คนเลี้ยงสัตว์อย่าตกใจ "โควิด" ในหมา-แมว หมอแนะวิธีดูแลให้ปลอดภัยจากไวรัส

 

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความ เตือนเจ้าของสัตว์เลี้ยงถึงกรณีที่มีการพบว่าหมา แมวติดโควิดโดยไม่แสดงอาการ ผ่านเฟซบุ๊ก Thiravat Hemachudha   โดยระบุว่า 

โคโรนา และโควิด หมามาคน: เรื่องที่ไม่ต้องตกใจ 
8/11/64

ความสามารถของเชื้อ โควิด-19 จากคนไปสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นที่ทราบกันตั้งแต่เดือนมีนาคม เมษายนของปี 2563 และมีการติดตามและทราบกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดต่างๆ ตามการติดตามขององค์การอนามัยสัตว์โลก และรายงานการศึกษาจากหลายคณะ ของสัตว์ที่จะมีการติดเชื้อจากมนุษย์ได้ง่าย ยาก ตั้งแต่เสือ แมว หมาและแม้กระทั่งตัวมิ้ง ซึ่งพบมีการติดเชื้อในฟาร์มในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ในปี 2563 และนำไปสู่การฆ่าตัวมิ้งหลาย ล้านตัว ซึ่งในที่สุดก็ระงับไปและเป็นการปฏิบัติที่อาจไม่สมควรโดยที่การแพร่เชื้อจะมิ้งมายังมนุษย์ ไม่มากและไม่เกิดอาการ

สำหรับในสัตว์โดยเฉพาะหมาแมวมีการรายงานตั้งแต่ปี 2563 เรื่อยมา โดนติดจากคน ทั้งนี้ หมา แมวไม่จำเป็นที่จะต้องมีอาการก็ได้และการแพร่มาสู่มนุษย์ ยังไม่มีประสิทธิภาพและในคนที่ติดเชื้อที่กลับมาจากสัตว์ไม่พบเป็นปัญหา ดังที่มีการติดตามตั้งแต่มีการระบาดทั่วโลกตั้งแต่ปีที่แล้วจนกระทั่งถึงปัจจุบัน 

แต่ทั้งนี้ยังคงเป็นการเฝ้าระวังในมนุษย์เป็นสำคัญเมื่อเกิดโรคติดเชื้อ มีความจำเป็นที่ต้องสามารถระบุเชื้อนั้นได้จะทำให้ทราบที่มาของต้นตอ

 

ปรากฏการณ์ของไวรัสโคโรนาจากหมาและไม่ใช่เชื้อโควิด-19 มีตั้งแต่ปี 2017 และ 2018 จากอาสาสมัครที่ไปช่วยภัยพิบัติที่ประเทศเฮติและหลังจากนั้นมีอาการไม่สบาย
ต่อมา มีผู้ป่วยแปดรายที่ประเทศมาเลเซียด้วยปอดบวมโดยเจ็ดรายเป็นเด็กเกิดขึ้นในปี 2017-2018
และพิสูจน์ในปี 2021 ว่าเกิดจากโคโรนาไวรัสของหมา อัลฟาโคโรนา canine enteric coronavirus ซึ่งคล้ายจากแมว หมู feline corona และ swine transmissible gastroenteritis virus และ SARS like coronavirus โดยในหมามี เบต้า betacorona ด้วย ซึ่งคล้าย ในคน คือ OC 43
 

ดังนั้นยังไม่ควรคตกใจเพราะแท้จริง ก็มีไวรัสมากหน้าหลายตาที่ก่อโรคในคนที่เราไม่ทราบชื่ออยู่แล้ว

หน้าที่ก็คือ 
1.รักษาสุขภาพของเราและของสัตว์ และรวมถึงสัตว์เลี้ยง 

2.ถ้าเกิดมีอาการผิดปกติไม่ว่าเป็นอาการทางระบบหายใจ ทางสมอง ทางท้องเสีย ในคนและสัตว์ก็คือหาสาเหตุให้ได้โดยเร่งพัฒนาวิธืการหาเชื้อให้ได้ แม้จะไม่เคยเจอมาก่อน 

