ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
 
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
“หมอยง” เผย องค์การอนามัยโลก ออกคำแนะนำ ในการใช้วัคซีน “สูตรไขว้” ของไทย ที่ใช้วัคซีนเชื้อตาย สลับกับ virus Vector หรือ mRNA เพื่อใช้เป็นแนวทาง ให้แต่ละประเทศปรับความเหมาะสมในการให้วัคซีน

วันนี้ (18 ธ.ค.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ โควิด-19 วัคซีน องค์การอนามัยโลก ให้คำแนะนำในการฉีดวัคซีน “สูตรไขว้” โดยระบุว่า

องค์การอนามัยโลก ได้ลงพิมพ์ Interim recommendations for heterologous COVID-19 vaccine schedules ใน Interim guidance วันที่ 16 December 2021 ที่ผ่านมา ในคนไทยด้วยกันเอง มีการโต้แย้งกันมาก

ทั้งที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นที่แน่ชัด และกำลังลงพิมพ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อีกหลายบทความ คณะกรรมการพิจารณางานวิจัย ให้แก้ไขบทความน้อยมาก และเชื่อว่า จะได้ลงพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยทีมวิจัยของเราได้ทำวิจัยอย่างได้มาตรฐาน

จะเห็นว่า องค์การอนามัยโลก ได้ออกคำแนะนำ ในการใช้วัคซีน “สูตรไขว้” ของไทย โดยใช้ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเอกสารอ้างอิง และ ข้อมูลที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ใช้วัคซีนเชื้อตาย สลับกับ virus Vector หรือ mRNA เพื่อใช้เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศปรับความเหมาะสมในการให้วัคซีน ตามสภาวะของวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศนั้นๆ อยากอยู่ในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการใช้วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม สลับด้วยการกระตุ้นด้วย ไวรัส Vector หรือ mRNA อย่างที่เราใช้กันในประเทศไทย

กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกัน โรคโควิด-19 แล้ว ที่ใช้สูตรสลับ SV-AZ ประสิทธิภาพเท่าเทียมกับ AZ-AZ

หลักฐานการศึกษาวิจัย องค์การอนามัยโลก ได้เอาไปใช้อ้างอิง และมีการเผยแพร่ไปทั่วโลก จะเห็นว่า มีข้อมูลการศึกษาออกจากประเทศไทย โดยเฉพาะในทีมที่เราทำการศึกษากันมาอย่างต่อเนื่อง

ทุกอย่างเกิดขึ้นในภาวะฉุกเฉิน เพราะระยะเวลา เราทำวิจัยอย่างเร่งด่วน ขณะนี้ก็เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำในการใช้วัคซีนแบบสูตรสลับ

 

 

ข้อมูลจาก https://mgronline.com/qol/detail/9640000124865

 

 

รายงานศึกษาโอมิครอนชี้วัคซีนที่ใช้อยู่หลายบริษัทอาจเอาไม่อยู่
 
ผลศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันและ Humabs Biomed SA บริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์บ่งชี้ว่า วัคซีนซิโนฟาร์มของจีน, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันของสหรัฐ และสปุตนิกของรัสเซีย มีประสิทธิภาพต่ำในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันและ Humabs Biomed SA ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า วัคซีนซิโนฟาร์มของจีน, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันของสหรัฐ และสปุตนิกของรัสเซีย มีประสิทธิภาพต่ำในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

รายงานระบุว่า ผู้ทื่ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มครบโดสจำนวน 3 จาก 13 รายเท่านั้นที่ร่างกายสามารถสร้างแอนติบอดีต้านทานโอมิครอน และผู้ที่ได้รับวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีเพียง 1 จาก 12 รายเท่านั้นที่มีภูมิต้านทาน ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนสปุตนิกจำนวน 11 ราย ไม่มีแม้แต่รายเดียวที่มีภูมิต้านทาน
   รายงานยังระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทค, โมเดอร์นา รวมทั้งแอสตร้าเซนเนก้า ต่างก็มีแอนติบอดีต่ำเช่นกัน
   อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 และได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทคจะมีการลดลงของแอนติบอดีน้อยที่สุด โดยลดลงเพียง 5 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทค แต่ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะลดลงมากถึง 44 เท่า
    ขณะนี้ ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ระบาดไปยัง 77 ประเทศทั่วโลก หลังจากมีการตรวจพบไวรัสดังกล่าวครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ไม่ถึง 1 เดือน โดยโอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง 70 เท่า
ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/977968

