'หัวหน้า' และ 'คนทำงาน' แบบไหน ที่โลกต้องการในปี 2021

เช็คลิสต์! คุณสมบัติของ "หัวหน้า" หรือ "ผู้บริหาร" รวมถึง "คนทำงาน" ที่ตลาดแรงงานปี 2021 ต้องการ และทิศทางการปรับตัวให้ทันโลกที่เหวี่ยงเร็วก่อนที่เราจะถูกเหวี่ยงออกจากการทำงานในอนาคต

ตัวเลขคน "ตกงาน" ที่มีแนวโน้มมากขึ้นในบ้านเราเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาที่มากขึ้น การดิสรัปของเทคโนโลยี และอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญมาก คือ "ทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน" 

นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายคลึงกันในหลายประเทศทั่วโลก และเป็นการส่งสัญญาณว่า "การทำงานแบบเดิมๆ จะไม่สามารถตอบโจทย์การทำงานได้อีกต่อไป"

  •  แล้วคนแบบไหนที่โลกการทำงานต้องการ ในปี 2021? 

ข้อมูลจากงานสัมมนา "Brand inside forum 2020 New Workforce" สะท้อนให้เห็นว่าในอนาคตการทำงานที่เคยเปลี่ยนมาตลอด จะเปลี่ยนแปลงไปยิ่งกว่านี้ และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่คนทำงานยุคใหม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ทันโลก หรือในบางครั้งอาจจะต้องนำหน้าการหมุนของโลกก่อนที่จะถูกเหวี่ยงออกไปจากตลาดแรงงาน

ทว่าการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะอยู่ใน "ระดับปฏิบัติงาน" "ลูกน้อง" หรือนั่งเก้าอี้ "ผู้บริหาร" หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบระดับ "หัวหน้างาน" ก็จะต้องปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนทีมของตัวเองไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่อาจต้องเปลี่ยนไปจากทศวรรษก่อนหน้าแทบจะสิ้นเชิง

 

160446133022

 

  •  "ผู้นำ" แบบไหน ที่ลูกน้องอยากได้ในอนาคต 

ธนา เธียรอัจฉริยะ, Chief Marketing Officer SCB พูดถึงแนวโน้มการเป็นผู้บริหารและผู้นำยุคใหม่ที่ใครๆ ก็ต้องการปี 2021 ซึ่งหน้าที่ของผู้บริหารหรือหัวหน้านับตั้งแต่ปี 2021 จะไม่เหมือนยุค 90's อีกแล้ว

ธนา เล่าว่า เมื่อพูดถึงหัวหน้า หรือที่หลายคนเรียกว่าเจ้านายเมื่อราว 10-20 ปีที่แล้ว คือคนที่น่าเกรงขาม คอยสั่งงาน และผลักดันให้งานนั้นสำเร็จ แต่ในโลกยุคใหม่จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหน้าที่สำคัญของผู้นำที่ดี คือการ "สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน" นั่นหมายถึงการสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้ทีมสามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ และมีความสุข ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งเพื่อวัดผล

 

"ผู้นำที่ดีคือคนที่สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน และดึงศักยภาพของคนทีมออกมาได้ดี" 



ธนา เธียรอัจฉริยะ

โดย ธนา ได้เน้นย้ำ 4 เรื่องสำคัญที่คนเป็นผู้บริหาร หัวหน้างาน หรือผู้นะต้องมีในโลกของการทำงานยุคใหม่ที่มีความไม่แน่นอนจากทุกทิศทาง ประกอบด้วย

Humble : รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ณ ที่นี้หมายถึงการไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว พร้อมที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้อะไร เพื่อเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ทำตัวรู้ไปเสียทุกเรื่อง 

Empathy: ทำตัวให้เล็กเข้าไว้ ในอดีตผู้บริหารหรือหัวหน้ามักจะเป็นผู้ที่ชี้นำทุกอย่างให้กับคนทำงาน แต่คนในเจเนอเรชั่นใหม่ต้องการแสดงความเห็น และแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนจุดหมายบางอย่างร่วมกัน ดังนั้น เป็นผู้นำยุคใหม่ ลองเป็นผู้ตามในบางเรื่องแล้วจะเจออะไรใหม่ๆ และมีโอกาสเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจคน เมื่อมีความเข้าใจและรู้จักรับฟังอย่างแท้จริง 

Sacrifice: เสียสละ คนที่ไม่พร้อมจะเสียสละ..เป็นผู้นำไม่ได้ ต้องเหนื่อยให้ทีมงานเห็น จึงจะเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคนได้ โดยเฉพาะทีมงานของตัวเอง

Courage: มีความกล้าหาญ ผู้นำต้องกล้า ทั้งกล้าคิด กล้าทำสิ่งใหม่ๆ ถ้ายอมรับเมื่อมีอะไรผิดพลาด ไม่มัวแต่โทษคนอื่น 

ด้าน กานติมา เลอเลิศยุติธรรม, Group Chief Human Resources Officer, AIS  ได้กล่าวถึงผู้บริหารในอนาคตไว้ว่า "ถ้าผู้บริหารกำลังติดกรอบความสำเร็จเดิม เพราะบริบาทการแข่งขันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ลูกค้าเปลี่ยนเจเนอเรชั่น ผู้บริหารหลายคนมักจะเอาการแก้ปัญหาเดิมๆ มาแก้ปัญหาใหม่ ท่านกำลังไปสู่หายนะ"

 

"คนรุ่นก่อนอาจจะถามว่าเวลาเราเจ็บป่วยองค์กรจะดูแลยังไง แต่คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามว่าองค์กรจะดูแลเรายังไงไม่ให้ป่วย"

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม

กานติมาอธิบายอีกว่า คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามและมีมุมมองที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ไม่นับถือผู้บริหารเพียงเพราะอยู่ในลำดับบังคับบัญชาที่สูงกว่า แต่จะนับถือคนที่ออนท็อปส์ให้พวกเขาเก่งและเติบโตได้ คนรุ่นก่อนอาจจะถามว่าเวลาเราเจ็บป่วยองค์กรจะดูแลยังไง แต่คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามว่าองค์กรจะดูแลเรายังไงไม่ให้ป่วย

ที่สำคัญคือ คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานประจำ คนที่มีศักยภาพไม่อยากทำงานให้องค์กรใดองค์กรหนึ่ง ดังนั้นผู้นำต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้คนทำงานที่มีประสิทธิภาพอยู่กับองค์กรได้ หรือทำงานให้องค์กรแบบใดได้บ้างบนความบาลานซ์แบบใหม่ด้วย

 

บทความจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/905977?anf=

เมื่อผมอายุไม่ถึง 7 ขวบ ผมชอบเอาหนังสติ๊กไปยิงนกกระจิบที่ชอบบินมาหาแมลงกินที่พุ่มไม้ใกล้บ้าน ผมเคยยิงมันตายแล้วคิดภูมิใจว่ามีฝีมือยิงแม่น
ภายหลังโตเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงสำนึกได้ว่าผมทำบาป ยิงนกตาย พรากมันจากพ่อ-แม่-ลูก-คู่รักของมันโดยไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย

 

เมื่อผมเรียนวิชารัฐศาสตร์จบปริญญาตรี-เอกใหม่ๆ ผมเชื่อว่าการปกครอในระบอบประชาธิปไตยดีเลิศ ผมไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้พฤติกรรมในการเลือกตั้งของไทยว่าเขาเลือกผู้แทนกันมาอย่างไร

 

ผมเคยเขียนบทความลงในวารสารต่างๆ ยืนหยัดความเชื่อของผมว่าการทำรัฐประหารเป็นงานเลวร้ายที่จะอ้างเหตุผลใดๆ มาลบล้างไม่ได้ทั้งสิ้น

เมื่อผมเกษียณอายุราชการแล้ว ผมเห็นคนพันธุ์ทักษิณยึดอำนาจรัฐในไทย โดยผ่านการเลือกตั้งสกปรก ผมเห็นพวกเขาโกงบ้านกินเมือง ใช้อำนาจปกครองประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของตนและพรรคพวก จนที่สุดผมได้ข้อสรุปว่าคนไทยจะแตกแยกกันทุกหย่อมหญ้าและประเทศชาติจะล่มจมในที่สุด ถ้าหากเราจะหวังลมๆ แล้งๆ รอคอยพระสยามเทวาธิราชมากอบกู้สถานการณ์ให้

 

การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจโดยทหารเป็นทางออกที่เลวร้ายน้อยที่สุด แล้วสถานการณ์ก็บังคับให้ทหารทำรัฐประหารจริงๆ ถึง 2 ครั้ง ซึ่งผมก็เห็นชอบด้วย นั่นคือผมได้เปลี่ยนทัศนคติทางการเมืองอย่างชัดเจน

 

จากเดิมที่ว่าทหารต้องห้ามในการทำรัฐประหาร มาเป็นทหารมีสิทธิ์ธรรมชาติที่จะทำรัฐประหารได้ ถ้าเรามีประชาธิปไตยจอมปลอมที่ไม่ยึดหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ

 

สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผมมีเวลาวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทยมากขึ้น ผมดูจากของจริงมากกว่าเชื่อตามตำรา

 

ผมเห็นคนไทยในวงการวิชาการ สื่อมวลชน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักการเมืองจำนวนมาก มีทัศนคติทางการเมืองเหมือนผมสมัยมันสมองยังไม่โต ยิงนกกระจิบเล่นโดยไม่รู้จักคิดให้รอบคอบว่าแล้วใครจะได้อะไร จะเอาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วได้ประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใครเป็นใหญ่กันแน่ รณรงค์ชวนคนอื่นให้ออกเสียงไม่รับช่วงรัฐธรรมนูญโดยไม่คิดให้รอบคอบว่าถ้าไม่รับฉบับนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร

 

ปัจจุบัน มีการรณรงค์กันอย่างแพร่หลายว่านายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากการเลือกตั้ง “ไม่เอานายกรัฐมนตรีคนนอก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแชมป์ล่าสุดที่ออกมาสอนคนให้เชื่อเช่นนั้น ตอนที่ผมยังเป็นหนุ่มและฟุ้งซ่านประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษนั้น ผมตกหลุมตำราวิชาการฝรั่งไม่ลึกเท่ากับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์

 

เรามีตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา เรามีนายกรัฐมนตรี 9 คน (ไม่รวมที่เป็นไม่เกิน 2 เดือน) เป็น “คนนอก” 5 คน ได้แก่ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คุณอานันท์ ปันยารชุน พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ส่วนที่เป็น “คนใน” มี 9 คน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

เราเห็นแล้วยังว่าใครทำประโยชน์ให้แก่ช่าติ ใครทำลายประเทศชาติมากกว่ากัน

 

มีใครมองไม่เห็นบ้าง “นายกฯ คนนอก” เช่น พลเอกเปรม และคุณอานันท์ นั้นมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากเพียงใด พลเอกประยุทธ์ใช้เวลา 2 ปีเศษกอบกู้ประเทศเรา ซึ่งจมปลักอยู่กับกองเพลิงแห่งความขัดแย้งให้เป็นได้อย่างทุกวันนี้ เรียกว่าเป็นผู้นำที่ไม่ธรรมดา แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเรายังมองไม่เห็น
ส่วน “นายกฯ คนใน” นั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติกอบกู้ชื่อเสียงของนักการเมืองในสายตาของผมมีคนเดียว คือ คุณชวน หลีกภัย

 

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั้นพูดเก่ง มีหลักการ-หลักวิชา เหมาะกับการเป็นผู้นำของประเทศประชาธิปไตยตะวันตก ท่านมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง กรณีการประชุมสุดยอดอาเซียน + 6 ที่โรงแรมรอยอลคลิฟบิชรีสอร์ทที่พัทยา (10 เมษายน 2552) ซึ่งถูกม็อบเสื้อแดงบุกขับไล่อภิสิทธิ์และผู้นำต่างประเทศหนีกระเจิงตั้งแต่วันแรก และต้องล้มเลิกการประชุมคราวนั้น ประเทศไทยเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างประเมินค่ามิได้ การประชุมที่สำคัญยิ่งครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีผู้เป็นเจ้าภาพจะต้องมีข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้าน

 

ถ้าไม่มีก็ต้องถือว่าบริหารงานข่าวกรองไม่เป็น ท่านน่าจะรู้ว่าลำพังกำลังตำรวจนั้นเชื่อถือไม่ได้ และงานสำคัญเช่นนั้นจะเลื่อนหรือยกเลิกก็ไม่ได้

 

ทำไมท่านไม่ขอกำลังทหารมาช่วย ถ้าท่านมัวกังวลใจว่าเอาทหารมาใช้งานรักษาความสงบเรียบร้อยภายในไม่เป็นประชาธิปไตย ก็หมายความว่าท่านเอาหลักวิชาประชาธิปไตยมาประยุกต์ใช้กับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่เป็น เช่นเดียวกับที่ท่านถูกม็อบเสื้อแดงไล่ต้อนซุกรถหนีออกมาจากกระทรวงมหาดไทย
2 วันต่อมาและการสลายการชุมนุมที่ยืดเยื้อของม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ (12 มีนาคม – 19 พฤษภาคม 2553) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านตัดสินใจ แก้ปัญหาไม่เป็น