3.ความท้าทายก็คือ วิธีนั้นๆ จะต้องประหยัดและราคาถูกในที่สุด

และท้ายสุดประการสำคัญก็คือ ความตื่นตระหนกโดยเกินเหตุจะทำให้เกิดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหมาแมว ซึ่งเป็นเรื่องต้องไม่กระทำ รวมกระทั่งปล่อยหมาแมวออกไปกลายเป็นสัตว์จรจัดและเกิดปัญหาตามติดมาอีกมากมาย

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/hot-social/491724

 

นายกฯ เปิดแผนฉีดวัคซีนโควิดให้คนไทยฟรี อย่างน้อยครึ่งประเทศภายในปีนี้ "อนุทิน" ยันไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้าวัคซีน ชี้ต้องทำตามขั้นตอน ผ่านอนุมัติจาก อย.-กรมวิทย์

    เมื่อวันที่ 6 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha" ว่า รัฐบาลมีแผนการฉีดวัคซีนฟรี เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนชาวไทยให้ได้อย่างน้อย 50% หรือครึ่งประเทศ ภายในปีนี้
    โดย “ระยะเร่งด่วน” เราจะได้รับวัคซีนล็อตแรก 2 ล้านโดส จากบริษัท ซิโนแวค ประเทศจีน ช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย.นี้ ซึ่ง 2 แสนโดสแรก (เดือน ก.พ.) ตั้งเป้าจะฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุก่อน จากนั้นเดือนมีนาคมและเมษายน จะได้รับอีก 8 แสนโดส และ 1 ล้านโดส ตามลำดับ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้สั่งจองจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ อีก 26 ล้านโดส กำหนดรับมอบภายในเดือน พ.ค. และจัดหาเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยอนุมัติและส่งมอบต่อไป (รวมเป็น 63 ล้านโดส) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับชาวไทย ซึ่งขอย้ำว่าคนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนฟรี
    สำหรับ “ระยะยั่งยืน” เราได้ตั้งศูนย์การผลิตในประเทศอยู่ที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ฯ ซึ่งมีโรงงานอยู่แล้ว ไม่ต้องสร้างใหม่ โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาแล้ว สามารถผลิตวัคซีนตามมาตรฐานของออกซ์ฟอร์ดและแอสตร้าเซนเนก้า โดยมีกำลังการผลิตที่ 200 ล้านโดสต่อปี นอกจากนี้ คณะแพทยศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเป็นอีกแหล่งผลิตภายในประเทศ ที่มีองค์ความรู้ มีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนที่ทันต่อวิวัฒนาการของเชื้อโรคได้ในอนาคต สร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข และส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด หรือวัคซีนโรคอื่นๆ ในภูมิภาค
    ทั้งนี้ มองว่าทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส ใครที่มีวิสัยทัศน์ สร้างความพร้อม ย่อมได้รับประโยชน์ โดยในวิกฤติโควิดนี้ หากเราทำตามสิ่งที่เล่ามาได้ จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ได้อีกด้วย แต่ระหว่างรอกระบวนการ รอรับวัคซีน ตามระยะเวลาที่บอก ขอให้พวกเราทุกคนระมัดระวังในการใช้ชีวิต อย่าประมาทกับเชื้อโรค ช่วยกันอีกครั้ง หยุดเชื้อเพื่อชาติ ต้องสวมหน้ากากเสมอ เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราและคนรอบข้างที่เรารัก รวมถึงประเทศไทยของเรา
    ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการประชุมทางไกลผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 1/ 2564 โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สธ. ผู้บริหาร สธ.ร่วมประชุมว่า ยังอยู่ในระหว่างการกักกันตัวเอง ผลตรวจ 2 ครั้ง เป็นลบ วันนี้จะตรวจอีกครั้ง ซึ่งข่าวดีของคนไทยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) วัคซีนของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ คาดว่าปลายเดือนม.ค.นี้ จะผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คนไทยจะได้รับวัคซีนที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน
    สำหรับภาคเอกชนนั้น สธ.ไม่ได้กีดกันการนำเข้า แต่ต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 จะต้องได้รับการอนุมัติจาก อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพปลอดภัย ส่วนวัคซีน 2 ล้านโดสที่ซื้อจากประเทศจีน จะเริ่มฉีด 2 แสนโดสในเดือน ก.พ.นี้ มีแผนที่จะให้กับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องทำงานในพื้นที่ควบคุมสูงสุด เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อมีอาการรุนแรง.
    