6 กลเม็ด! เปลี่ยนรายจ่ายไม่มีบิล ให้หักรายจ่ายทางภาษีได้

ซื้อของไม่มีบิล ร้านค้า หรือผู้รับเงินไม่สามารถออกใบเสร็จให้ได้ ทำให้ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินเพื่อลงบันทึกบัญชีเพื่อนำมาหักรายจ่ายทางภาษี แต่ทราบหรือไม่ว่า ปัญหานี้มีทางแก้ได้ถึง 6 วิธี อ่านคำตอบได้ที่นี่

ปกติการประกอบธุรกิจทุกประเภท จะต้องมีการจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในการดำเนินงานของกิจการ และเมื่อมีรายจ่ายก็จะต้องนำมาลงบัญชีรายจ่ายของกิจการ โดยใช้หลักฐานการชำระเงิน หรือใบเสร็จรับเงินเป็นเอกสารเพื่อแสดงค่าใช้จ่ายต่างๆ และนำไปใช้หักรายจ่ายทางภาษี จะช่วยทำให้เสียภาษีน้อยลง

​แต่เอกสารการซื้อที่สามารถนำไปใช้หักรายจ่ายทางภาษีได้ จะต้องสมบูรณ์ ถูกต้อง มีหลักฐานผู้รับเงินเสมอ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและสรรพากรยอมรับ

โดยในเอกสารรายจ่ายควรจะมีข้อความดังนี้

- ชื่อที่อยู่ของผู้รับเงิน (ผู้ขาย)
- มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือเลขบัตรประจำตัวประชาชนสำหรับบุคคลธรรมดา 
- มีชื่อที่อยู่ของผู้ซื้อ (ผู้จ่ายเงิน)
- มีรายละเอียดสินค้าและบริการ จำนวนเงิน
- เป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้ ในการซื้อของหรือจ่ายเงินกับบางร้าน แต่ผู้รับเงินไม่ออกหลักฐานการจ่ายเงินให้ อย่างเช่นการซื้อของเบ็ดเตล็ดจากร้านค้าบางแห่ง อาจไม่มีบิลหรือใบเสร็จ ทำให้นำมาลงบันทึกบัญชีไม่ได้ หรือรายละเอียดในเอกสารไม่ครบถ้วน ถูกต้องตามที่สรรพากรกำหนด ก็ไม่สามารถนำมาหักรายจ่ายทางภาษีได้ ซึ่งผู้ประกอบการอาจไม่ทราบว่า คุณสามารถแก้ปัญหาได้ ตามแนวทางดังต่อไปนี้ 

  • ทำใบสำคัญจ่าย (Payment Voucher)

ในกรณีที่กิจการใบเสร็จรับเงิน ระบุชื่อเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่กิจการ แต่กิจการมีหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ได้ว่าได้จ่ายเงินไปเพื่อกิจการจริง ผู้ซื้อสินค้าสามารถจัดทำ “ใบสำคัญการจ่าย” (Payment Voucher) โดยข้อมูลในใบสำคัญจ่ายประกอบด้วย

- ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้รับ วันเดือนปีที่จ่าย รายการที่จ่ายเงิน (จ่ายเป็นค่าอะไร) จำนวนเงิน และลายเซ็นผู้รับเงิน
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับเงิน 
- หลักฐานการจ่ายชำระอื่นๆ ประกอบ เช่น สลิปการโอนเงิน สำเนาเช็ค สำเนาใบ pay-in slip
- กรณีที่ต้องมีการภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต้องแนบสำเนาการหักภาษี ณ ที่จ่ายประกอบด้วย

จากนั้นให้ผู้ขายเซ็นลงนาม พร้อมถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของผู้ขายเก็บไว้ด้วย

  • ทำใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน

หากเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่มีบิลหรือใบเสร็จรับเงิน และผู้ขายไม่ยินยอมหรือไม่มีสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน อย่างเช่นสินค้าตามตลาดทั่วไป เป็นสินค้าเบ็ดเตล็ด ร้านโชห่วย หรือการนั่งวินมอเตอร์ไซค์ซึ่งผู้รับเงินหรือผู้ขายมักจะไม่มีหลักฐานในการรับเงิน หรือเป็นบิลเงินสดเขียนมือ 

ดังนั้น กิจการสามารถจัดทำเป็น “ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน” ได้ แต่ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่มีจำนวนไม่สูง ออกโดยผู้ซื้อซึ่งสามารถนำเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ขาย หรือผู้รับเงินลงลายมือชื่อ หรือให้พนักงานผู้รับเงินเป็นคนลงชื่อรับรองการจ่ายเงินในใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าค่าใช้จ่ายนี้ เป็นการจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นจริง