 

สิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเห็นภัยจากระบอบประชาธิปไตยสามานย์มากขึ้น สหรัฐฯ ได้ชื่อว่าเป็น แชมเปี้ยนของระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่มีประเทศใดเสมอเหมือนในการทำร้ายคนบริสุทธิ์ทั่วโลก

 

ใครเป็นผู้นำไล่ล่าสังหารซัดดัม ฮุสเซ็นของอิรัก ใครไปโค่นล้มรัฐบาลมูอัมมาร์ อัล กัดคาฟี่ของลิเบีย ทำให้ 2 ประเทศนี้ประสบภาวะสงครามแหลกลานมาจนถึงทุกวันนี้ ยังมีอัฟกานิสถาน ซีเรีย และอื่นๆ อีกมากมาย ฉะนั้น คนไทยทั้งหลายจงอย่าหลงไหลคลั่งไคล้าระบอบประชาธิปไตยให้มากนักเลย
มีคนสร้างประเด็นความขัดแย้งให้พวกเราตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งผ่านประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา “นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง”

 

คนที่เล่นการเมืองเป็นอาชีพของไทยมีไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมด ต้องการผูกขาดอำนาจแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดของประเทศก็ได้แล้ว แม้พรรคการเมืองจะคัดสรร “คนนอก” มาอยู่ในบัญชีผู้แข่งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158-159 ก็ไม่ยอม 

 

คนดีๆ มีความสามารถมากมายไม่อยากไปแย่งตำแหน่งนั้นกับนักการเมืองหรอก บางคนแม้ท่านจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปเชิญก็ยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำ

คิดได้หรือไม่ว่าท่านกำลังเรียกร้องคนไทยทั่วประเทศให้ตัดสิทธิ์ของคนอาชีพอื่นมากกว่า 99% มิให้เขาได้ผู้นำที่ดีมีความสามารถ เพราะเขาไม่ยอมสมัครเลือกตั้ง ส.ส. หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่นักการเมืองได้ทำให้สกปรกไปแล้ว

 

“คนนอก” เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบคำถามนี้ได้ไหม?
กลัวทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรีใช่ไหม?
ทหารไม่ใช่คนไทยหรือไร?
ทหารรักชาติไม่เป็นหรือ?
ท่านกลัวทหารเอารถถังมาหนุนหลังปกครองประเทศหรือ?

 

ทุกวันนี้ท่านก็ด่าทหารกันอย่างเสรีอยู่แล้ว ทำไมไม่กลัวล่ะ?
ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายก็ไม่ต้องกลัวทหาร
ผมกลัวนายกฯ ที่ไม่บังคับใช้กฎหมายมากกว่า
เพราะคนไม่เคารพกฎหมายทำให้ผมเดือดร้อนด้วย

 

แทนที่จะมารณรงค์ต่อต้าน “นายกฯ คนนอก”
เรามาช่วยกันรณรงค์ให้คนไทยอย่าแบ่งแยก “คนใน” “คนนอก” ดีกว่า
คอยต่อต้านนายกคนต่อๆ ไป ที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และ/หรือ
ไม่บังคับใช้กฎหมาย
อย่างเคร่งคัดด้วย

เขียน ธีระวิทย์

BRIEF: ใกล้ความจริง! บริษัทยาสามารถผลิตวัคซีน COVID-19 ที่ป้องกันการติดเชื้อกว่า 90% แล้ว

โลกตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังจากวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยาวนานเกือบปี แต่ ณ ตอนนี้ บริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่จากอังกฤษ ‘ไฟเซอร์’ (Pfizer)ได้ร่วมมือกับบริษัทไบโอเอนเท็ค (BioNTech) ผลิตวัคซีน COVID-19 ที่ใช้ได้ผลแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 43,500 คนใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี บราซิล อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และตุรกี ทำให้ความหวังของโลกที่จะหาทางออกของการรักษา COVID-19 ได้เข้าใกล้มาอีกขั้น

การทดลองใช้วัคซีนดังกล่าวได้เข้าสู่ระยะที่ 3 แล้ว โดยเหลือการทดลองขั้นสุดท้ายอีกแค่สิบกว่าขั้นเท่านั้น ทั้งนี้ การทดลองดังกล่าวทำผ่านการฉีดรหัสพันธุกรรมของไวรัส COVID-19 ที่เรียกว่า RNA เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เพื่อพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา โดยการทดลองทำให้เห็นว่า ร่างกายจะสามารถผลิตทั้งแอนตี้บอดี้ และภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ‘ทีเซลล์’ (T-cells) ในการฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ที่อยู่ในร่างกายของเราได้อย่างเห็นผล

ไฟเซอร์คาดการณ์ว่า พวกเขาจะสามารถผลิตวัคซีนดังกล่าวขึ้นได้จำนวน 50 ล้านโด๊ส ภายในเวลาสิ้นปีที่จะถึงนี้ และจะสามารถผลิตได้ถึง 1.3 พันล้านโด๊ส ภายในสิ้น ค.ศ.2021 ทั้งนี้ พวกเขาสามารถผลิตวัคซีนดังกล่าวใช้ในสหราชอาณาจักรแล้วประมาณ 10 ล้านโด๊ส จากการสั่งจองวัคซีนไว้ล่วงหน้าแล้วกว่า 30 ล้านโด๊ส

แต่วัคซีนดังกล่าวยังคงมีข้อจำกัด โดยเฉพาะการจัดเก็บวัคซีนที่จะต้องถูกเอาไว้ในอุณภูมิลบ 80 องศาเซลเซียส รวมไปถึงระยะเวลาที่ยังไม่รู้ว่าวัคซีนจะยังคงประสิทธิภาพในร่างกายได้นานเพียงใด

ความหวังของมนุษยชาติที่จะพ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้เข้ามาใกล้ไปอีกหนึ่งก้าว ทั้งนี้ จากสถิติทั่วโลกในปัจจุบันนั้น มีผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ไปแล้วกว่า 50.5 ล้านราย รักษาหายแล้ว 33.1 ล้านราย เสียชีวิต 1.26 ล้านราย

อ้างอิงจาก

https://www.bbc.com/news/health-54873105?fbclid=IwAR3UUXTEcY3kVERhCpg0AaXdxfx_x0Hxy1IG-FY0PjHAuECmNRY_pIti85A

https://time.com/5909322/pfizer-covid-19-vaccine-effective/?fbclid=IwAR008YZUstfmTUdP612ffsDPAEtKsIFbnbzDFTMNwbcC3f3Lng48DHtx0Wo

https://edition.cnn.com/2020/11/09/health/pfizer-covid-19-vaccine-effective/index.html?fbclid=IwAR2yM3A-Mc9UTdLNFTQfRFmHfBln4X7dkbFkdGeFvfT3Oj7R8CGFVB9DuU8

https://news.google.com/covid19/map?hl=en-US&mid=/m/07f1x&gl=US&ceid=US:en

#Brief #TheMATTER

ภัยร้าย RSV มาแรงแซงโค้ง COVID

ไวรัส RSV เป็นสาเหตุให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ และที่สำคัญคือยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ COVID-19 ที่กำลังระบาดขณะนี้ !