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/89034

 

 
คนไทยตายเพราะเศรษฐกิจ หรือเพราะติดเชื้อโควิด-19
 
ปัจจุบันการเดินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยยังอิหลักอิเหลื่อระหว่างขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเปิดน่านฟ้าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ควบคู่กับการเท่าทันการรับมือการติดโควิดภายในประเทศ

สถานการณ์เศรษฐกิจไทย ในขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เป็นผลจากสถานการณ์การระบาดของโควิดในระดับโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์โควิดในไทยจะคลี่คลายในระดับที่หลายฝ่ายพอใจ หลังไม่พบการติดเชื้อโควิดในไทยมาเป็นเวลานานร้อยวัน แม้วันที่หนึ่งร้อยหนึ่งจะพบการติดเชื้อในประเทศไทย แต่ก็ยังไม่พบการกระจายเชื้อในวงกว้าง ทว่าผู้คนก็ยังไม่วายวิตกต่อการระบาดของโควิดระลอกสอง

ทำให้ในปัจจุบันการเดินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจึงยัง “อิหลักอิเหลื่อ” ระหว่างการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการ “เปิดน่านฟ้า” ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ มาเป็นอีกฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สามารถผลักดันรายได้ราว 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)

ที่ผ่านมารัฐบาลยังถูกแรงกดดันอย่างหนักจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ที่ต่างออกแรงหนุนให้รัฐตัดสินใจเปิดน่านฟ้า สะท้อนถึงภาวะเกินจะทนไหวของคนในอุตสาหกรรมนี้ จนเกิดหลายประโยคเด็ด อาทิ วิลเลี่ยม อี.ไฮเน็ค ประธานกรรมการบมจ.ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เมื่อครั้งโควิดระบาดในไทยใหม่ๆ เคยออกมาหนุนให้รัฐบาลใช้ยาแรง “เจ็บ” เพื่อจบปัญหา มาในเวลานี้เขามองว่า รัฐจำเป็นต้องเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เร็วที่สุด เพราะแม้ไทยจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการเปิดประเทศ แต่ถ้ายังคงยืนยันปิดประเทศต่อไป คนทั้งประเทศจะตายจากภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ มากว่าการระบาดของเชื้อโควิด

ล่าสุด วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ยังออกมาประเมินว่า หากรัฐไม่เร่งตัดสินใจเปิดน่านฟ้าในไตรมาสสี่ปีนี้ จะได้เห็นการถูกเลิกจ้างแรงงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านคน หรือกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ที่มีอยู่ 4 ล้านคน ขณะที่ ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวไว้ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ว่า สิ่งหนึ่งที่ยังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เชื้อไวรัส แต่เป็นความกังวลของผู้คน ส่งผลให้คนยังระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย

ดังนั้นเราเห็นว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังทรุดตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องอัดมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และฟื้นฟูประเทศ ไปพร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐว่าจะรับมือโรคระบาดได้ การออกมาแสดงความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุขวานนี้ (14 ก.ย.) ในการรับมือสถานการณ์โควิด จึงนับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่เหลือก็อยู่ที่รัฐบาลจะต้อง “หาหนทาง” การเปิดประเทศ เปิดน่านฟ้า ภายใต้กติกาด้านสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานโลก เพื่อให้ธุรกิจ เศรษฐกิจได้หายใจหายคอ ลดการเลิกจ้าง ขณะเดียวกันก็ต้อง “เท่าทัน” กับการรับมือการติดเชื้อโควิดภายในประเทศ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ต้องสกัดไม่ให้ระบาดในวงกว้าง เรียนรู้อยู่กับโควิด ว่าเราปิดประเทศไม่ได้แล้ว