  • ทำใบรับเงิน

“ใบรับเงิน” ที่สามารถใช้แทนใบเสร็จรับเงิน เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีนั้น ผู้รับเงินต้องยินยอมออกใบรับเงิน (ตามมาตรา 105 ทวิ) ในใบรับเงินและสำเนาใบรับเงิน โดยมีรายละเอียดตัวเลขไทยหรือเลขอารบิก และอักษรภาษาไทย หากทำเป็นภาษาต่างประเทศต้องให้มีภาษาไทยกับด้วย และมีรายละเอียดให้ครบถ้วยดังนี้ 

- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ออกใบรับเงิน
- ชื่อของผู้ออกใบรับเงิน
- เลขที่เอกสารของใบรับเงิน
- วันเดือนปีที่ออกใบรับเงิน
- จำนวนเงินที่ได้รับ
- ชนิด ชื่อ จำนวนและราคาสินค้า
- ถ้าเป็นการขายสินค้าให้กับผู้ซื้อซึ่งขายสินค้าประเภทเดียวกัน ต้องแสดงชื่อที่อยู่ของผู้ซื้อไว้ในใบรับเงินด้วยทุกครั้งที่มีการรับเงิน

  • ทำใบสำคัญรับเงิน

“ใบสำคัญรับเงิน” ใช้กรณีผู้ที่รับเงินยินยอมให้เอกสารสำเนาบัตรประชาชน และยินยอมลงนามเป็นผู้รับเงินในใบสำคัญรับเงิน เราสามารถทำใบสำคัญรับเงินเพื่อใช้ลงบันทึกบัญชีและหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ 

พร้อมแนบกับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับเงินประกอบด้วย สิ่งที่สำคัญคือต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพขายสินค้า/บริการอย่างแท้จริง 

  • สั่งจ่ายเช็คคร่อม (A/C PAYEE ONLY) เมื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านเช็ค

​หากกิจการซื้อสินค้าและทำการจ่ายด้วยเช็ค ให้สั่งจ่ายเป็นเช็คคร่อม (A/C PAYEE ONLY) พร้อมกับระบุชื่อผู้รับเงินหรือผู้ขายไว้ด้วย สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการลงบัญชี และใช้หักรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้

  • จ่ายเงินโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร

​การใช้จ่ายและทำธุรกรรมผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ กิจการควรโอนเงินพร้อมทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) ให้เสร็จสรรพ 

หรือจ่ายเงินผ่านระบบตัดบัตรหรือตัดบัญชีเงินฝากธนาคารของบริษัทให้ผู้รับเงิน (ผู้ขาย) ก็สามารถใช้เอกสารแสดงการตัดบัญชีของบริษัทที่ได้รับจากธนาคาร เป็นหลักฐานในการลงบัญชี และนำไปหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เหมือนกัน​

  • ระวัง! ต้องไม่เป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม

และไม่ว่าวิธีต่างๆ ที่กิจการสามารถนำค่าใช้จ่าย มาใช้คำนวณกำไรสุทธิได้ แต่ถ้าหากเป็นค่าใช้จ่ายที่เข้าข่ายเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามแม้ว่าจะมีเอกสารการจ่ายเงินที่ถูกต้องครบถ้วนก็ไม่สามารถนำมาใช้หักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ดังนี้

​- เป็นรายจ่ายส่วนตัว และการให้โดยเสน่หา 
​- รายจ่ายที่ไม่ใช่เพื่อกิจการหรือเพื่อหากำไร
- รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเอง ซึ่งไม่มีการจ่ายจริง 
- รายจ่ายที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้รับ

สรุป

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง หรือกิจการต้องเสียภาษีมากกว่าความเป็นจริง กิจการจำเป็นต้องเลือกซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่ออกบิล ใบเสร็จรับเงินถูกต้องสมบูรณ์ หรือทำตามหลักเกณฑ์ของสรรพากร ก็จะทำให้เสียภาษีน้อยลง ข้อมูลการลงบัญชีตรงกับความเป็นจริง เอกสารถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลัง  

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/business/976808?anf=

 

"หมอดื้อ" รีวิวฉีดวัคซีน "โมเดอร์นา" เข้าชั้นผิวหนัง ใช้น้อย แต่ภูมิเท่ากัน 

"หมอดื้อ" โชว์รีวิวฉีดวัคซีน "โมเดอร์นา" เข้าชั้นผิวหนัง ย้ำประสิทธิภาพ ใช้น้อย ภูมิเท่ากัน แถมปลอดภัยกว่าเต็มโดส

