้วผมไม่ดื่มเหล้า ถ้าวันไหนดื่มเบียร์หมดขวด นั่นแสดงว่าเป็นมื้อพิเศษ แต่ไปอยู่เมืองจีนตอนอายุ 42 ปี จำได้ว่า 6 เดือนแรกผมอาเจียนบ่อยมาก ธรรมเนียมจีนถ้าเขาชวนดื่ม แล้วไม่ดื่ม เหมือนคุยคนละภาษา เราอยากเป็นเพื่อนกับคนจีนก็เลยต้องดื่ม 

ถ้าคนจีนยอมโน้มตัวตักอาหาร หรือจุดบุหรี่ให้อีกฝ่าย นั่นเป็นการให้เกียรติ เวลาจะชนแก้วเหล้ากับคนจีน เราควรลดระดับแก้วให้ต่ำกว่า เพื่อให้เกียรติเขา เขาก็จะให้เกียรติเราตอบ ความจริงใจก็สำคัญ ถ้ามีความจริงใจเวลาคุยเจรจาการค้ากัน โอกาสที่จะพัฒนาความร่วมมือหรือตกลงกันง่ายขึ้น

160699191621

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

หลายคนบอกว่าจีนเปลี่ยนแปลงเร็วมาก อยากให้อธิบายเพิ่มสักนิด?

เวลาอยู่จีน ทุกๆ สัปดาห์ ผมจะล็อคเวลาครึ่งวันเพื่อเดินดูสิ่งใหม่ๆ ในเซี่ยงไฮ้และเมืองต่างๆ ไปนั่งรถแท็กซี่ไร้คนขับ หยอดเหรียญตีปิงปองกับหุ่นยนต์ เพราะเราต้องพาคณะไทยไปสำรวจตลาดจีนอยู่เรื่อยๆ ถ้าเราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง เราจะพาเขาไปไม่ได้ จะเอามาบรรยายก็ไม่รู้อีก

ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีเร็วมาก จีนได้ก่อสร้างจานดาวเทียมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในมณฑลกุ้ยโจว และพัฒนาท่าเรือหยางซานที่เป็นอัตโนมัติ ไม่ใช้แรงงานคน รวมถึงจะพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางอุโมงค์ใต้ทะเลในเร็วๆ นี้ จีนจะมีรถไฟแม่เหล็กความเร็วสูงสุด 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากปักกิ่งไปเซี่ยงไฮ้ ย่นย่อเวลาเหลือ 3 ชั่วโมง 

มีคำกล่าวว่า จีนเปลี่ยนเล็กทุกปี เปลี่ยนใหญ่ทุก 3 ปี สะท้อนว่าเมืองจีนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว อย่างแผนพัฒนา 5 ปี พวกเขาวางแผนแล้วก็ลุยไปข้างหน้า ถ้าระบบพรรคคอมมิวนิสต์มีนโยบายชัดเจนแล้ว องคาพยพที่เกี่ยวข้องจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน ภาคเอกชนจะรู้ดีว่า เมื่อรัฐออกนโยบายจะไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ

การสานต่อนโยบายของรัฐบาลจากรุ่นสู่รุ่นถือเป็นหน้าที่ แต่บ้านเราหรือต่างประเทศตรงกันข้าม ทำให้เมืองจีนพัฒนาอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เวลาจะทำเรื่องอะไร จะมีกรณีศึกษาเป็นเรื่องเป็นราว ระบบการเมืองเชื่อมต่อกับทุกส่วน สามารถดำเนินการตามแผนได้เร็วกว่าหลายประเทศ

 

เทคโนโลยีเป็นตัวเร่ง ทำให้จีนพัฒนาประเทศเร็วขึ้น ?