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/897816?ant=

 

 
นักเขียน และคนไทยในอเมริกาแจงฉีดวัคซีนฟรีในอเมริกาไม่จริงเพราะมาจากภาษีพลเมืองอเมริกัน หนำซ้ำจะมีให้เลือกหรือไม่ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ ชี้พวกที่มาแล้วไปทิ้งผลกระทบไว้ให้คนไทยในอเมริกา กระแสเกลียดเอเชียน่ากลัวมาก คนไทยถูกทำร้ายในหลายรัฐ จนกงสุลไทยออกมาประกาศเตือน

วันนี้ (27 พ.ค.) เฟซบุ๊ก เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ ของนางเจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ นักเขียน และคนไทยในอเมริกา โพสต์ข้อความหัวข้อ “ถามมา ตอบไป การฉีดวัคซีนในอเมริกา” ระบุว่า

1. เลือกวัคซีนได้จริงหรือ

ในช่วงแรกของการฉีดวัคซีนในอเมริกา มีให้เลือกแค่ 2 ยี่ห้อ คือไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ซึ่งเป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ชนิด mRNA แตกต่างไปจากแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค เรื่องนี้ทุกคนคงรู้อยู่แล้ว ต่อมามีจอห์นสันแอนด์จอห์นสันเพิ่มมาอีกตัว รวมทั้งหมดเป็น 3 ยี่ห้อ หากจะบอกว่าพลเมืองอเมริกันเลือกวัคซีนได้อย่างเสรี นี่เป็นแค่ความจริงครึ่งเดียว คือเราสามารถเลือกได้จาก 1 ใน 3 ถ้าอยากเลือกวัคซีนจากจีนหรือรัสเซียก็ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีให้เลือก

ประเด็นคือ ตอนที่เริ่มฉีดให้พลเมืองอเมริกันในช่วงแรก องค์การอนามัยโลกยังไม่ได้อนุมัติไฟเซอร์กับโมเดอร์นา แต่เพิ่งมาอนุมัติภายหลังการฉีดไปแล้วทั้งสองตัวนับหลายล้านโดส รวมทั้งจอห์นสันแอนด์จอห์นสันด้วย ที่เพิ่งมาอนุมัติเมื่อไม่นานมานี้ เรียกว่าฉีดก่อน อนุมัติทีหลังทั้งสามยี่ห้อ

2. การกระจายวัคซีนถึงประชาชน

รัฐบาลโจ ไบเดน ตั้งเป้าฉีดให้ได้ 100 ล้านโดสใน 100 วันแรก ช่วงแรกจะจำกัดสถานที่ฉีดแค่ไม่กี่แห่ง เช่น โบสถ์ มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ต่อมาขยายวงเป็นร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เกต มีแบบบริการในรถก็มี (แล้วแต่รัฐ)

ในตอนแรกใช้รูปแบบการลงทะเบียนจองฉีดแบบเดียวกับที่ใช้ในไทย กำหนดให้คนอายุ 60 ปี และคนที่มีโรคประจำตัวฉีดก่อน แต่เมื่อลงทะเบียนแล้วต้องรออีกนาน บางทีก็ไม่มีคำตอบจากเลขหมายที่ท่านเรียก จนต้องย้ายไปลงทะเบียนที่อื่น (เจอมากับตัวเอง)

ถามว่าเลือกวัคซีนได้ไหมตอนลงทะเบียน ขึ้นอยู่กับการจัดการแต่ละรัฐแต่ละเมือง กรณีเมืองที่อยู่ ด้วยความอยากรู้ เลยตรวจสอบว่าห้างไหนให้บริการยี่ห้ออะไร แล้วไปลงทะเบียนกับร้านนั้น บางรัฐไม่ให้เลือก ลงทะเบียนแล้วมีอะไรก็ฉีดไปตามที่ได้โควตามาบริการ กว่าจะเรียกฉีดก็รอประมาณหนึ่งอาทิตย์ การลงทะเบียนจะต้องกรอกที่อยู่ในอเมริกา และรายละเอียดส่วนตัว จากนั้นก็ประกาศให้อายุ 50 ปีไปลงทะเบียน ไล่ไปเรื่อยจนถึงอายุ 12 ที่ฉีดไฟเซอร์ ส่วนพวกอายุ 18-60 ปีก็เลือกเอาจากสามยี่ห้อนั่นแหละ