(12 ธ.ค.2564) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ค เราฉีดวัคซีนกันติด กันตายจากโควิด ไม่ใช่ตาย ป่วย และหลายรายอาการยืดเยื้อเรื้อรังจากวัคซีน เราต้องมีทางเลือก เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ภายหลังเข้ารับการฉีดวัคซีน "โมเดอร์นา" เข้าชั้นผิวหนัง ระบุว่า หมอ และภรรยา และคนในบ้าน รวม 6 คน ฉีด โมเดนา เช้าชั้นผิวหนัง ที่โรงพยาบาล The Senizens เรียบร้อยดีไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ทั้งแขนที่ฉีด และไม่มีไข้ ปวด ต้ว ปวดหัว อ่อนเพลียใด ๆ ตัวหมอเอง เข็มก่อนหนัานี้ แอสตร้า ป่วยไป 3 วัน ลุกไม่ได้ เพื่อนที่ได้ โมเดอร์นา เข้ากล้าม ป่วยไป 4 วัน ทั้งปวดแขน นอนป่วย ไข้ สูง ปวดหัว รุนแรง

"หมอดื้อ" รีวิวฉีดวัคซีน "โมเดอร์นา" เข้าชั้นผิวหนัง ใช้น้อย แต่ภูมิเท่ากัน

 

ฉีดโมเดอร์นา ชั้นผิวหนัง ใช้ขนาด 10 ไมโครกรัม ไม่ใช่ 100 แบบเข้ากล้าม การศึกษาทั้งต่างประเทศ และในประเทศ ได้ผลเท่ากัน แต่ปลอดภัยกว่า 1 ขวดโมเดอร์นา ฉีดได้ 10 คน กลายเป็นได้ 100 คน คณะทำงานของเรา ศึกษาฉีด แอสตร้า ชั้นผิวหนัง ตาม ซิโนแวค เข้ากล้าม 2 เข็ม มากกว่า 400 ราย ภูมิยับยั้งเดลตา ขึ้นดีพอกับเข้ากล้าม แต่ต่อ เบต้า จะด้อยกว่าไฟเซอร์ ที่ดีต่อทั้ง เดลต้า และเบต้า (อีกหลายที่ในประเทศไทยที่ศึกษาการฉีดชั้นผิวหนังได้ผลดีและผลข้างเคียงน้อยกว่า 10 เท่า) เหตุผลสำคัญ ชั้นผิวหนัง เพราะหมอและแพทย์ทางสมอง ต้องประสบกับผู้ป่วยอาการรุนแรง ทางสมอง เส้นประสาท หัวใจ ลิ่มเลือด สมองบวม และมีเสียชีวิต หลายรายมาก จากวัคซีนเข้ากล้าม เราฉีดวัคซีนกันติด กันตายจากโควิด ไม่ใช่ตาย ป่วย และหลายรายอาการยืดเยื้อเรื้อรังจากวัคซีน เราต้องมีทางเลือก เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

"หมอดื้อ" รีวิวฉีดวัคซีน "โมเดอร์นา" เข้าชั้นผิวหนัง ใช้น้อย แต่ภูมิเท่ากัน

สำหรับ ผู้ที่สนใจฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง สามารถ โทรจองคิว ได้ที่โรงพยาบาล Seniszens ตามข้อมูลในรูป
 

"หมอดื้อ" รีวิวฉีดวัคซีน "โมเดอร์นา" เข้าชั้นผิวหนัง ใช้น้อย แต่ภูมิเท่ากัน

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/hot-social/496511?adz=

 

พันธุ์นี้ดุสุด ดร.อนันต์ เผย "วัคซีนเข็ม 3" ยังไร้ผล เมื่อเจอ "โอไมครอน"

ตัวไหนก็เอาไม่อยู่ ดร.อนันต์ อัปเดต ผลวิจัยล่าสุด "วัคซีนเข็ม 3" ถูกลดทอนประสิทธิภาพ เมื่อเจอ โควิดสายพันธุ์ "โอไมครอน"

ตัวไหนก็เอาไม่อยู่ ดร.อนันต์ เผยผลวิจัยสุดช็อค "วัคซีนเข็ม 3" ถูกลดทอนประสิทธิภาพ เมื่อเจอ โควิดสายพันธุ์ "โอไมครอน"

วันนี้ 8 ธ.ค.64 เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana หรือ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้โพสต์ระบุข้อความว่า

