Covid 19 บาดแผลที่เหลือไว้ให้ชาวโลก ความโหดร้ายของ Covid 19 ภาคสอง
โดย นายแพทย์ ยงค์ศักดิ์ เลียงอุดม 10/09/2020

8 เดือนหลังจากที่ Covid 19 ระบาดมีคนเสียชีวิตทั่วโลกแล้วกว่า 900,000 คน ในบรรดาคนป่วย 27ล้านคนที่รอดชีวิตจาก Covid 19 คนเหล่านี้ยังต้องผจญกับปัณหาทางสุขภาพในระบบต่างๆของร่างกาย อันเป็นผลพวงจากความเสียหายที่ Covid 19 ได้กระทำไว้

คนที่ติดเชื้อ Covid 19 เคยคิดกันว่าจะมีอยู่สองชนิด คือกลุ่มที่มีอาการมากต้องอยู่โรงพยาบาล และอีกกลุ่มมีอาการน้อย หรือไม่มีอาการ

จากการติดตามคนไข้จำนวนมากในยุโรปและอเมริกาพบว่ามีคนป่วยในกลุ่มที่สาม ส่วนใหญ่ไม่ได้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล มีอาการนานถึง 16 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น คนป่วยเหล่านี้เรียกว่ากลุ่ม long Covid หรือ long hauler

การศึกษาจาก US, UK และ Sweden จากคนนับล้านคน จาก Covid Symtom study group โดยวิธีใช่ app ตรวจสอบอาการ พบว่ามี 10-15% ที่มีอาการระยะยาว

จากการศึกษาใน 13 รัฐของอเมริกา 35% ของคนที่ test positive สำหรับ Covid 19 ยังมีอาการ เมื่อทำการสัมภาษณ์ 2-3 อาทิตย์ต่อมา

ในอังกฤษ ที่King college ได้ใช้ app : Covid symtom study ศึกษาติดตามคนที่เคยติดเชื้อ Covid 19 พบว่าจำนวนคนป่วย 300,000 คน ยังคงมีอาการมากกว่าหนึ่งเดือน

และพบว่า 60,000 คนมีอาการ long Covid ที่มากกว่า 3 เดือน มีอาการตั้งแต่เล็กๆน้อยๆ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก จนถึงปัณหาที่มากขึ้นเช่นต้องนั่งรถเข็น wheel chair

เชื้อ Covid 19 เข้าไปทำร้ายอวัยวะระบบต่างๆในร่างกาย และทิ้งความเสียหายไว้ ถึงแม้มันจะถูกขจัดไปแล้ว

ระบบหายใจ
คนไข้ส่วนหนึ่งหลังออกจากโรงพยาบาลแล้วยังมีปัณหา หายใจไม่เต็มอิ่ม เนื่องจากเนื้อปอดถูกทำลาย เหนื่อยง่าย บางคนต้องใช้ออกซิเจนกระป่องตลอดเวลา จากการศึกษาของ Mayo clinic ทำ CT scan ในกลุ่มคนที่ไม่มีอาการ พบว่าเนื้อปอดมีร่องรอยการถูกทำลาย มี scar ในเนื้อปอด

ระบบประสาท
คนไข้ส่วนหนึ่งหลังจากออกจากโรงพยาบาล ต้องพิการจาก stroke เป็นอัมพาตจากการที่ Covid ทำให้เส้นเลือดที่ไปที่สมองอุดตัน ปกติ stroke จะเกิดในคนอายุมากเฉลี่ย 70 ปีขึ้นไป แต่ Covid 19 ทำให้เกิด stroke ในคนอายุ 40-50 ปี

ในการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Lancet ได้ทำ MRI ของสมองของคนที่ตรวจพบ positive test for Covid 19 จำนวน 60 คน พบว่าเนื้อสมองมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับคนปกติเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือน อันเป็นสาเหตุให้ความจำเสื่อม เสียสมาธิง่าย บางครั้งสับสน

คนไข้จำนวนหนึ่งจะสูญเสียระบบประสาทการรับรสและการดมกลิ่นอย่างถาวร

ระบบหัวใจ
ไวรัส Covid 19 จะทำลายกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้การสูบฉีดโลหิตของหัวใจสูญเสียคุณภาพไป การศึกษาในเยอรมัน คนไข้ 78คน จาก 100 คนมีหัวใจที่ผิดปกติ การศึกษาที่ Wuhan ศึกษาในคนไข้ 416 คนที่เคยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 20% มีกล้ามเนื้อหัวใจที่ผิดปกติ