จีนมีเป้าหมายว่า จะทำยังไงให้ประเทศมั่งคั่ง กิจการที่กระจุกอยู่ในภาครัฐต้องกระจายสู่ภาคเอกชน มีการปรับโครงสร้างพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น และเมื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนา แรงงานไร้ฝีมือต้องพัฒนาเป็นแรงงานมีฝีมือ

เพราะรัฐบาลช่วยในเรื่องเครื่องจักรที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ใช้แรงงานเยอะ จีนไม่ได้มีปัญหาการว่างงาน แต่มีปัญหาขาดแรงงานเชิงคุณภาพ และแรงงานที่มีฝีมือ

 

เพราะอะไรคนจีนจึงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

คนไทยอาจจะคิดเก่ง แต่ไม่ปฏิบัติ เมื่อเริ่มใช้ระบบ 5 G คนจีนจะมองหาโอกาสทางธุรกิจ ตอนไวรัสโควิดระบาด จีนงัดนวัตกรรมออกมาใช้อย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มการแข่งขันในสินค้าและบริการบนเวทีโลก

 

การขจัดความยากจนในจีนจัดการอย่างไร

เอาเทคโนโลยีมาพัฒนาให้เป็นรูปธรรม ยกตัวอย่าง เกษตรกรบ้านเรามีปัญหาคล้ายจีนคือ อายุเยอะ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเป็นเกษตรกร เกษตรกรรุ่นเก่ามีความสามารถการเพาะปลูกแต่ขาดแรงงาน ถ้าอย่างนั้นต้องเอาเทคโนโลยีแบบไหนมาประยุกต์ใช้

จีนผลิตเครื่องจักร เครื่องมือการเกษตรขนาดเล็กเพื่อใช้พรวนดิน หว่านเมล็ดพืชสำหรับแปลงเกษตรขนาดมาตรฐาน ไม่ได้มานั่งจิ้มปลูกทีละต้นเหมือนบ้านเรา เวลาเก็บเกี่ยวก็มีความเครื่องจักรเครื่องทุ่นแรง และตอนนี้ก็เชื่อมโยงเครื่องมือเหล่านั้นกับสัญญาณดาวเทียมได้ด้วย

ส่วนปัญหาการเกษตรไทย ยังไม่ค่อยมีเครื่องจักรเครื่องมือทางการเกษตรตอบโจทย์เรื่องนี้ ไทยปลูกยางพารามาร้อยปี จีนปลูก 4 ปีเอาหุ่นยนต์มากรีดยางได้แล้ว แต่เกษตรกรไทยต้องโค่นต้นยางทิ้ง เพราะไม่มีแรงงาน

 

ถ้าอย่างนั้นไทยควรซื้อเทคโนโลยีขนาดเล็กจากจีนไหม

 ไม่จำเป็น เพราะจีนก็ซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แต่นำมาก็อปปี้พัฒนาต่อยอด ตอนนี้จีนไม่ใช่แค่พัฒนาวิจัย แต่วิจัยแล้วผลิตนวัตกรรม จีนลดการพึ่งพาตะวันตก จะพัฒนาเทคโนโลยีเอง จีนกำลังยืนด้วยลำแข้งตัวเองบนเวทีโลก ตอนนี้คนจีนไม่ยอมรับการคอร์รัปชัน ส่วนไทยไม่รู้เรื่องนี้จะลงถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่

160700186844

(อีกไม่นานเกินรอ จีนจะมีรถไฟความเร็วสูงมากที่สุดในโลก )

แจ็คหม่าอยู่ตรงไหนในความสำเร็จของจีน

สื่อจีนบอกว่า จะไม่มียุคของแจ๊คหม่า มีแต่แจ็คหม่าที่เป็นส่วนหนึ่งในยุครุ่งโรจน์ของจีน เพราะมีบริษัทที่สร้างความรุ่งเรืองให้จีนอีกเยอะ พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยากให้ผู้นำของเขามีความโดดเด่นในเวทีจีนหรือเวทีโลก แม้การเอา AntGroup (บริษัทแม่ของแพลตฟอร์มจ่ายเงินอย่าง Alipay ของเครืออาลีบาบา) เข้าตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และฮ่องกงได้แล้ว เพื่อเสนอขายหุ้นครั้งแรกอาจทำให้แจ็คหม่ารวยที่สุดของจีน แต่ไม่ใช่เป้าประสงค์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