ทีมวิจัยที่เมือง Cape town ของแอฟริกาใต้แสดงข้อมูลของผู้ป่วยชาวเยอรมัน 7 คน (ชาย 2 หญิง 5) อายุเฉลี่ย 27.7 ปี (25-39 ปี) ที่ติดไวรัสโอมิครอน (ยืนยันด้วย sequencingแล้ว) ในขณะพำนักอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ โดยผู้ป่วยทั้ง 7 คน ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม โดย 5 คนได้ PZ 3 เข็มแล้ว โดยเข็มที่ 3 ได้ประมาณช่วง ตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนอีก 1 คนได้เข็ม PZx2 และ เข็มสามเป็น MDN เต็มโดสตั้งแต่ 3 ตุลาคม และ อีก 1 คนได้เข็มไขว้ AZ-PZ และ ได้เข็มสามเป็น PZ วันที่ 26 ตุลาคม

โดยสรุปคือ ทุกคนได้เข็มกระตุ้นมาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการระบาดของ "โอไมครอน" ในเมืองนี้ของแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นสภาวะที่ภูมิหลังเข็มสามยัง active เต็มที่ แต่ก็ยังติดเชื้อสายพันธุ์นี้

ทั้ง 7 คน มีอาการป่วยเล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่จำเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล อาการที่เห็นชัดในผู้ป่วยคือ ไอแห้ง เจ็บคอ เยื่อบุจมูกอักเสบ หายใจไม่สะดวก อ่อนเพลีย เมื่อตรวจปริมาณไวรัสในตัวอย่างของผู้ป่วยแต่ละคน พบว่า ไวรัสในตัวอย่างมีปริมาณค่อนข้างสูง 1.41 x 10e4 ถึง 1.65 x 10e8 (เฉลี่ย 4.16 x 10e7 copies/ml)

ซึ่งพบว่าจุดสูงสุดของไวรัสคือ วันที่ 4 หลังแสดงอาการ ถ้าเทียบดูปริมาณไวรัสโดยเฉลี่ยของโควิดโดยทั่วไปคือ 6.76 x 10e5 copies/ml ที่ 5 วันหลังมีอาการ ทำให้อาจเป็นไปได้ที่ โอมิครอนจะสามารถเพิ่มจำนวนได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม แต่ข้อมูลยังน้อยเกินไปที่จะสรุปในตอนนี้

ที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยที่ 6 ใน 7 คน มีค่าแอนติบอดีในเลือดที่วัดในหน่วย AU/ml สูงเกินหมึ่นทุกคน ผู้ป่วยรายที่ 2 ที่มีปริมาณไวรัสสูงสุดเป็นผู้ที่มีแอนติบอดีสูงถึงมากกว่า 40000 AU/ml ซึ่งชัดว่าปริมาณแอนติบอดีสูงๆด้วยการวัดวิธีนี้ไม่สามารถอนุมานต่อได้ว่าจะป้องกันการติดเชื้อ "โอไมครอน" ได้

ข้อมูลชุดนี้บอกว่า ภูมิจากเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนในปัจจุบันคงจะไม่เพียงพอต่อการป้องกัน "การติดเชื้อ" เข้าสู่ร่างกายของไวรัส "โอไมครอน" แต่ที่ชัดเจนคือ "อาการหลังติดเชื้อไม่หนัก" และ สามารถรักษาตัวเองให้หายได้ในเวลาไม่นาน ปริมาณไวรัสที่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วยเหล่านั้นไม่น้อยและแพร่กระจายได้ การรับมือกับโอมิครอนคงจะพึ่งวัคซีนอย่างเดียวไม่ได้ครับ เครื่องมืออื่นๆคงต้องพร้อม

ที่มา

พันธุ์นี้ดุสุด ดร.อนันต์ เผย "วัคซีนเข็ม 3" ยังไร้ผล เมื่อเจอ "โอไมครอน"

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/covid-19/496333

 

2021 12 13 09 13 48

สธ. ยืนยันชุดตรวจ ATK ที่ไทยใช้สามารถตรวจพบได้ทุกสายพันธุ์ ส่วนวิธีมาตรฐานที่ใช้ตรวจพบได้แม้จะกลายพันธุ์เพิ่ม

วันนี้ (9 ธ.ค.64) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับโควิด 19 สายพันธุ์โอไมครอน ว่า กระทรวงสาธารณสุขโดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่าย ได้เฝ้าระวังตรวจสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 มาโดยตลอด ตั้งแต่มีการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน -8 ธันวาคม 2564 ทำการสุ่มตัวอย่างตรวจสายพันธุ์ไวรัส รวม 1,645 ราย แยกเป็น จากผู้ที่เดินทางเข้าราชอาณาจักร 99 ราย และจากผู้ติดเชื้อในประเทศ 1,546 ราย ตรวจด้วยวิธี SNP genotyping ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นเฉพาะตำแหน่งและเฉพาะยีนเพื่อหาลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์ไวรัส