ระบบการทำงานของไต
พบว่า COVID-19 ทำให้คนไข้ส่วนหนึ่งมีไตวายเรื้อรัง ทำให้คนป่วยต้องมาล้างไตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากเนื้อไตถูกทำลายจากไวรัส หรือไวรัสทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดเล็กๆที่มาเลี้ยงไต

ระบบทางเดินอาหาร
จากการศึกษาของ university of Hong Kong พบว่าจะยังพบเชื้อ Covid 19 ในอุจจาระ หลังจากอาการป่วยทางระบบทางเดินหายใจหายดีขึ้นแล้ว จากจำนวนคนไข้ 7 คนใน 15 คน โดยคนไข้เหล่านี้ไม่มีอาการทางระบบทางเดินอาหารเลย และ ไวรัส Covid 19 จะทำให้รบกวน bacteria ดี ที่มีอยู่ในระบบทางเดินอาหาร

ปัณหาของคนที่ป่วยจาก Covid 19 ไม่เหมือนกับป่วยเป็นโรคหวัด ส่วนหนึ่งจะมีปัณหาระยะยาว และมี disables มีความพิการ และไม่สามารถกลับมาทำงานตามปกติ ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าการปล่อยให้มีภูมิคุ้มกันแบบ herd immunity จะคุ้มค่าหรือไม่ เพราะถ้าปล่อยให้คนติดเชื้อ ไม่ป่วย ไม่ตาย แต่อาจมีปัณหาระยะยาวตามมา แม้แต่ในคนหนุ่มสาว

คนป่วย long Covid เหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการรักษาต่อเนื่อง ในอังกฤษมีปัณหาจากระบบสาธารณสุขและแพทย์ที่อ่อนล้า ทำให้มีปัณหาที่จะดูแลคนป่วยเหล่านี้ แพทย์ส่วนหนึ่งที่ติดเชื้อ Covid 19 ก็เป็น long Covid ไม่สามารถกลับไปทำงานได้

ปัณหาการ lockdowns เป็นเวลานาน เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน สามในสี่ของเด็กอังกฤษเริ่มมีปัณหาทางจิตใจวิตกกังวล และหนึ่งในสี่ของพ่อแม่ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร ในการสำรวจเด็กอายุ 5- 18 ปีที่อังกฤษ 4ใน 10 ของเด็กรู้สึกโดดเดี่ยว

เมื่อการระบาดสิ้นสุดลง คงจะมีคนป่วยเป็น long Covid และปัณหาทางจิตใจนับล้านคน เหลือเป็นภาระให้ระบบสาธารณสุขทั่วโลก นี้คือความโหดร้ายต่อมนุษยชาติที่ Covid 19 ได้กระทำไว้ ยังไม่นับถึงการทำลายเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนที่ไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้

แต่ในประวัติศาสตร์หลังวิกฤตและการทำร้ายล้างครั้งใหญ่ จะมีการฟื้นตัวและพลิกโฉมของโลก อย่างเช่นที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักเศรษฐศาสตร์ผู้ปราชญ์เปรื่องได้ทำนายไว้ว่าเศรษฐกิจในปี 2021 จะกลับมา bloom รุ่งเรืองเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

Hope is the good thing, hope is the best thing in the time like this

เรียบเรียงและความเห็น โดย พลอากาศตรี นายแพทย์ ยงค์ศักดิ์ เลียงอุดม
ผู้อำนวยการ ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ
เป็นความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับองค์กร

รอบบ้านเราตอนนี้หนักมาก Malaysia เพิ่งประกาศทำ National Lockdown เวียดนามยังไม่จบ เขมรยังหนักมาก เมียนมาที่ตัวเลขสับสน ไต้หวันครั้งนี้ก็โดนหนักแต่น่าจะจบ มีความน่ากังวลบางอย่างใน UK และที่ US แนวโน้มค่อนข้างดีครับ

ผมทำสรุปตัวเลขและกราฟต่างๆมาให้ดูครับ มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างครับ