นอกเหนือจากกระแสการระบาดของ COVID-19 ระลอก 2 ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งสหรัฐฯ และหลายประเทศในทวีปยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษ ที่ผู้ป่วยรายใหญ่เพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 2 แสนคนต่อวันหรือเกือบครึ่งหนึ่งจากทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศรวมถึงไทยยังคงรณรงค์ให้ป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม การใส่หน้ากากอนามัย การหมั่นล้างมือด้วยสบู่ และการทำความสะอาดสิ่งของที่ใช้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ดี ช่วงปลายฝนต้นหนาวของประเทศไทยนั้นยังมีโรคที่น่ากังวลอย่าง RSV ซึ่งสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปี

Respiratory Syncytial Virus หรือไวรัส RSV เป็นสาเหตุให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสชนิดนี้จะกระจายอยู่ทั่วไป แต่เมื่อเข้าสู่การเปลี่ยนฤดูกาลหรือปลายฝนต้นหนาวที่อากาศชื้นมากขึ้น ไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดี และหากภูมิต้านทานต่ำลงก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ได้ง่ายขึ้น โดยกรมควบคุมโรคให้ข้อมูลไว้เมื่อปี 2562 ว่าองค์การอนามัยโลกประมาณการจำนวนผู้ป่วยโลกจากเชื้อ RSV ถึง 33.8 ล้านคน และถึงแก่ชีวิตกว่า 160,000 ราย และที่สำคัญคือยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ COVID-19 ที่กำลังระบาดขณะนี้ สำหรับสถิติในประเทศไทยที่รายงานโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าอุบัติการณ์ของโรค RSV ในเด็กของปี 2563 มีอัตราป่วยเท่ากับปี 2562 ในเดือนเดียวกัน คือมากกว่า 30% ที่ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจและพบเชื้อ RSV โดยเฉพาะในเด็กเล็กแรกเกิด-5 ปี

โรค RSV ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ โดยอาจมีเสมหะออกมาในปริมาณมาก อาการคล้ายไข้หวัดปกติ เช่น มีไข้ ไอเจ็บคอ และมีน้ำมูกหรือเสมหะ แต่ในเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันต่ำหรือคลอดก่อนกำหนด อาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจหน้าอกยุบ หรือปากซีดเขียว หรืออาจทรุดลงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว และมีโอกาสถึงขั้นเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากมีอาการแทรกซ้อนของปอดหรือหัวใจ อย่างไรก็ดี โรค RSV เป็นกลุ่มโรค Influenza หรือไข้หวัดเช่นเดียวกับ COVID-19 ดังนั้น วิธีการป้องกันการติดต่อ RSV คือ หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และไม่ไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด หากมีอาการควรเก็บตัวอยู่บ้านและใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ทั้งนี้ สังคมวัยเด็กย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนฝูงในช่วงเปิดภาคเรียน ดังนั้น นอกเหนือจากการปิดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ควรวางแผนการปิดความเสี่ยงด้วยการทำประกันสุขภาพด้วย เพราะค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาโรค RSV ก็สูงไม่น้อย

สำหรับการเลือกประกันเพื่อคุ้มครองบุตรหลานจากค่าใช้จ่ายรักษาโรค RSV จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ 1) ค่าห้องต่อวันของโรงพยาบาลที่คาดว่าจะใช้บริการ สำหรับค่าเฉลี่ยของโรงพยาบาลเอกชนในปี 2563 ถ้าต้องการพักห้องเดี่ยวแบบมาตรฐานประมาณ 4,000 บาทขึ้นไป ซึ่งการเลือกแบบประกันอาจเริ่มพิจารณาที่วันละ 5,000 บาทต่อวันจึงจะเหมาะสม 2) เลือกแบบประกันที่มีความคุ้มครองห้อง ICU ที่เหมาะสม เนื่องจากแบบประกันสุขภาพของบางบริษัทอาจไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายห้อง ICU ซึ่งเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ 3)วงเงินความคุ้มครองที่ต้องการให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่กังวล

ในกรณีของโรค RSV หากสมมติให้ใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลราว 4-7 วันในโรงพยาบาลเอกชนอาจมีค่าใช้จ่ายราว 100,000–200,000 บาท หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล และระยะเวลาการรักษา ซึ่งผู้ปกครองสามารถพิจารณาเลือกวงเงินความคุ้มครองแบบต่อครั้งต่อโรค หรือ วงเงินเหมาจ่ายต่อปีก็ได้ เพียงแต่ให้วงเงินที่คุ้มครองเกิน 200,000 บาท เพื่อสำรองความคุ้มครองเพิ่มเติมกรณีเกิดอาการแทรกซ้อนระหว่างการรักษา และเพื่อไม่ให้ซื้อประกันที่เกินความคุ้มครองที่ต้องการ (Overinsure) หากมีงบประมาณการชำระเบี้ยที่จำกัด และที่สำคัญควรตัดสินใจทำประกันสุขภาพในขณะที่บุตรหลานยังไม่ป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล เพราะเมื่อป่วยจาก RSV แล้วค่อยคิดทำประกันสุขภาพ บริษัทประกันอาจไม่รับประกันหรือกำหนดเงื่อนไขความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน ซึ่งจะเสียโอกาสในการปิดความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างน่าเสียดาย

สำหรับโรค RSV นั้นอัตราการป่วยถือว่าน่ากังวลมากกว่าไวรัส COVID-19 ด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ RSV จะระบาดตามฤดูกาลเท่านั้น แต่จะเห็นว่าจำนวนกว่า 33.8 ล้านคนเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงอัตราป่วย COVID-19 ในปัจจุบัน ประกอบกับเชื้อไวรัส RSV ก็ยังไม่มีวัคซีน และมีโอกาสป่วยได้ง่ายในช่วงนี้ โดยมีค่าใช้จ่ายการรักษาไม่น้อย ดังนั้นนอกจากป้องกันบุตรหลานของทุกท่านจากโรค RSV นอกเหนือจากหมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะบุตรหลานให้ดี ควรพิจารณาเลือกประกันสุขภาพให้พวกเขา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อบุตรหลานเจ็บป่วยอย่างไม่คาดคิด จะสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างรวดเร็วและกลับมาแข็งแรงและใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุขได้ในเร็ววัน

บทความจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/906556?anf=

เอ่ยชื่อ “บัณฑูร ล่ำซำ” หรือคุณปั้น เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะบุรุษผู้นี้ทรงอิทธิพลมากทีเดียว ปัจจุบันคุณปั้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย

ล่าสุด คุณปั้น แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ปัจจุบันรวมทั้งมุมมองต่างๆ ที่น่าสนใจไว้ดังนี้ ..!