เมื่อสงสัยว่าเป็นสายพันธุ์ที่จับตามองจะส่งตรวจยืนยันด้วยวิธี Whole genome sequencing (WGS) เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ซึ่งเกือบทั้งหมดพบเป็นสายพันธุ์เดลตาคือ 1,641 ราย ส่วนสายพันธุ์โอมิครอนพบเพียง 4 ราย หรือไม่ถึง 1%

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพศหญิง 2 ราย ที่สงสัยเป็นสายพันธุ์โอไมครอน ผลตรวจยืนยันด้วยวิธี WGS พบว่า เป็นโอไมครอนจริง ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 3 ราย เป็นชาวอเมริกัน 1 ราย และชาวไทย 2 ราย ทุกรายเดินทางมาจากต่างประเทศ และเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้รับตัวอย่างผู้ติดเชื้ออีก 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 41 ปี เจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (Democratic Republic of the Congo) ในระบบ Test & Go ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว 2 เข็ม

ผลการตรวจเบื้องต้นสงสัยว่ามีโอกาสติดเชื้อโอมิครอน จึงนำตัวอย่างส่งตรวจหาสายพันธุ์ คาดว่าอีกประมาณ 2 วัน จะทราบผล ขณะนี้กรมควบคุมโรคได้สอบสวนโรคเพื่อหาผู้สัมผัสและอยู่ระหว่างการกักตัวเพื่อรับการรักษาตามมาตรการ

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่อว่า จากข่าวที่พบการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์โอไมครอน ขอยืนยันว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจจับได้จากการตรวจเบื้องต้นด้วยวิธี SNP genotyping เมื่อพบตำแหน่งที่คล้ายกับเดลตา (S.T478K) อัลฟา (S.delHV69-70, S.N501Y) และเบต้า (S.K417N) ในตัวอย่างเดียวกันจะเข้าข่ายสงสัยเป็นโอมิครอน

 

อย่างไรก็ตาม จะติดตามสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์อย่างใกล้ชิดและหาวิธีการตรวจที่ครอบคลุม รวมทั้งจะนำตัวอย่างเชื้อโอมิครอนมาทดสอบกับภูมิคุ้มกันของคนไทยที่ได้รับการฉีดวัคซีนชนิดต่าง ๆ เพื่อหาความสามารถในการจัดการของวัคซีนต่อโอไมครอนต่อไป

“ขอยืนยันว่าชุดตรวจ ATK ที่ใช้อยู่สามารถตรวจหาเชื้อโอมิครอนได้ แต่ต้องมีการเก็บตัวอย่างและตรวจให้ถูกวิธี รวมถึงมีการตรวจซ้ำ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ซึ่งประเทศไทยสุ่มตรวจพบเพียง 4 ราย จากกว่า 1,600 ราย ถือว่าน้อยมาก และยังไม่มีรายงานการติดเชื้อที่รุนแรง ไม่มีคนเสียชีวิตจากสายพันธุ์นี้ อย่างไรก็ตาม การป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดและวัคซีนยังเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด” นายแพทย์ศุภกิจกล่าว

 

ภาพจาก TNN Online

สุดช็อค ดร.อนันต์ เผย "ไฟเซอร์" "โมเดอร์นา" 2 เข็ม เอา "โอไมครอน" ไม่อยู่
 

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา เผย ข้อมูลวิจัยจากเยอรมัน เผย ผู้ฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" "โมเดอร์นา" 2 เข็ม หลังจาก 6 เดือน ภูมิตก จนไม่สามารถป้องกัน "โอไมครอน"

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา เผย ข้อมูลวิจัยจากเยอรมัน เผย ผู้ฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" "โมเดอร์นา" 2 เข็ม หลังจาก 6 เดือน ภูมิตก จนไม่สามารถป้องกัน "โอไมครอน" 

วันนี้ 8 ธ.ค.64 เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana หรือ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้โพสต์ระบุข้อความว่า

ผลการตรวจภูมิคุ้มกันจากวัคซีนต่อไวรัส "โอไมครอน" ออกมาอีกชิ้นหนึ่งจากทีมวิจัยในเยอรมัน เปรียบเทียบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบ 2 เข็มปกติ และ 3 เข็มกระตุ้น โดยผลสรุปจากการศึกษานี้ได้ดังนี้

1. ภูมิจาก PZ 2 เข็มสามารถจับและป้องกันเดลต้าได้ 48% แต่ได้ 0% เมื่อทดสอบกับโอมิครอน

2.เมื่อฉีด PZ 3 เข็ม ภูมิเมื่อเก็บหลังเข็มสามครึ่งเดือนยับยั้งเดลต้าได้ 100% และยับยั้งโอมิครอนได้ 58% แต่ถ้าเก็บหลังเข็มสาม 3 เดือน ภูมิตกจนยับยั้งโอมิครอนได้เพียง 25%