3. จริงไหม..ที่ฉีดวัคซีนฟรีในอเมริกา

คนไทยหลายคนบินไปฉีดวัคซีน “ฟรี” ที่อเมริกา แต่วัคซีนที่ว่าฟรีนั้นเป็น “ฟรีทิพย์” เพราะไม่ได้ฟรีจริง เพราะวัคซีนทุกขวดมาจากภาษีพลเมืองอเมริกัน ค่าวัคซีนแต่ละเข็มมีราคาที่พลเมืองอเมริกันต้องจ่าย หากใครมีประกัน (ที่ต้องจ่ายเงินซื้อประกันแพงมาก ในกรณีที่ทำงานส่วนตัว) ร้านหรือห้างที่ฉีดวัคซีนจะไปเบิกกับบริษัทประกันที่เราซื้อประกัน ตอนฉีดพนักงานฉีดขอดูบัตรประกันรัวๆ ขนาดกรอกฟอร์มออนไลน์ไปแล้วยังขอดูถึงสองหน หากไม่มีประกัน ซึ่งคนอเมริกันมากมายมหาศาลไม่มีประกันสุขภาพ เพราะไม่สามารถจ่ายได้ด้วยความแพงสาหัส

กรณีไม่มีประกัน ใบเสร็จค่าวัคซีนจะถูกส่งไปเรียกเก็บเงินกับรัฐบาลและ Medicare ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งคนทำงานมีรายได้อย่างพวกทำงานบริษัทจะต้องถูกหักรายเดือนเพื่อสมทบ Medicare ส่วนพวกที่ทำธุรกิจส่วนตัวก็ต้องควักเงินซื้อประกันอันแพงนรกแตกเอง โดยจ่ายรายเดือน ดังนั้นวัคซีนฟรีที่ชื่นชมกันนั้นจึงไม่ได้ฟรีจริง ที่โหดกว่านั้น นับจากนี้ไปพลเมืองอเมริกันจะต้องควักเงินจ่ายภาษีมากกว่าเดิมเพื่อแบกรับภาระส่วนนี้ในอนาคต

4. ไปอเมริกาแล้วฉีดได้เสร็จในห้านาทีจริงเหรอ

การจะไปอเมริกาได้จะต้องมีวีซ่าอเมริกาในมือ ซึ่งขั้นตอนในการขอยุ่งยากมาก คนที่เคยขอคงรู้ มีค่าธรรมเนียมที่จ่ายแล้วไม่ได้คืนหากไม่ได้วีซ่า คนที่บินมาอเมริกาจะต้องมีวีซ่าอเมริกันในมืออยู่แล้ว ก่อนจะได้ฉีดวัคซีนจะต้องมีการลงทะเบียนจองก่อนไปฉีด ส่วนมากจะให้เพื่อนที่อยู่อเมริกาจัดการให้ นั่นคือระยะแรก แต่ระยะหลัง บางแห่ง บางรัฐ เริ่มมีการเปิดให้เดินไปขอฉีดได้เพราะยอดฉีดเริ่มไม่พุ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดการแต่รัฐ บางรัฐไม่อนุญาตคนที่ไม่ใช่พลเมืองฉีด แต่บางรัฐก็เปิดเสรี การฉีดนั้นไม่นาน หากไม่ต้องรอคิว ช่วงนี้จะว่างเพราะคนฉีดกันไปเยอะแล้ว ทำให้ภาพที่ออกมาตามสื่อดูชีวิตดี๊..ดี แต่หากรวมขั้นตอนการลงทะเบียน คงบอกไม่ได้ว่าจบในห้านาที