1. นักท่องเที่ยวจีนที่หายไปมากไม่ใช่เพราะเรือล่มอีกแล้ว แต่เป็นเพราะในประเทศจีนเองก็เจอปัญหาหนักมาก ทั้งคนที่เที่ยว และ ออกมาลงทุนหายไปจากปัจจัยใหญ่กว่าที่คนไทยเข้าใจมากนัก

2. อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะคอนโดที่เราก็เห็นว่ามันโอเวอร์ซัพพลาย มานานแล้ว เริ่มออกอาการชัดเจน เนื่องจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะที่มีพวกแนะนำให้คนไปหายนะ เช่น การไปสอนคนกู้เงินเกินมากๆ เพราะอยากได้นายหน้า ยกตัวอย่าง คนที่ไม่เคยมีเงินกู้คอนโดเลย ก็มีคนสอนให้กู้พร้อมกันห้าที่ เงินเดือนห้าหมื่น กู้พร้อมกันห้าคอนโดผ่าน เพราะยังไม่เคยมีประวัติ และ ก็จะผ่านพร้อมกัน ได้เงินเกินจำนวนหลายล้าน และมีหนี้ระดับสิบล้าน และมีคนเป็นแบบนี้จำนวนมาก คิดว่าจะเอาค่าเช่ามาผ่อน แต่ค่าเช่าก็ไม่พอ และไม่มีคนเช่า

3. Leverage ทางการเงิน แค่ใช้ไม่เป็นก็แย่แล้ว นี่กำลังจะเป็นขาขึ้นของดอกเบี้ยเต็มอัตราอีกไม่นาน

4. หนี้สินที่มีอยู่ตอนนี้ คือ หนี้สินที่ดอกเบี้ยต่ำสุด (bottom) ถ้าดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพียง หลักสตางค์ บาท สองบาท หายนะของคนเป็นหนี้ทันที เช่นบ้านเคยผ่อนต้น หมื่น ดอกเบี้ย สองหมื่น ในยอดผ่อนสามหมื่น จะกลายเป็นดอกเบี้ยแทบทั้งหมดในทันที

5. ที่เงินยังไหลเข้าในบอนด์ไทยที่เรทต่ำกว่า โลก อย่าดีใจ เพราะเขาต้องการถือเงินบาท เพื่ออะไรบางอย่างเท่านั้น

6. บริษัทใหญ่ๆ ช่วงที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ออกบอนด์กันบานตะไท มีสองอย่างคือ หนึ่งขาดสภาพคล่องจริง ซึ่งเรทติ้งจะตกอีกไม่ช้า จากผลประกอบการจึงต้องรีบ ออกบอนด์ในเรทที่ยังไม่เป็น junk bonds อีกอย่างคือ บริษัทที่ทราบว่าดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นแล้วจึง lock อัตราดอกเบี้ยระยะยาวไว้ เพราะ เมื่อดบ. ลอยตัว ต่อให้เป็น บลจ. ต้นทุนก็จะสูงขึ้นมากอยู่ดี

7. ใครทำงานแบงค์ให้รีบมองหางานใหม่ก่อนที่จะถูกลดคนพร้อมๆ กันจากระบบใหม่ และตอนนั้นจะหางานทำยากมาก เพราะจะมีคนที่ออกจาก sector นี้หลักหมื่นคนพร้อมๆ กัน

8. อาชีพขายประกันจะอันตรายมาก เนื่องจากจะถูก threads หลากหลายโดยเฉพาะ บริษัททุนจากจีน ที่สร้างระบบ ecosystem ครบวงจรมา โดยตัดตัวแทนทิ้งออกหมดต้องหาทิศทางให้เราอยู่ได้ดีๆ

9. คนทำธุรกิจ อย่า cut ตัวเองตอนที่ไม่เหลืออะไรให้คัท เหมือนหุ้น

10. หนี้เสีย NPL ที่ประกาศน้อยกว่าจริงมาก และ ต่อให้ประกาศจริง ของจริงก็มากกว่านั้นอีกเยอะมาก ซึ่งจะทำให้แบงค์เซได้ อย่างมีนัยยะ

11. อสังหาจีน ธุรกิจที่พึ่งประเทศจีน ตอนนี้ เหนื่อย เพราะจีนเองก็เหนื่อยมากจริงๆ

12. คอนโดดีๆ ที่เราชอบ ให้วนดูให้ถูกใจ และ รอซื้อตอนแฮคัทของแบงค์ต่างๆ ค่อยยื่นกู้ซื้อ ในเงื่อนไขที่ดีมาก เพราะคนที่ถือเก็งกำไรและไม่สามารถจ่ายได้มีจำนวนมากในขณะนี้

13. ที่ดินตอนนี้ ขายยากมาก เพราะเงินในระบบจาก M3 หายไปมากจริงๆ

14. Bitcoin และ เหรียญต่างๆ น่าจะออกแบบมาเพื่อทดสอบระบบและทำหน้าที่ Burn cash ทิ้งจากการพิมพ์เงินตลอดเวลา ​ซึ่งเป็นการ burn ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก

15. Block Chain เป็นอะไรที่เจ๋งมากถ้าใช้ถูกจุดประสงค์ เช่นการระดมทุน เพราะ fraud ยากมาก

16. หุ้น softbank น่าซื้อเก็บไว้เป็นหุ้นแห่งอนาคต แต่ต้องใช้เงินที่ตัดลงทุนระยะยาว ไม่ควรเก็งกำไร

17. โลกแห่งหุ้น VI ในไทยจะหมดไปเรื่อยๆ เพราะแทบจะไม่มีธุรกิจที่ยั่งยืนในพื้นฐานโลกใหม่ที่กำลังจะดำเนินไป

18. จีนเร่งการใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน … ธุรกิจหุ้น Bluechip ในน้ำมันจึงควรพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะคนที่ซื้อกองทุนเพื่อลดภาษี LTF LMF ลงในหุ้นพลังงานแทบทั้งนั้นแะลในแบงค์ใหญ่ ซึ่ง แบงค์กำลังจะมีปัญหาจากหนี้เสียจำนวนมากแบบควบคุมไม่ได้ … และ พลังงานจะเปลี่ยนแปลงในอีกไม่กี่ปีอย่างมีนัยยะ … ให้มองการลงทุนมากกว่าการลดภาษี