Malaysia:
อยู่ใน Wave#3 ที่หนักหน่วงซึ่งต่อเนื่องมากจาก Wave#2 แบบไม่ได้พักมายาวนานกว่า 7 เดือนแล้ว Local Lockdown ไปหลายรอบมาก แต่ที่สุดแล้ว ก็ควบคุมไม่ได้ ตัวเลขติดเชื้อ New High วันนี้ที่ 9,020 ก็ต้องตัดสินใจ Lockdown ทั่วประเทศตั้งแต่ 1 มิ.ย. แนวโน้มจากนี้ไปยังไม่ชัดต้องติดตามครับ แต่โอกาสแตะหลักล้านสูงมากครับ และสาธารณสุขของมาเลย์ก็เอาไม่อยู่แล้ว ตอน Wave#2 ตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันสูงสุด 25 คน แต่วันนี้ผู้เสียชีวิตรายวันก็สูงสุดเป็นสถิติกว่า 98 ราย และไม่น่าจะหยุดแค่นี้ครับ

มาเลย์เซียเป็นตัวอย่างของแชมป์เก่า ที่ไม่เด็ดขาด ก็เลยเจ็บนาน และเจ็บหนักมากครับ

Cambodia:
จบ Wave#1 เล็กๆที่ 470 กว่า จนกระทั่งโดน Wave#2 ขนาดใหญ่กว่าระดับ 100 เท่า เริ่มเมื่อกลางก.พ.ผ่านไป 3 เดือนแล้วก็ยังปิดไม่ลง วันนี้ 29,404 แนวโน้มกราฟ %Increase แม้จะค่อยๆลดลง แต่ปัญหาคือ มี Time Constant ที่ยาวนานถึง 27.5 วัน และสวิงมาก บ่งบอกขัดเจนว่า 1. ตรวจเชื้อน้อยเกินไป 2. การ์ดตกกันทั้งประเทศ ดูไม่ยากครับคนไทยที่กลับเข้ามาติดเชื้อเยอะมากผิดปกติ

ระบบสาธารณสุขที่นี่ไม่เพียงพอ ไม่น่าจะจบง่ายๆ แรงงานต่างด้าวและการลักลอบชายแดนจะเป็นปัญหาให้ไทยและเวียดนามไปอีกยาวนาน น่าจะจนกว่าจะเกิด Herd Immunity ในปีหน้าเลยครับ

Myanmar:
ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเป็นต้นมา กราฟและตัวเลขต่างๆไม่มีทรงที่ชัดเจน ผมเชื่อว่าระบบสาธารณสุขของเขา ไม่อยู่ในสภาวะปกติแล้ว ตัวเลขที่ดูน้อยเหล่านี้คือปัญหาใหญ่ เพราะทำให้ผู้ประกอบการไทยประมาทและนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาใช้งานจำนวนมาก เราพบ Cluster แรงงานเมียนมาในจังหวัดชายแดนและใกล้เคียงอยู่ตลอด และตอนนี้ก็ระเบิดออกมาเป็น Cluster โรงงาน ไซต์ก่อสร้าง ในที่ต่างๆร่วมกับแรงงานเขมร

ที่เมียนมา ผมคิดว่าไม่มีวันจบแน่นอน ปัญหาการลักลอบผ่านชายแดนจะทำให้เราและมาเลเซียเจ็บไปอีกนาน

Vietnam:
โดน Wave#1, #2, #3 ก็เอาอยู่ทั้งหมดจบรวมกันที่ 2,550 แต่ตั้งแต่ 29 เม.ย. ก็โดนจู่โจมโดยสายพันธุ์อังกฤษและอินเดียและเกิดลูกผสม British-India ระเบิดเป็น Wave#4 ซึ่งมาแบบ Surprise หนักมาก เปิดมาแค่ 7 วันกระโดดไป 200 ผ่านมาไม่ถึงเดือนตัวเลขไปที่ 4,000 และเพิ่งเกิด Cluster โรงงานขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่กราฟของ %Increase บอกเราว่า เวียดนามยังเอาอยู่ครับ Time Constant ยังดีมากที่ 9.1 ซึ่งถ้าถ้าไม่การ์ดตกใน 1.5 เดือนข้างหน้า น่าจะจบได้ที่ 7,000