3.ภูมิผู้ที่เคยติดเชื้อและได้ PZ 2 เข็ม ยับยั้งเดลต้าได้ 85% และ โอไมครอน 25% (ไม่แน่ใจเก็บเลือดกี่เดือนหลังฉีด)

4.ภูมิจากคนที่ฉีด Moderna 2 เข็มมา 6 เดือน เหลือยับยั้งเดลต้าได้ 50% แต่ยับยั้งโอมิครอนไม่ได้เลย แต่ถ้า boost เข็มสาม จำนวนครึ่งโดส ภูมิที่เก็บ 2 สัปดาห์หลังกระตุ้นสามารถยับยั้งเดลต้าได้ 100% และเพียงพอต่อโอมิครอน 78% หลังจากนั้นไม่ชัดเจนจะตกลงไวแค่ไหน

5.เข็มไขว้ AZ-PZ หลังจากฉีด 6 เดือน ภูมินับยั้งเดลต้าได้ 21% และไม่เพียงพอยับยั้งโอมิครอน ถ้ากลุ่มนี้ได้เข็มกระตุ้นด้วย PZ ภูมิที่เก็บ 2 อาทิตย์จะพอยับยั้งเดลต้าได้ 88% และ ยับยั้งโอมิครอนได้ 38% หลังจาก 2 อาทิตย์ยังไม่ชัดว่าตกไวแค่ไหน

สุดช็อค ดร.อนันต์ เผย "ไฟเซอร์" "โมเดอร์นา" 2 เข็ม เอา "โอไมครอน" ไม่อยู่

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/hot-social/496082?adz=

นับเป็นข่าวดี หลังทีมแพทย์ค้นพบว่า
หลังการปรากฏตัวของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน ไวรัสเดลต้าก็จะหายไป เหมือนที่สายพันธุ์เดลต้าระบาดหนัก ไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นก็หายไป เพราะไวรัสสามารถเข้าไปอยู่ในร่างกายเพียงสายพันธุ์เดียวนอกนั้น จะถูกไวรัสสายพันธุ์ที่อยู่ในร่างกาย กำจัดออกไป องค์การอนามัยโลก แจ้งข่าวดี จากการคาดคะเนว่า ถ้าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ครองโลก เท่ากับมนุษย์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันจากธรรมชาติ


๑. สายพันธุ์โอไมครอนติดง่าย ไม่แสดงอาการ ไม่รุนแรง ไม่เสียชีวิต สามารถป้องกันได้ เป็นเหมือนไข้หวัดทั่วไป
๒. สายพันธุ์โอไมครอนจะกำจัดไวรัสสายพันธุ์ทุกสายพันธุ์

นี้ แสดงให้เห็นว่า
มนุษยชาติจะมีภูมิป้องกัน จะปลอดภัยจากการเสียชีวิตนี้ เป็นเพียงการคาดคะเนขององค์การอนามัยโลก เท่านั้นเราต้องรออีก สองสัปดาห์ เราจะรู้ว่าการคาดคะเนขององค์การอนามัยโลก จะเป็นจริงหรือไม่มนุษยชาติจะปลอดภัยจากการเสียชีวิต จริงหรือไม่ โลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ จริงหรือไม่

อีกสองสัปดาห์ รู้ผล
ตอนนี้ ที่ทำได้ก็คือ ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก อดทนอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดี มีสุข ต่อไป เราจะเปิดบ้าน เปิดโลก เปิดการทำมาหากิน ต่อไป ในสิ่งที่ร้าย ยังมีดีเสมอ ก็ขอภาวนา ว่าอย่าให้เกิดมีสายพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงแลน่ากลัว เกิดขึ้นใหม่ อีกเลย คนไทย ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก คนดี จะไม่โทษใคร ไม่ให้ร้ายใคร


ขอขอบพระคุณ ข่าวจาก อสมท. สำนักข่าวไทย

สถานการณ์โควิดอาจกำลังกลับมาเขย่าโลกอีกครั้ง กับการแพร่เชื้อสายพันธุ์ 'โอไมครอน' ที่เริ่มพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้เป็นสายพันธุ์ระดับน่ากังวล (Variants of Concern: VOC) โดยข้อมูลทางการแพทย์ขององค์การอนามัยโลกระบุว่า  ยังต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์จึงจะระบุได้ว่าไวรัสโอไมครอนจะดื้อต่อวัคซีนโควิดที่มีการผลิตในปัจจุบันหรือไม่ จนทำให้หลายประเทศตื่นตระหนกว่า สุดท้ายแล้ววัคซีนที่มีอยู่ในทางการแพทย์ และมาตราการต่างๆ ในการป้องกันและสกัดการแพร่โควิด จะรับมือโอไมครอนได้หรือไม่