19. ในปีหน้า จะมีการ Roll over Bonds ในไทยอย่างต่ำ ประมาณห้าแสนล้าน และ บางส่วนก็ไม่รู้จะ roll ผ่านหรือไม่ และ อาจจะมีการลด rating ในหลายบริษัทที่ไม่ผ่าน …

20. หนี้เสียแค่บริษัทใหญ่ๆ บริษัทเดียวกระเทือนไปทั้งตลาด ถ้ามีแบบนี้หลายบริษัท ไม่ต้องพูดถึง

21. AI จะเข้ามาแทนในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงมาก อย่างไม่น่าเชื่อ และ การที่ไม่เชื่อว่ามันจะมาแทนขนาดนั้น ก็เหมือนกับที่รุ่นพ่อแม่เราไม่คิดว่าโลกทุกอย่างจะมารวมในมือถือเครื่องเดียวได้ขนาดนี้

22. ไม่ใช่เมืองไทยบริหารไม่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ระดับโลก ทรุดตัวลงพร้อมๆ กัน โดยที่ไม่มีภูมิภาคไหนดีเลย ซึ่งหมายความว่า จากที่เคยแย่ส่งออก ดีใน หรือแย่ในดีส่งออก แต่จะกลับเป็น แย่ในทั้งภาคบริโภคภายใน และ ส่งออกพร้อมกัน

23. สิ่งที่เราเจออยู่คือ Bubble ของ อสังหาริมทรัพย์, หุ้น, เดริเวอร์ทีฟ,หนี้ พร้อมๆ กันทุกอย่าง ซึ่งไม่รู้จะแก้ยังไง จึงค่อยๆ ซึมลง เพราะทุกปัญหาหากมีทางแก้ชัดเจน ก็จะ crash ลงและ correction ตัวมันเอง

24. ทุกอย่างที่จะเป็นโค้ช พารวย แล้วใช้ชีวิตดีหรูหรา พาเที่ยว … ถ้ามันมีจริง คงไม่มีใครอยากทำงานหนัก อย่าไปโลภมาก เพราะความเสียหายจากสิ่งเหล่านี้มันมาก และ ซ้ำไปมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

25. ให้ระวังการถือ Bonds ต่างๆ อย่างที่สุด เพราะพวกเราถูกสอนให้เชื่อใน credit rating แล้วให้ยืมเงิน และ เอาสิทธิ์เจ้าหนี้มาเฉยๆ … ในบริษัทที่ล้มหลายบริษัท ตอนออกหุ้นกู้ เรทติ้งก็ยังดีอยู่แต่ทำไมถึงล้ม ทั้งต่างประเทศ และในไทยเร็วๆนี้ (มีทั้งเจ้าหนี้ภายนอกด้วย) ให้รักษาเนื้อรักษาตัวระวังเงินต้นที่มีให้ดี บางทีหุ้นกับบอนด์ หุ้นยังปลอดภัยกว่า

26. ถ้ารอบนี้คนเก่ง ชอต แบงค์ใหญ่เป็น จะได้เงินก้อนใหญ่ เพราะเป็นที่แน่นอนว่าหนี้เสียในระบบไม่น่าจะควบคุมได้ และ ผิดนัดชำระบานตะไท

27. อีกไม่เกินสิบปี ในหลายประเทศไม่ได้เปลี่ยน รถเครื่องยนต์ธรรมดาเป็น EV car แต่จะเทิร์นไปสู่ ออโตโนมัสคาร์เลย โดยเฉพาะเมืองจีน จะเร่งวางระบบอินฟราสตัคเจอร์ใหม่ บนระบบ 7G ซึ่ง ฟังดูดี แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับ รถที่ไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ประเภทเก่าจะถูกโละไปจะทำให้หลายอุตสาหกรรมหมดไปจากที่เห็นๆ เช่น โรงงานที่ทำส่วนประกอบทั้งหมดของรถยนต์ดีเซล, เต๊นรถ, ช่างทั่วไป, แม้แต่อุตสาหกรรมที่ใหญ่สุดๆ เช่น พลังงานน้ำมัน … มันมีโอกาสจะกระทบแบบ big impact มากๆ

28. ทองคำยังมีค่าเสมอ เวลาค่าเงินมีปัญหาให้เรียนรู้จากหลายๆ ประเทศที่ค่าเงินลดอย่างรุนแรง และคนที่มีทองคำอยู่ในมือ จะสามารถ ทรานเฟอร์ไปในค่าเงินใดก็ได้ในโลก …

29. นักลงทุนรายใหญ่ของโลกมากๆ หลายคน และ บริษัทเข้าไปถือ เหมืองทองอย่างมีนัยยะ ถ้ามันไม่ดีเขาจะถือไว้ด้วยเหตุอันใด โดยเฉพาะตระกูลยิว ใหญ่ๆ

30. ใครที่ฟุ้งเฟ้อ มากกว่ารายได้ที่มี … ขอให้ลองพิจารณาอย่าสร้างหนี้ เพราะดอกเบี้ย มันคือพลังทวีอย่างมาก อย่างที่ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ ทั้งทางบวกและลบ

31. เศรษฐกิจพอเพียง สามารถช่วยเราได้ ถ้าเราไม่สร้างหนี้มากเกินไป อย่างน้อยไทยก็มีวัดให้เราฝากท้อง … และที่ดินทุกจังหวัด ก็สามารถปลูกผัก ปลูกผลไม้ทานได้ … ไม่เหมือนในหลายๆ ประเทศ

32. บอนด์จะเป็นชนวนการเกิด crisisใหญ่ใน
รอบนี้อย่างมีนัย.

นายบัณฑูร ล่ำซำ

8 พ.ย. 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า 

 

สถานการณ์ทั่วโลก 8 พฤศจิกายน 2563...