Taiwan:
จบ Wave#1 ที่ระดับแค่ 400 จากนั้นก็มีติดเชื้อน้อยมาก มีแต่ Import Case จนกระทั่งโดนจู่โจมด้วย British Variant เกิด Wave#2 ขนาดใหญ่แบบรวดเร็วและรุนแรง เมื่อ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา ไต้หวันพยายามคุมแบบเบาๆและ Hitech ที่เคยทำสำเร็จ แต่ครั้งนี้เอาไม่อยู่ต้องประกาศใช้วิธีเข้มงวดตั้งแต่เมื่อ 19 พ.ค. ซึ่งตอนนี้แนวโน้มเอาอยู่ กราฟ %Increase วิ่งตาม Time Constant ที่ 9.1 น่าจะไปจบที่ประมาณ 14,000 ช่วงกลางเดือนก.ค. ไต้หวันคงพยายามลง Zero New Case แน่นอน และน่าจะทำได้ถ้าไม่พลาดท่าเสียที

ความน่ากังวลจากสถานการณ์รอบบ้าน:
สถานการณ์ที่ เวียดนาม ไต้หวัน กัมพูชา รวมทั้งไทยด้วย บอกเราค่อนข้างชัดเจนถึงความรุนแรงของไวรัสกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์อังกฤษครับ
และอยากจะเตือนว่า มองโกเลียที่แทบไม่โดนอะไรเลยตลอดปี 2020 จนถึง Q1 2021 ก็แตกแล้วนะครับ วันนี้ไป 57,000 แล้ว ถ้าไต้หวันแตกได้ มองโกเลียแตกได้ จีนก็ประมาทไม่ได้เลยนะครับ ถ้าจีนแตกอีกรอบเศรษฐกิจกระทบเราหนักแน่ครับ

ความน่ากังวลที่ UK:
กราฟ %Increase ของ UK กำลังส่งสัญญาณการเข้า Wave#4 ชัดเจนมากครับ 1 เดือนแล้วที่กราฟไม่ลงต่อ และกำลังเชิดขึ้น น่ากังวลมากเพราะที่นี่ฉีดวัคซีนไปแล้วมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสายพันธุ์ที่กำลังจู่โจมคือสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 ตอนนี้รัฐบาลอังกฤษตื่นตัวแล้ว และคงต้องจับตามองอย่างยิ่งครับ สถานการณ์ที่อังกฤษจะสร้างบทสรุปให้เรารู้ว่า เราต้องฉีดวัคซีน AZ มากแค่ไหนในประชากรจึงจะเกิด Herd Immunity กับสายพันธุ์อินเดียได้

ความหวังที่ US:
วันนี้เป็นวันแรกที่มีเพียง State เดียวใน US คือ New York ที่รายงานตัวเลขเกิน 1,000 และเกินนิดเดียว แนวโน้ม US กราฟเป็นขาลงต่อเนื่อง ไม่มีติด Trap ที่ใดเลย น่าจะลงถึงระดับ 0.01% ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า และด้วยความที่ฉีดวัคซีนไปเยอะมากแล้ว ผมคิดว่าสงครามที่นี่น่าจะยุติแล้วครับ ยกเว้นว่า ไวรัสกลายพันธุ์จะดุกว่าที่เราคิดอย่างมาก
...................

กราฟประเทศไทย:
ต้องบอกว่าข่าวร้ายจริงๆครับ กราฟ %Increase ยังไม่ลงไปไหนเลย หลังจากโดนสารพัด Cluster จากสงกรานต์ มาต่อชุมชนเมืองและออฟฟิศ บวกด้วยเรือนจำ ตอนนี้ก็วนกลับมาที่แรงงานต่างด้าวอีกครั้ง เราติดอยู่ที่กับดัก %Increase แถวๆ 3-5% โดยมีกราฟลดลงบ้างแต่ค่า Time Constant ยาวนานถึง 59 วัน ซึ่งแย่มากๆ ตัวเลขนี้คือช้าและยาวนานเกินกว่าจะจบครับ โดยทั่วไปจะเกิด Wave ถัดไปก่อนแน่นอน ไม่มีประเทศใดในโลกยกการ์ดสูงได้นานระดับ 3-4 เดือน เรายกมา 2 เดือนจนเมื่อยกันมากแล้ว เดือนหน้าเดือนถัดไป ผมว่า ความเสี่ยงสูงมากครับ วัคซีนดูแล้วคงทันและช่วยได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น