5. หลายคนอ้างว่าอเมริกันฉีดครบหมดทุกคนทุกรัฐแล้วจริงหรือ

มาดูข้อมูลวันนี้ 26 พ.ค. 2021 พลเมือง 50 เปอร์เซ็นต์ฉีดหนึ่งเข็ม ส่วนพลเมือง 39 เปอร์เซ็นต์ฉีดครบสองเข็ม เน็ตไอดอลบางคนบอกว่าคนอเมริกันฉีดครบหมดแล้วทุกคนทุกรัฐ ทางการอเมริกันถึงประกาศให้ชาติอื่นๆ เข้ามาฉีดวัคซีนในอเมริกา เรื่องนี้ไม่มีการประกาศจากทางการแต่อย่างใด พวกที่มาคือจงใจจะเข้ามาฉวยประโยชน์จากอเมริกา อาศัยช่องโหว่ตรงนี้มาเอาประโยชน์

6. บางคนบอกว่าต้องกล่าวโทษรัฐบาลไทยที่ทำคนตายเยอะมาก งั้นลองเทียบกับอเมริกาดูก็แล้วกัน แบบนี้ทรัมป์กับไบเดนต้องลาออกไหม

ยอดป่วยสะสมและยอดตายในอเมริกา วันที่ 26 พ.ค. 2021 ป่วยสะสม 33,967,669 ราย ตาย 606,126 ราย ยอดตายต่อพลเมืองหนึ่งล้านคือ 1,831 ราย ในขณะที่เมืองไทยยอดตาย 12 รายต่อพลเมืองหนึ่งล้าน รัฐที่ป่วย/ตายสูงสุดคือ แคลิฟอร์เนีย เทกซัส ฟลอริดา นิวยอร์ก และอิลลินอยส์

มาดูข้อมูลบางรัฐที่เปิดให้คนที่ไม่ใช่พลเมืองมาฉีดได้ อย่างรัฐแคลิฟอร์เนีย จัดเป็นรัฐที่มีการระบาดอันดับหนึ่งในอเมริกา ยอดตายต่อพลเมืองหนึ่งล้านคือ ตาย 1,595 ราย ยอดป่วยสะสม 3,780,845 ราย หลายคนเลือกบินมาฉีดวัคซีนที่รัฐนี้ บางคนบินมานิวยอร์ก มาดูยอดป่วยในนิวยอร์กกันว่าเท่าไหร่ ป่วยสะสม 2,148,986 ราย อัตราการตายต่อพลเมืองหนึ่งล้านคือ 2,750 ราย

7. ยอดการฉีดวัคซีนในรัฐที่ฮิตไปฉีดกันคือนิวยอร์กกับแคลิฟอร์เนีย
รัฐแคลิฟอร์เนีย - พลเมืองที่ฉีดครบสองโดสคิดเป็น 41 เปอร์เซ็นต์
รัฐนิวยอร์ก - พลเมืองที่ฉีดครบสองโดสคือ 45 เปอร์เซ็นต์ สรุปว่ายังไม่ถึงครึ่งทั้งสองรัฐ
เห็นเน็ตไอดอลสายบิวตี้ที่บินไปฉีดบอกว่า ดูสิ ผู้คนในแคลิฟอร์เนียถอดหน้ากากใช้ชีวิตปกติกันแล้ว ที่พูดแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าอเมริกันแทบจะไม่ยอมใส่หน้ากากกันเลย จนต้องออกกฎบังคับ ถึงมีกฎแล้วก็ยังไม่ค่อยยอมใส่นัก ไม่ต้องดูอื่นดูไกล ในเมืองที่ดิฉันอยู่นี่แหละ ช่วงระบาดแบบพีกๆ นายกเทศมนตรีออกกฎให้ใส่หน้ากากเข้าร้าน พอพนักงานเตือน ลูกค้าควักปืนออกมายิงพนักงานตาย