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประเทศในเอเชีย-อาเซียน โดยทางการสิงคโปร์, มาเลเซีย, อินเดีย และศรีลังกา ประกาศว่าพบผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนเป็นครั้งแรกในประเทศเมื่อวันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียหวั่นไวรัสแพร่ระบาดในชุมชน หลังพบผู้ติดเชื้อที่ไม่มีประวัติเคยเดินทาง

มีข้อมูลเผยแพร่ออกมาว่า ถึงปัจจุบันมีมากกว่า 30 ประเทศแล้วที่รายงานพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน รวมถึงอินเดีย ซึ่งเคยเผชิญการระบาดอย่างรุนแรงของสายพันธุ์เดลตาเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เผยเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีว่า พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนครั้งแรกในประเทศ เป็นชาย 2 คนในรัฐกรณาฏกะทางภาคใต้ ด้านศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป (อีซีดีซี) กล่าวเตือนในแถลงการณ์ว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอนอาจมีมากเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อในยุโรปภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า

ขณะที่ในประเทศไทย ที่มีการเปิดประเทศมาได้เดือนเศษ และรัฐบาล-ศบค. ก็คลายล็อกดาวน์หลายอย่างแล้ว หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศไทยลดลงจากที่เคยวิกฤตสุดๆ กว่า 20,000 คน ตอนนี้เหลืออยู่ที่ประมาณเฉลี่ยตัวเลขอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 คน โดยที่การฉีดวัคซีน ถึงขณะนี้เชื่อได้ว่าตัวเลขที่รัฐบาลเคยตั้งเป้าจะฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ที่รวมหมดตั้งแต่เข็มหนึ่งจนถึงเข็มสี่ ยังไงยอดทะลุเกินแน่นอน เพราะอย่างเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตัวเลขสะสมการฉีดวัคซีนอยู่ที่ 94,280,248 โดส และเมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ก็ทำให้ระบบการดูแลรักษาก็ไม่วิกฤตเหมือนก่อนหน้านี้ จำนวนเตียงในโรงพยาบาลเพื่อรองรับผู้ป่วยก็เพิ่มมากขึ้น, ยา-เวชภัณฑ์ที่ใช้ก็มีสำรองมากขึ้น-วัคซีนก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้า ที่จะมีจนล้นจำนวนประชากร 

ทั้งหมดคือสัญญาณที่ทำให้คนไทยมีความหวัง ในการได้กลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น แม้อาจไม่เหมือนเดิม ยิ่งช่วงนี้ ที่ใกล้ถึงช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทำให้คนไทยก็ไม่อยากตื่นตระหนกเจอข่าวร้ายสิ้นปี หากพบการติดเชื้อโอไมครอน ในประเทศไทย เพราะหากเจอคงทำให้คนในสังคมบางส่วนกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะ "กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด" ทั้งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและผลกระทบในการดำเนินชีวิต ที่ทำเอาหลายครอบครัวล้มทั้งยืนมาแล้ว ต่างไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับฝันร้ายดังกล่าวอีกครั้ง

ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ศบค. จะต้องดำเนินการในการป้องกันการแพร่เชื้อโควิดโอไมครอน อย่างสุดความสามารถ โดยหากพบว่าสถานการณ์อาจทำท่าไม่ดี ก็จะต้องรีบตัดสินใจโดยเด็ดขาดในการป้องกันและสกัดกั้น แม้บุคลากรทางการแพทย์ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะบอกให้คนไทยทำใจไว้ว่า สุดท้าย ประเทศไทยก็จะหนีโอไมครอนไม่พ้น เพียงแต่ยืดเวลาให้ช้าที่สุด เพื่อความเตรียมพร้อม

อย่างไรก็ตาม จะดีกว่าแน่นอน หากประเทศไทยสามารถสกัดกั้นโควิดโอไมครอนไม่ให้เข้ามาได้หรือเข้ามา แต่ต้องไม่ให้แพร่ระบาดในวงกว้าง จนสุดท้าย ต้องมาออกมาตรการล็อกดาวน์ ปิดประเทศกันอีก เพราะที่ผ่านมา ระบบเศรษฐกิจ-สาธารณสุขบอบช้ำเสียหายมาเยอะแล้ว

การรับมือกับโควิดโอไมครอน รอบนี้ จึงเป็นเดิมพันสำคัญที่พลเอกประยุทธ์และ ศบค. พลาดไม่ได้.

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/dominate-the-situation-news/38770/