สิ้นเดือนก.ค. ตอนนี้ตัวเลขประเทศไทยแนวโน้มอยู่ที่ Total 240,000 แล้วยังไปต่อครับ

กราฟกทม.:
กทม.ตัวเลขและกราฟทรงตัว ยังไม่ไปไหนไกล ยังไม่ดีขึ้นเพียงพอ กราฟหลุดจากกับดัก %Increase ที่ 5% มาได้แค่นิดเดียว ตัวเลขยังคงอยู่ที่ราวๆ 2% ซึ่งยังน่ากังวลมาก เพราะสูงพอที่พร้อมจะระเบิด Cluster ใหม่เรื่อยๆครับ แนวโน้มตัวเลขตอนนี้ถ้ายังพอยันได้ สิ้นก.ค.น่าจะเพิ่มอีก 20,000 กว่าคนไปอยู่แถวๆ Total 60,000 ไม่รวมปริมณฑล ซึ่งก็ยังมีอีกมากให้น่าหนักใจครับ

เราไม่มีทางเปิดเทอมที่กทม.และปริมณฑลได้ภายในเร็วๆนี้ สิ้นก.ค. ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในกทม.อย่างดีก็น่าจะแถวๆ 400 คนครับ
ความหวังเดียวคือฉีดวัคซีนในกทม.ให้ได้ 4-5 ล้านคนในเดือนหน้า ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากครับ

คำแนะนำสำหรับ 1 เดือนข้างหน้า:
1. ไปฉีดวัคซีนให้ได้ ตัวไหนก็ได้ครับ แล้วท่านจะมีภูมิในเดือนก.ค. ส.ค. ซึ่งอาจเกิด Wave#4
2. รัฐบาลต้องหาวัคซีนมาให้ได้มากกว่านี้อีกมาก
3. กทม. WFH กันต่อไปสำหรับคนที่ยังไหว และธุรกิจที่ยังพอไหวก็ขอให้ WFH ครับ เลี่ยงสถานที่ติดแอร์กันต่อไป
4. โรงงาน และไซต์ก่อสร้าง ขอให้หยุดใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทันที ตรวจเชื้อคนงานทุกคน พม่า เขมรไม่จบง่ายๆหรอกครับ ถ้าต้องปิดโรงงานท่านจะเสียหายยิ่งกว่าค่าตรวจค่าดูแลคนงานเยอะครับ วัคซีนเดือนหน้าไม่ทันหรอกครับ
5. จังหวัดสีขาว จังหวัดสีเขียวเลขตัวเดียว ขอให้เปิดเทอมอย่างระมัดระวัง
6. จังหวัดที่ตัวเลข 0 หรือตัวเลขน้อย กักตัว 14 วันทุกคนที่มาจาก กทม.ปริมณฑล และจังหวัดที่มีโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าว ไปอีก 2-3 เดือน
7. ฝ่ายความมั่นคง ชายแดนจะเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายไปจนถึงสิ้นปี จนกว่าเราจะเกิด Herd Immunity จากการฉีดวัคซีนมากพอครับ
8. ผู้สูงอายุ ขอให้เพิ่มความระมัดระวัง ผมคิดว่าเดือนหน้า คนหนุ่มสาวน่าจะเริ่มการ์ดตกกันหนักมากขึ้นครับ

ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า สถานการณ์ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ และมีโอกาสที่อะไรจะแย่ลงไปได้อีกทุกเมื่อ และน่าจะต้องสู้กันยาวถึงสิ้นปี ณ จุดนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า วัคซีน นี่คืออาวุธเดียวที่จะทำให้เราจบสงครามนี้ได้ครับ ส่วนระหว่างที่อาวุธหนักยังไม่มา พวกเราแต่ละคนก็ต้องใช้อาวุธเบาคือ Social Distancing, Stay Home, WFH คนละไม้คนละมือตามสภาพ ทุกคนต้องช่วยกันซื้อเวลาให้ได้ยาวนานที่สุดครับ ขออย่างเพิ่งถอดใจ อย่าเพิ่งยอมแพ้ครับ อีกไม่กี่เดือนมันก็จะจบแล้วครับ แม้ว่าช่วงใกล้จบมันอาจจะ Peak หน่อย แต่มันจบแน่ๆครับ
ขอให้ทุกท่าน ครอบครัวและคนที่ท่านรักสุขภาพแข็งแรงครับ

 

Covid-19: บทสรุป 2 ปี 4 Waves ใน อังกฤษ ยุโรป อเมริกา อิสราเอล ข่าวดีของวัคซีนฝรั่ง ข่าวร้ายของคนที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน และมองไทยไปข้างหน้า Wave#5 ที่เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอ แต่จะเจอแบบไหน