8. มาแล้วไป...ทิ้งผลกระทบไว้ให้คนไทยในอเมริกา

การที่คนไทยบินมาฉีดวัคซีนที่คิดว่า "ฟรี" ส่งผลกระทบต่อคนไทยในอเมริกา ขณะนี้กระแสเกลียดเอเชียน่ากลัวมากถึงมากที่สุด พวกคุณมาฉีดแล้วจากไป แต่คนที่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวคือคนไทยที่นี่ คิดหรือว่าอเมริกันจะแฮปปี้ใจกว้างทุกคนที่รับรู้ว่ามีคนที่ไม่ใช่พลเมืองประเทศตนเข้ามาหาประโยชน์จากตรงนี้ คนไทยถูกทำร้ายในอเมริกาในหลายรัฐ จนกงสุลไทยออกมาประกาศเตือน ล่าสุดกงสุลชิคาโกออกประกาศว่ามีคนอเมริกันทำร้ายคนไทยในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

 
ก่อนหน้านี้ นางเจริญขวัญออกมาตั้งข้อสังเกตอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่งรีวิวฉีดวัคซีนที่สหรัฐอเมริกา ระบุว่า "มีข้อสังเกตเล็กๆ ว่าทำไมคนไทยที่บินไปฉีดวัคซีนที่คิดว่าเป็นวัคซีนฟรีในอเมริกา ทั้งที่มาจากเงินภาษีพลเมืองอเมริกัน ถึงบินแบบชั้นบิสคลาส (ชั้นธุรกิจ) ทุกคน ทั้งที่ชั้นประหยัดว่างทั้งลำเวลานี้ แถมเป็นสายการบินเดียวกันทุกราย พอดีเพื่อนคนไทยในเมืองเพิ่งบินกลับมาจากเมืองไทยเลยรู้

อย่าบอกว่าเน็ตไอดอลพวกนี้รวยจัด ค่าที่นั่งชั้นประหยัดตอนนี้แพงมาก แพงกว่าปกติแบบโขกสับ แต่คนเหล่านี้บินบิสคลาสที่แพงกว่าเก่า เอาเงินมาจากไหน

ทำไมเน็ตไอดอลเหล่านี้เจาะจง “ไฟเซอร์” ทำไมไม่เลือกฉีดโมเดอร์นา ทั้งที่หากเทียบผลข้างเคียงคนฉีดโมเดอร์นามีผลข้างเคียงน้อยกว่าไฟเซอร์

มีการว่าจ้างคนเหล่านี้หรือเปล่า แน่นอนว่าพวกนี้พูดความจริงครึ่งเดียว และต้องมีวีซ่าอเมริกาอยู่ในมือก่อนแล้ว เน็ตไอดอลที่บินไปเป็นไอดอลกลุ่มวัยรุ่น หนุ่มสาววัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวัยที่ยึดครองโลกโซเชียล ที่สำคัญคือเน็ตไอดอลเหล่านี้สนับสนุนม็อบทุกราย ทั้งเปิดเผยและแอบแฝง

จากนั้นก็รับลูกต่อด้วยการนำไปเผยแพร่ ในสื่อในเพจฝั่งสนับสนุนม็อบทุกสื่อ ทั้งสื่อหลักและสื่อออนไลน์"
 
 

 

คนไทยอยากฉีด-พร้อมจ่าย "หมอบุญ" ปิดจ๊อบจอง "วัคซีนโมเดอร์นา" เฉียด 5 ล้านโดส

 

คนไทยอยากฉีด-พร้อมจ่าย "หมอบุญ" ปิดจ๊อบจอง "วัคซีนโมเดอร์นา" เฉียด 5 ล้านโดส

 

จากกรณี สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ประชุมมีมติกำหนดราคากลางค่าบริการวัคซีนทางเลือก “โมเดอร์นา” ที่จะจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในราคาเข็มละ 1,900 บาท หรือครบ 2 โดส จำนวน 2 เข็ม ราคา 3,800 บาท เป็นราคารวมค่าวัคซีนและค่าบริการของโรงพยาบาลแล้ว เบื้องต้นสมาคมโรงพยาบาลเอกชนกำหนดราคาให้บริการสำหรับประชาชนที่ประสงค์ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ในอัตราเดียวกันทุกโรงพยาบาล 