ทั่วโลกแตะหลัก 50 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาราว 21 วัน

เวลาที่ใช้ในการติดเพิ่มทุก 10 ล้านคนนั้นลดลงเรื่อยๆ จาก 43 มา 38 มา 31 และมา 21 วัน เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มอีก 462,499 คน รวมแล้วตอนนี้ 50,071,869 คน ตายเพิ่มอีก 6,870 คน ยอดตายรวม 1,254,507 คน 

อเมริกา ติดเพิ่ม 124,398 คน รวม 10,155,482 คน ตายเพิ่มอีกมากถึง 1,188 คน ขณะนี้ตายไปแล้ว 243,127 คน 

อินเดีย ติดเพิ่ม 39,230 คน รวม 8,500,003 คน

บราซิล ติดเพิ่ม 5,000 คน รวม 5,636,181 คน

รัสเซีย ทำลายสถิติเดิม ติดเพิ่มอีกถึง 20,396 คน รวม 1,753,836 คน   

อันดับ 5-10 ตอนนี้ ฝรั่งเศส สเปน อาร์เจนตินา โคลอมเบีย สหราชอาณาจักร และเม็กซิโก บางประเทศติดถึงหลายหมื่นต่อวัน

อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น

ตอนนี้อิตาลีติดเชื้อแต่ละวันหลายหมื่นคน คาดว่าอาจแซงเปรูขึ้นอันดับ 11 ของโลกในวันพรุ่งนี้ได้

หลายต่อหลายประเทศในยุโรป ก็ยังติดกันหลักร้อยถึงหลักพัน

ส่วนจีน และเกาหลีใต้ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย เวียดนาม และนิวซีแลนด์ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

...สถานการณ์ในเมียนมาร์ ทะลุหกหมื่นไปแล้ว เมื่อวานติดเพิ่ม 1,071  คน ตายเพิ่มอีก 20 คน ตอนนี้ยอดรวม 60,348 คน ตายไป 1,396 คน อัตราตายตอนนี้ 2.3% 

ในขณะที่ต้องจับตาดูคือ ญี่ปุ่น ขณะนี้ติดเชื้อต่อวันเกินพันคนมาแล้ว การระบาดดูแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น

หากโรค COVID-19 ยังคงอัตราเร็วแบบนี้ ปลายปีเราอาจมีตัวเลขสะสมอยู่ที่ราว 80 ล้านคน แต่หากไวรัสทวีความรุนแรงขึ้นแบบแนวโน้มที่ผ่านมา โดยประชาคมโลกไม่ได้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ก็อาจมีสิทธิแตะหลักร้อยล้านได้
หวังใจลึกๆ ไว้ว่า มาตรการเข้มข้นที่หลายประเทศกำลังดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดังที่เห็นในยุโรปตอนนี้ น่าจะมีส่วนชะลอการระบาดให้ช้าลงได้ในขณะที่เรารอดูผลการศึกษาวัคซีนป้องกันโรค ที่จะออกมาช่วงปลายปีนี้
ยังยืนยันเช่นเดิมครับว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ ไม่ว่าจะชาติใดก็ตาม เพราะเสี่ยงกันถ้วนหน้า

หลายเคสที่ผ่านมา ติดเชื้อก็หาต้นตอไม่ได้ 

ชีวิตจริงก็มีสาเหตุเพียง ติดโดยนำเข้ามาจากต่างประเทศ หรือระหว่างเดินทาง หรือภายในประเทศ

หนทางป้องกันคือ "ไม่นำเข้ามาจากต่างประเทศโดยไม่จำเป็น" และ"ส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคภายในประเทศอย่างทั่วถึง" 

แต่หากเราสังเกต จะพบว่า ที่ทำๆ กันอยู่นั้น ทั้งสองเรื่องดันไม่ได้ทำในแบบที่ควรทำ แถมดันพยายามจะลดวัน ทำให้ปราการกักตัวมาตรฐานอ่อนลงด้วยซ้ำ

ขอให้เราทุกคนรักตัวเอง รักครอบครัว ป้องกันตัวเสมอนะครับ

ด้วยรักต่อทุกคน

 

บทความจาก https://www.thaipost.net/main/detail/83141

'RSV' เกิดจากอะไร? เด็กเล็กเสี่ยงเป็นง่าย เช็ค 5 อาการต้องรู้!

 

โรคระบบทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส "RSV" เกิดขึ้นกับเด็กๆ ได้บ่อยในช่วงปลายฝนต้นหนาว หากเกิดกับเด็กเล็กมักจะมีอาการรุนแรง ถ้าพ่อแม่ไม่ทันสังเกตจนลูกป่วยหนัก และรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิต!

เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนผ่านอีกครั้งในรอบปี โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว มักจะทำให้คนเราป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ ก็ยิ่งป่วยง่ายขึ้นไปอีก สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ควรหมั่นสังเกตอาการลูกให้ดี เพราะช่วงนี้เด็กเล็กมักจะป่วยจากการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี "RSV" ซึ่งหากปล่อยไว้จนอาการรุนแรง และรักษาไม่ทันอาจอันตรายถึงชีวิตได้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนพ่อแม่ที่มีลูกเล็กไปรู้จักกับไวรัสตัวร้าย RSV และ "โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก" ให้มากขึ้น ว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร? มีอาการอย่างไร? เพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้ลูกป่วย หรือหากป่วยเป็นโรคนี้ก็จะได้รีบพาไปรักษาได้ทันท่วงที

  • "RSV" คืออะไร เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจอย่างไร

อาจารย์แพทย์หญิงโสภิดา บุญสาธร สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เอาไว้ในบทความวิชาการ ระบุว่า RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus  คือไวรัสสุดฮิตที่ทำให้เด็กเล็กป่วยติดเชื้อชนิดนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว

โดยเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้ร่างกายผลิตเสมหะออกมาจำนวนมาก ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้มีมานานหลาย 10 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันเริ่มมาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นเนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ มักจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็ก

160387114661

 

 

  • "RSV" มีสาเหตุเกิดจากอะไร

จริงๆ แล้วไวรัส RSV มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป แต่หากร่างกายอ่อนแอและอยู่ในช่วงฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน อากาศเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็สามารถติดเชื้อไวรัสนี้ได้ง่าย การติดเชื้อไวรัส RSV นั้นเกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากเกิดในผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่มีสุขภาพแข็งแรง อาการป่วยจะหายได้เอง

แต่ถ้าหากเกิดในเด็กเล็กๆ ที่ภูมิคุ้มกันยังต่ำ อาจทำให้มีอาการรุนแรง โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุประมาณ 3-5 ขวบ ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปอด โรคหัวใจ ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกัน

เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกาย มักติดต่อผ่านทางการ ไอ จาม รวมถึงการสัมผัสโดยตรงจากสารคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ)

  • อาการป่วย "RSV" ที่พ่อแม่ต้องรู้!