หลังจากการระบาดมาหลาย Wave และปิดท้ายด้วย Wave ขนาดใหญ่ของ Delta ในอังกฤษ ยุโรป อเมริกา และอิสราเอล ซึ่งผ่านมาพักใหญ่ทำให้เราได้ข้อมูลสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับความสามารถของวัคซีนในภาวะการระบาดใหญ่ที่เนื่องจากการเปิดเศรษฐกิจเต็มที่ ซึ่งผมทำสรุปมาเป็นตารางให้ตามรูป

จากตัวเลข ผมคิดว่าเรามีข่าวดีหลายประการ รวมทั้งข่าวร้ายด้วยครับ

ข่าวดี:
1. วัคซีนฝรั่ง AZ, Moderna, Pfizer ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดในภาวะเปิดเมือง ที่ระดับการฉีด Fully Vaccinated 70% โดยเกิด Wave ขนาดใหญ่ขึ้นจริง แต่อัตราการติดเชื้อใหม่เข้าสู่ Saturation ไม่ไปต่อแบบ Exponential โดยไม่ต้อง Lockdown เช่นใน UK การระบาดอิ่มตัวที่ 30,000 เคสต่อวัน และชีวิตเดินหน้าต่อได้
2. อัตราการเสียชีวิตใน ยุโรป อเมริกา อิสราเอล โดยเฉลี่ยลดลงอย่างมากเมื่อมีวัคซีน สถิติโดยเฉลี่ยของแต่ละ Wave
- Wave#1 อัตราการเสียชีวิต 9.97%
- Wave#2 อัตราการเสียชีวิต 1.78%
- Wave#3 อัตราการเสียชีวิต 1.53%
- Wave#4 อัตราการเสียชีวิต 0.48% หรือลดลงเหลือ 1 ใน 3 ของ Wave ก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากวัคซีน
3. ขนาดของ Wave Delta ภายใต้วัคซีนมีแนวโน้มเล็กลงกว่า Wave ก่อนหน้าโดยสามารถเปิดเมืองได้ค่อนข้างเต็มที่ แนวโน้มขนาด Amplitude ของ Wave ลดเหลือประมาณ 1 ใน 2 ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยรายวันลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 6 เมื่อเทียบกับ Wave ก่อนหน้า ทั้งที่จริงๆแล้ว Wave ก่อนเป็นของสายพันธุ์เก่าที่ไม่เก่งเท่า Delta ด้วย
4. การติดเชื้อและเสียชีวิตใน Wave ล่าสุดจำนวนมากกว่า 90% เกิดในผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน จากงานศึกษาใน USA "Almost all (more than 9 in 10) COVID-19 cases, hospitalizations, and deaths have occurred among people who are unvaccinated or not yet fully vaccinated"
5. อัตราการเสียชีวิตในผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ตัวเลขยังไม่ชัดเจน แต่มีความหวังว่าแนวโน้มอาจต่ำกว่าระดับ 0.1% ซึ่งก็คือระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
6. ข่าวดีของเด็กๆ UAE เพิ่งอนุมัติ Sinopharm สำหรับเด็ก 3-17 ปี และใน USA Pfizer กำลังจะยื่นขออนุมัติการใช้ในเด็ก 6 เดือน ถึง 5 ปี พ.ย.นี้
7. ประเทศไทยเรา เปลี่ยนแผนมาใช้วันซีน AZ, Moderna, Pfizer เป็นหลักในการต่อสู้ให้จบสงครามนี้แล้ว และ Sinopharm สำหรับเด็กก็อยู่ในแผน

ข่าวร้าย:
1. ไม่มี Herd Immunity เกิดขึ้นจากวัคซีน และจะไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย วัคซีนใน Generation นี้
2. ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน จะไม่ได้รับการคุ้มครอง จะเกิดการระบาดใหญ่ในกลุ่มนี้ และอัตราการตายยังสูงมากเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่
3. โควิด 2 นครา การใช้ชีวิตบนโลกจะแบ่งแยกเป็น 2 แบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือ ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว และผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน อัตราการตายจะต่างกันนับสิบๆเท่า
4. ผู้คนจะต้องเลือกที่จะเผชิญระหว่าง 3 สิ่งที่เลี่ยงได้ยากคือ หนึ่งฉีดวัคซีน สองติดโควิดซ้ำซาก สามอยู่ในถ้ำกักตัวไปจนกว่าจะ Zero Covid ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปีข้างหน้า