สินค้าที่ขายดีในไทย จะขายดีในจีนไหม

ปัจจัยแวดล้อมระหว่างไทยกับจีนไม่เหมือนกัน การรู้หรือเข้าใจวัฒนธรรมจีนอาจรู้แบบผิดๆ คนไทยที่มีเชื้อสายจีน ส่วนใหญ่เป็นแต้จิ๋ว แต่จีนมีหลายเผ่าพันธุ์ แต้จิ๋วในเมืองจีนมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เวลาจะพัฒนาสินค้าออกมาขาย ต้องตอบโจทย์แต่ละภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์แตกต่างกันให้ได้ก่อน

ถ้ามองจากภาพใหญ่ จีนเติบโตจากซีกตะวันออก ไปตอนกลางและซีกตะวันตก เติบโตจากเมืองสู่ชนบท คนในเมืองมีรายได้สูงกว่านอกเมืองสองเท่า

มีคนทำธุรกิจจำนวนมากเข้าไปทำธุรกิจโดยไม่ได้พิจารณาประเด็นเหล่านี้ คนที่ลงทุนในระยะแรกมักจะเจอปัญหาในระยะที่สอง ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จในระยะแรก พอคิดจะขยายโรงงานก็ไม่ได้คิดโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมไว้ตั้งแต่แรก ทั้งเรื่องแฟรนไชส์ การบูรณาการเอาทรัพยากรจีนมาใช้ประโยชน์กับเครือข่ายธุรกิจ

เข้าไประยะแรกไม่ทันได้เห็นความแตกต่างระหว่างไทยจีน จึงล้มเหลว แม้กระทั่งบริษัทใหญ่ ๆในแถบตะวันตกที่เข้ามาลงทุนในจีน หลายแห่งเร่งเติบโตขยายธุรกิจ จึงมีหนี้สิน เพราะการลงทุนในเมืองใหม่ๆ การทำการตลาดใช้เงินเยอะ ถ้าไม่เข้าใจขนาดตลาดก็เกิดปัญหา

160705501498

ยกตัวอย่างสักนิด?

มีผู้ประกอบการไทยรายหนึ่ง ฝันอยากเห็นคนจีนซื้อขนมไทยไปฝากคนอื่น เขาลาออกจากงานโรงแรมไปทำธุรกิจในจีน แต่ไม่ค่อยเข้าใจธุรกิจ แรกๆ เช่าพื้นที่ใช้ไลเซ่นร้านอาหาร ตื่นตี 3 ทำขนมขายหน้าร้านทุกวัน ผมให้คำปรึกษาว่าต้องทำระบบขายแฟรนไชส์ อย่าขายเฉพาะหน้าร้าน

เขาก็เลยขายทางออนไลน์และเดลิเวอร์รีมากขึ้น เวลาคนจีนจัดประชุมสามารถสั่งขนมไทยจากร้านนี้ในเซียงไฮ้ จากเดิม 80 % ขายหน้าร้าน ตอนนี้ 80% เป็นเดลิเวอร์รี 

ผมบอกไปว่า ระบบเฟรนไชส์ต้องคุมตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อให้คนซื้อพึ่งพิงตลอด เขาสามารถควบคุมสูตรการผลิตและวัตถุดิบได้ ซึ่งเป็นเรื่องดีๆ เวลาผมอยู่จีน ผมต้องทำวิจัยเป็นระยะ คนจีนบอกว่า สินค้าไทยดีมาก แต่หาซื้อลำบาก เพราะเครือข่ายจำกัด

 

คาดว่าอีกกี่ปี จีนจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลก

ปีนี้จีนโตกว่าอเมริกา 7.5 เปอร์เซ็นต์ อีก 10ปีข้างหน้าจีนจะเทียบชั้นอเมริกา เป็นเบอร์หนึ่งของโลก อย่างช้าปีคศ. 2035 ตอนนี้จีนเป็นผู้นำด้านตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค และจีนจะเพิ่มบทบาทในเวทีต่างๆ ของโลก