ข้อมูลจาก อาจารย์แพทย์หญิงโสภิดา ยังระบุอีกว่าเนื่องจากการติดเชื้อไวรัส RSV ระยะเริ่มต้นนั้นใช้เวลาในการฝักตัวประมาณ 3-6 วัน หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา ทำให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองรู้ตัวช้า ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตอาการของลูกหลานอย่างใกล้ชิด

อีกทั้งต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มด้วย เช่น อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ลูกป่วยด้วยอาการมีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล เจ็บคอ มีเสมหะจำนวนมาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราด 

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจาก นายแพทย์พรเทพ สวนดอก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ ระบุถึงอาการที่พึงระวังของโรคนี้ว่า หากเด็กมีอาการไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอจนอาเจียน หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing) กินข้าวหรือนมได้น้อย ซึมลง ปากซีดเขียว นั่นแสดงว่าอาการหนัก ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการหนักมีโอกาสว่าระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้สูง

160387115278

  • โรคติดเชื้อ "RSV" อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต?

ปัจจุบันเปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตของเด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรงนั้นน้อยมาก เพราะไวรัส RSV ไม่ใช่เชื้อโรคที่ร้ายแรง แต่สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มักมาจากการเกิด "ภาวะแทรกซ้อน"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กมากๆ หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจจะเกิดภาวะรุนแรงถึงขั้นการหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้ 

  • การรักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV 

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออก จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและอาการหายใจหอบเหนื่อยได้

โรคติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งมีความอันตรายสูงกับเด็กเล็ก เชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ

160387115131

 

วิธีป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส RSV

พ่อแม่ต้องหมั่นรักษาความสะอาดให้ลูก เช่น หมั่นล้างมือตัวเองและลูกน้อยบ่อยๆ เพราะการล้างมือสามารถลดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้ถึงร้อยละ 70 ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเท ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง 

สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองที่ลูกมีอาการป่วย ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติ ไม่ไปอยู่ในสถานที่แออัด ควรดูแลทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวและแยกไว้ต่างหากเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และหากลูกเข้าเรียนอนุบาลแล้ว เมื่อลูกป่วยก็ควรให้ลูกหยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อสู่เด็กคนอื่นๆ 

-------------------

อ้างอิง:  

rama.mahidol.ac.th

chulalongkornhospital.go.th

bangkokhospital.com

 

บทความจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/904787?anf= 

 

เตือน! หนาวนี้ระวังโรค RSV ในเด็ก รุนแรงกว่าโควิด-19 (คลิป)

 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก เผย ปลายฝนต้นหนาว เริ่มเข้าสู่ช่วงที่เด็กเล็กเป็นโรคไวรัส rsv โดยพบมากขึ้น อาการจะคล้ายกับโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคที่เกิดในระบบทางเดินหายใจ แนะผู้ปกครองหากบุตรหลานมีอาการคล้ายไข้หวัด และหายใจหอบเหนื่อย ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที

 

 

บความจาก https://www.tnnthailand.com/content/60050

 

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

RSV เชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในกลุ่มเด็กเล็กขณะนี้ มีอาการแบบไหน แตกต่างกับไข้หวัดใหญ่อย่างไร

RSV เชื้อไวรัสสุดฮิตที่มักเกิดขึ้นในหมู่เด็กเล็ก เชื้อไวรัสชนิดนี้ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "Respiratory Syncytial Virus" เป็นเชื้อไวรัสไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B โดยก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้ร่างกายผลิตเสมหะออกมาจำนวนมาก ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ มักจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็ก และพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน แต่อาการมักไม่รุนแรง เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันมาบ้างแล้ว

 

ที่สำคัญก็คือ RSV สามารถเป็นแล้วเป็นอีกได้หลายครั้ง เนื่องจากมี 2 สายพันธุ์ มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

จับสังเกตอาการติดเชื้อไวรัส RSV

- ระยะเริ่มต้นนั้นใช้เวลาในการฝักตัวประมาณ 3-6 วัน หลังจากได้รับเชื้อ จะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เริ่มจากมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม 

- มีเสมหะจำนวนมาก

- มีไข้สูง

- หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด หรือ เสียงครืดคราดในลำคอ ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ

- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ช่วงปลายฝนต้นหนาว

- เด็กที่อายุน้อยกว่า 1-2 ปี เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เด็กที่คลอดก่อนกำหนด โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่น หูอักเสบ ไซนัสหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

RSV ต่างจากไข้หวัด ธรรมดาอย่างไร?

อาการติดเชื้อไวรัส RSV นั้น มักจะไม่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาในผู้ใหญ่หรือเด็กโต แต่ในเด็กเล็กเริ่มต้นเป็นไข้หวัดแล้วอาจมีเชื้อลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่างเป็นปอดอักเสบได้

ทั้งนี้ แพทย์สามารถตรวจากน้ำมูก ซึ่งจะตรวจพบเชื้อ RSV เพียงร้อยละ 53-96 ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV การตรวจทำได้ในบางโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจทุกรายเพราะการตรวจพบ หรือไม่พบเชื้อ RSV ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษา แต่ช่วยในการแยกผู้ป่วยเพื่อลดการแพร่กระจายโรคได้

วิธีการรักษา 

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV หรือ วัคซีนป้องกัน แพทย์จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ ประคับประคอง เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ หรือการให้ออกซิเจน เพื่อเพิ่มความชื้น ความชื้นเหล่านี้จะทำให้เสมหะที่อุดอยู่ในหลอดลม เมื่อไอ เสมหะ จะหลุดออกมาได้ง่าย รวมถึงการเคาะปอดและดูดเสมหะออก ส่วนยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์หากไม่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

แต่หากเป็นแค่อาการหวัดจากเชื้อ RSV ให้รักษาตามอาการที่บ้านได้ ไม่มีความจำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาล เพราะเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนจากโรงพยาบาลหรือการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

 

วิธีป้องกัน

- หมั่นให้ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดต่อทางการสัมผัส

- หลีกเลี่ยงสถานที่คนจำนวนมาก หรือใส่หน้ากากอนามัยในที่ๆ คนพลุกพล่าน

- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ 

- ให้เด็กดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อลดภาวะขาดน้ำและช่วยขับเสมหะออกจากร่างกาย 

- แยกอุปกรณ์และภาชนะต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคน ไม่ควรใช้ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม สถานที่เสี่ยงในการติดเชื้อส่วนใหญ่ ได้แก่ สถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล หรือตามสถานที่ชุมชน โดยทั่วไปเชื้อจะแพร่ได้นาน 3-8 วันหลังมีอาการป่วย แต่อาจนานถึง 3-4 สัปดาห์ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดังนั้น หากผู้ปกครองพบว่า เด็กมีอาการเจ็บป่วยคล้ายไข้หวัดให้หยุดเรียน เพื่อเฝ้าดูอาการจนหาย หรืออย่างน้อย 5-7 วัน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

ขอบคุณข้อมูลจาก

อ.พญ.โสภิดา บุญสาธร สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

พญ.กิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

รองศาสตราจารย์ (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

บทความจาก https://www.tnnthailand.com/content/60083