มองประเทศไทยไปข้างหน้า Wave#5 จะหน้าตาแบบไหน:
รัฐบาลไม่มีเงินเหลือแล้ว การเปิดเศรษฐกิจเต็มที่ในช่วงเดือน พ.ย. ธ.ค. เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และนั่นหมายถึงว่า Wave#5 ของ Delta จะต้องเกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้่นในแบบที่เราจะมีการฉีดวัคซีนไปมากแล้ว และการ Lockdown ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว Wave ที่จะถึงนี้จึงจะมีความแตกต่างจาก Wave ก่อนๆที่เราเคยเจอมา โดยสิ้นเชิง

ตัวเลขของประเทศที่เราควรมองและอาจเป็นส่วนหนึ่งของภาพอนาคตของเราคือ UK ซึ่งประชากรเท่าๆกัน และอัตราการฉีดวัคซีนของเราในช่วง พ.ย. ธ.ค. อาจใกล้เคียงกับ UK ในช่วงการระบาดที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

ความเป็นไปได้ ใครเสี่ยง ใครรอด:
1. ขนาดของ Wave "ถ้าโชดดี" เหลือครึ่งหนึ่งที่ระดับ 800,000 ในระยะยาวนาน 3-4 เดือน ผู้ติดเชื้อรายวันระดับไม่เกิน 10,000 เสียชีวิตรายวันไม่เกิน 50 คน
2. "ถ้าโชคร้าย" ขนาดของ Wave ไปตัวเลข UK ผู้ติดเชื้อรายวันระดับ 30,000 คนต่อวัน อัตราการตายระดับ 100 - 200 คนต่อวัน ยาวนานต่อเนื่องหลายเดือน หรืออาจเป็นปี
3. ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะคือคนที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือ ได้รับวัคซีนมานานมากจนเสื่อมประสิทธิภาพแล้ว โดยเฉพาะกลุ่ม SV 2 เข็ม ส่วนกลุ่ม Pfizer 2 เข็ม, AZ 2 เข็ม, Moderna 2 เข็ม, SV 2 เข็ม + Booster น่าจะปลอดภัย ส่วนสูตรที่เหลือ เวลาจะพิสูจน์ให้เราทราบครับ ตอนนี้ไม่มีข้อมูลเทียบเคียง
4. การติดเชื้อในเด็กจะมากมาย จากการเปิดเทอม แม้อัตราการเสียชีวิตอาจจะไม่สูง แต่ภาวะ Long Covid ยังน่ากังวล
5. การ Lockdown จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ทุกรัฐบาลหลังชนฝา เดินหน้าตายเป็นตาย เวลา 2 ปีคือขีดสุดของการ Compromise เศรษฐกิจ นานกว่านี้เสี่ยงเกินไปกับหายนะความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้งระดับ Civil War ที่อาจ Trigger จากปัญหาเศรษฐกิจ

ปัญหาใหญ่ของฝรั่งที่มีวัคซีนดีในมือและล้นมือแต่จบไม่ค่อยสวย คือคน Anti Vaccine เยอะมาก ตัวเลข Fully Vaccinated เริ่มอิ่มตัวที่ 70% แต่สำหรับประเทศไทย คนไทย ผมเชื่อว่าเราจะพร้อมใจกันไปฉีดวัคซีนมากกว่านั้นมาก อาจถึง 90% ถ้าเราฉีดวัคซีนได้วันละ 1 ล้านคนนับจากนี้ และวัคซีนสำหรับเด็กและเยาวชนมาถึง รวมทั้งวินัยการควบคุมโรคและการรักษาของเราที่ดีกว่า และเดือนต.ค.เราไม่เร่งร้อนผ่อนผันมาตรการกันมากเกินไป น่าจะยังมีความเป็นไปได้สูง ที่ช่วงเดือน พ.ย. ธ.ค. ปลายปีนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับทุกคนครับ ช่วยกันครับ ใกล้จบแล้ว เราสามารถจบมันได้อย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สบบูรณ์แบบก็ตามครับ

แหล่งข้อมูล: Worldometer, Bloomberg, kff.org
#Sunt Sianthamrong

หัวเมืองตะวันตก สมุทรสาครแตกพังพินาศ อย่างที่สุด

ผมคิดว่า Stay Home กันได้แล้วครับ หนักมากแล้ว เราช้าเกินไปแล้ว ...
ผมว่า ต้อง Panic กลัว และเตรียมพร้อมทันทีครับ ความกลัวเท่านั้นที่จะช่วยเราได้แล้วครับ