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ได้เผยว่า "วันนี้ดีใจที่คนไทยอยากฉีดวัคซีน เพราะนอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ หลังจากที่เปิดให้ลงทะเบียนแสดงความจำนงในการจองฉีดวัคซีน"โมเดอร์นา"ไป พบว่า 3 วันมีคนมาลงทะเบียนกว่า 1.5 ล้านคน ทำให้ต้องปิดรับลงทะเบียน นอกจากนี้ยังมีองค์กรต่างๆ ที่ต้องการฉีดวัคซีนให้กับพนักงาน บุคลากรอีกกว่า 3 ล้านคนที่ลงชื่อสั่งจองไว้ แสดงให้เห็นว่า คนที่อยากฉีดวัคซีนและพร้อมที่จะจ่ายเงินเองมีอยู่จำนวนมาก" 

ดังนั้น รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้มีวัคซีนทางเลือกหลากหลายยี่ห้อ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงตามความพึงพอใจของประชาชน และรัฐบาลเองควรเอาวัคซีนหลัก ที่ฉีดให้ฟรีไปฉีดให้บริการกับประชาชนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน มีความเสี่ยง และต้องพบปะผู้คน เช่น พนักงานขับรถสาธารณะ ชุมชน หรือผู้ที่มีกำลังซื้อต่ำ และมีความเสี่ยงสูงก่อน เพื่อให้ได้ครอบคลุมให้ได้มากที่สุด“โรงงานหรือบริษัทต่างๆ ไม่มีใครอยากให้พนักงานติดเชื้อ เพราะติด 10-20 คน ต้องหยุดงานทั้งโรงงาน ส่งผลกระทบสูง และหากจะฉีดวัคซีนก็ต้องรอคิวยาวถึงสิ้นเดือนเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง กลุ่มนี้จึงมีความพร้อมและมีกำลังที่จะจ่ายเงินเองหากมีวัคซีนทางเลือก”

ด้านแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการที่ส.อ.ท. สั่งจองวัคซีนซิโนฟาร์ม จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่นำเข้ามาเป็นวัคซีนตัวเลือกให้กับองค์กรใหญ่ในการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรจำนวน 3 แสนโดส นั้น ล่าสุดจากการประชุมร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พบว่า วัคซีนซิโนฟาร์มจะถูกส่งมาถึงในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ โดยมีค่าใช้จ่าย 1,800 บาทต่อ 2 โดส ยังไม่รวมค่าบริการฉีด โดยค่าบริการจะขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่ทำการฉีดให้ ทั้งนี้เบื้องต้น โรงพยาบาลที่ทำการฉีดให้ อยู่ระหว่างการประสานงาน อาทิ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์, โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้นทั้งนี้สมาชิกส.อ.ท. ที่ลงชื่อจองไว้ในเฟส 1-3 และชำระเงินก่อนภายในวันที่ 11 มิ.ย. จะได้รับการฉีดวัคซีนทันในล็อตแรกที่ส่งเข้ามาจำนวน 3 แสนโดส แต่หากเกินจำนวนดังกล่าวสามารถติดต่อขอรับเงินคืน หรือจะรอล็อตใหม่ก็ได้จากการสอบถามไปยังราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปราคาค่าบริการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มแต่อย่างใด ซึ่งราชวิทยาลัยฯจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเร็วๆนี้อย่างไรก็ดี โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งที่เปิดให้ลงทะเบียนแสดงความจำนงในการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาจำนวนมาก ซึ่งการจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ จะต้องผ่านความเห็นชอบจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขก่อน โดยได้กำหนดวัคซีนโควิด-19 ที่จะโฆษณาต้องได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยา และได้รับอนุมัติให้โฆษณาจากสำนักงานอาหารและยา รวมถึงสถานพยาบาลนั้นๆ และการเรียกเก็บเงินมัดจำหรือค่าใช้จ่าย หากไม่สามารถดำเนินการได้จะต้องคืนเต็มจำนวน เป็นต้น

ขอบคุณที่มา ฐานเศรษฐกิจ

 ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/469836?adz=

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