จีนนอกจากให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ย้อนไป 15-20 ปีคนมาเที่ยวจีน จะรบเร้าให้ผมพาไปซื้อของก็อปปี้ แต่วันนี้ของก็อปกลายเป็นของเลหลัง ตอนนี้ใครๆ ก็อยากไปร้านเสี่ยวหมี่ที่ใหญ่ที่สุด ไปดูแกดเจ็ตกัน

จีนกล้าประกาศความเป็นเบอร์หนึ่ง เพราะรู้เขารู้เรา จึงทุ่มทุนมหาศาลวิจัยพัฒนา วันนี้จีนเป็นประเทศหนึ่งที่มีเรือดำน้ำสำรวจท้องมหาสมุทรที่ลึกๆ จำนวนมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ลงทะเลไม่พอขึ้นอวกาศ ปีที่แล้วจีนส่งยานอวกาศไปลงด้านมืดของดวงจันทร์ ปีนี้ปล่อยยานอวกาศไปดาวอังคาร พร้อมหุ่นยนต์

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำคือ การทำดวงจันทร์เทียม ซึ่งเราไม่ค่อยได้ยิน เริ่มทดลองในพื้นที่เฉินตู มณฑลเสฉวนบนเทือกเขาสูง ต่อไปกลางวันจีนสามารถเก็บพลังงานในสถานีอวกาศ กลางคืนยิงแสงลงมาในพื้นที่ทดลองมณฑลเสฉวน

อีก 4-5 ปีข้างหน้าเราจะเห็นโครงการพระจันทร์เทียมทดลองใช้ ส่วนเมืองกุ้ยโจวที่ยากจนมากที่สุดของจีน จะมีรถไฟความเร็วสูงผ่านถ้ำผ่านภูเขามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีการเจาะภูเขา และมณฑลนี้จะเป็นศูนย์บิ๊กดาต้าใหญ่ของจีน ช่วงหลังมีคนบอกเจอแจ็คหม่าที่กุ้ยโจวมากกว่าหางโจว บ้านเกิดของเขา

 

ในเรื่องการพัฒนาออนไลน์ จีนไปไกลแค่ไหน

แพลตฟอร์มต่างๆ ในจีนแข่งขันกันเยอะ แจ๊คหม่าเอาออนไลน์และออฟไลน์รวมกันแล้วต่อยอด ถ้าสั่งสินค้าในรัศมี 3 กิโลเมตรเครือข่ายของอาลีสบาบาจะส่งของให้ภายใน 30 นาทีไม่มีค่าใช้จ่าย หรือไปช้อปที่ร้าน จัดส่งของถึงบ้านได้เลย คนยังไม่ถึงบ้าน ของส่งถึงบ้านแล้ว เพราะโครงข่ายซัพพลายเออร์เยอะ สมัยก่อนสแกนจ่ายเงิน สมัยนี้สแกนใบหน้า ฝ่ามือ นิ้วมือ คือจ่ายเงิน

เวลาไปวิ่งออกกำลังกายไม่ได้เอาเงินไป สามารถสแกนใบหน้าซื้อสินค้าได้เลย ช่วงโควิดจีนขายหน้ากากอนามัย สแกนผ่านบัตรประชาชนให้คนละสองชิ้นต่อวัน กว่า 95 %ในจีนเป็นโลกดิจิทัลไปแล้ว ถ้าคุณไปจีนแล้วจ่ายเงินสด คุณจะถูกมองเป็นมนุษย์ต่างดาว เพราะลิ้นชักของพวกเขาจะไม่มีเงินทอน ถ้าเลือกได้ให้จ่ายเป็นดิจิทัล

.................

หมายเหตุ : จากการร่วมอบรม โครงการ มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้ ปีที่ 3 ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วันที่11-15 พฤศจิกายน 

 

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910891?anf=