ความน่ากลัว....
1. แค่วันที่ 3 ก็พบผู้ติดเชื้อระดับ 516 คน กรณีที่ยะไข่วันที่ 3 พบ 2 คน ที่ดานังพบ 15 คน ดูที่กราฟครับ เรากำลังแย่มากๆ
2. อัตราการพบผู้ติดเชื้อต่อผู้เข้าตรวจ >40% ที่คือสาหัสมาก
3. มีแรงงานเมียนมาอยู่ที่สมุทรสาครประมาณ 200,000 คน ตัวเลข Case จริงจะเป็นเท่าไหร่ ระบบสาธารณสุขที่นั่นจะเอาไหวไหมครับ
4. ที่นั่นคือตลาดกลาง ที่มีคนจากกรุงเทพฯและที่ต่างๆเข้ามาและนำสินค้าไปขายต่อกระจายไปหลายพื้นที่
5. ตัวเลข 516 นี้ใหญ่มากอาจจะเกินกว่าที่การทำ Contract Tracing จะได้ผลเต็มที่แล้ว
6. มาตรการที่ประกาศคืนนี้ เบามาก และพยายามจะ Down Tone ไม่ให้คนกลัว ซึ่งผมว่าผิดทางแล้วครับ รัฐบาลกำลังห่วงเศรษฐกิจมากเกินไปเหมือนๆกับทุกประเทศที่ล้มเหลว สุขภาพดูท่าว่าจะมาทีหลังเสียแล้วครับ

สิ่งที่ควรทำที่สุด:
ปกป้องกรุงเทพฯ ครับ
กรุงเทพฯอาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับย่างกุ้งได้ภายในไม่กี่วัน เราไม่สามารถติดตามทุกคนที่มาจากสมุทรสาครไปกรุงเทพฯได้ เราจะเสี่ยงอย่างนั้นหรือครับ? ถ้ากรุงเทพฯแตก มันจะกระจายไปทั่วประเทศครับ
อย่างน้อยกรุงเทพฯและปริมณฑล ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะจำเป็นนะครับ
1. หยุดโรงเรียน
2. ปิดห้าง โรงหนัง
3. เข้มงวดขนส่งสาธารณะ
4. ปิดร้านเหล้าทั้งหมด
5. Work from Home
6. มหาวิทยาลัย เรียน Online ทั้งหมด
ฯลฯ

อย่างน้อย 7 วันแล้วดูผลว่าจะต้องขยับเป้น 14 วันไหมครับ

จำไว้นะครับว่ากรณีแรงงานต่างชาติ
1. เมียนมาเจ้าของประเทศ เริ่มที่ยะไข่ หนักสุดที่ย้างกุ้ง วันนี้ 115,187
2. สิงคโปร์ โดนมาก่อนเพื่อน 58,403
3. มาเลเซียกำลังโดนอยู่ วันนี้ 91,969 และยังไม่จบ

ประเทศไทย 2nd Wave นี้ถ้าปิดได้โดยไม่ถึงหลักหมื่น ผมถือว่าเก่งมากๆครับ

ผมเองทำอะไร... ไม่ได้อยู่ในสมุทรสาครนะครับ แต่ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ Stay Home ครับ

Sunt​ ​Srianthumrong
19/12/63
https://www.facebook.com/100000921874426/posts/5147455651961780/?sfnsn=mo

❗Please share❗

Dr Anthony Fauci, head of the US CDC, said,

50% of deaths in the United States occur in haircuts.
The biggest danger comes from the barber shop itself.

The most dangerous Corona outbreak is from barber shops.

The barber wipes the nose of at least 4 to 5 people with the same towel.

Haircut towel, haircut razor,
Haircut brushes are used by many people.

The barber is in contact with many people,
If we come in contact with an infected patient, the ticket will definitely be infected.

Before the virus has completely disappeared,
We don't even think of going to the salon to get a haircut.
Even if the situation returns to normal,
The threat remains.
This danger will last for a long time.

Don’t rush for a haircut 💇‍♂️ M/F
on 12may.

Stay safe Stay healthy

... no haircut until zero cases to be sure lor. Save money also. 🤣🤣🤣

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