ข่าวด่วน​ ! ...

รบกวนเตือนญาติ​-เพื่อน ​

...สายพันธุ์​ใหม่ในเวียตนามระบาดเร็วมาก​กระจายไป​ 3 ทอด​ ติด​ 220​ กว่าคน​ ตายรวดเดียว​ 8​ คน​ แถมดูรุนแรงมาก​กว่าเก่า​

เพราะแค่ไม่กี่วัน​ แพร่ไปหลายจังหวัด ...


ไทยควรระวังต่างชาตินำเข้าเชื้อสายพันธุ์​ใหม่แบบเวียตนามโดนกันจะจะเห็นเห็นต่อหน้าต่อตา​ !!!

---> -​--> รัฐบาลเวียตนามเผยว่า​ เริ่มตาม​ผู้ติดเชื้อรุ่นใหม่ไม่ทัน​ เพราะสายพันธุ์​นี้กระจายไวมาก​ 1​ คนกระจายไป​ 5-6 คน​ (คล้ายในสหรัฐ​ ยุโรป​ บราซิล​ อินเดีย)

https://www.reuters.com/article/us-health-coronavirus-vietnam-idUSKBN24Y0CL

นับเป็นข่าวดี หลังทีมแพทย์ค้นพบว่า
หลังการปรากฏตัวของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน ไวรัสเดลต้าก็จะหายไป เหมือนที่สายพันธุ์เดลต้าระบาดหนัก ไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นก็หายไป เพราะไวรัสสามารถเข้าไปอยู่ในร่างกายเพียงสายพันธุ์เดียวนอกนั้น จะถูกไวรัสสายพันธุ์ที่อยู่ในร่างกาย กำจัดออกไป องค์การอนามัยโลก แจ้งข่าวดี จากการคาดคะเนว่า ถ้าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ครองโลก เท่ากับมนุษย์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันจากธรรมชาติ


๑. สายพันธุ์โอไมครอนติดง่าย ไม่แสดงอาการ ไม่รุนแรง ไม่เสียชีวิต สามารถป้องกันได้ เป็นเหมือนไข้หวัดทั่วไป
๒. สายพันธุ์โอไมครอนจะกำจัดไวรัสสายพันธุ์ทุกสายพันธุ์

นี้ แสดงให้เห็นว่า
มนุษยชาติจะมีภูมิป้องกัน จะปลอดภัยจากการเสียชีวิตนี้ เป็นเพียงการคาดคะเนขององค์การอนามัยโลก เท่านั้นเราต้องรออีก สองสัปดาห์ เราจะรู้ว่าการคาดคะเนขององค์การอนามัยโลก จะเป็นจริงหรือไม่มนุษยชาติจะปลอดภัยจากการเสียชีวิต จริงหรือไม่ โลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ จริงหรือไม่

อีกสองสัปดาห์ รู้ผล
ตอนนี้ ที่ทำได้ก็คือ ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก อดทนอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดี มีสุข ต่อไป เราจะเปิดบ้าน เปิดโลก เปิดการทำมาหากิน ต่อไป ในสิ่งที่ร้าย ยังมีดีเสมอ ก็ขอภาวนา ว่าอย่าให้เกิดมีสายพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงแลน่ากลัว เกิดขึ้นใหม่ อีกเลย คนไทย ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก คนดี จะไม่โทษใคร ไม่ให้ร้ายใคร


ขอขอบพระคุณ ข่าวจาก อสมท. สำนักข่าวไทย


12 ก.พ.64 - นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กรายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก 12 กุมภาพันธ์ 2564 มีเนื้อหาดังนี้
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 467,329 คน รวมแล้วตอนนี้ 108,249,339 คน ตายเพิ่มอีก 14,442 คน ยอดตายรวม 2,376,195 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 108,060 คน รวม 27,987,505 คน ตายเพิ่มอีก 3,988 คน ยอดตายรวม 486,435 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 9,582 คน รวม 10,880,413 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 54,742 คน รวม 9,713,909 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 15,038 คน รวม 4,027,748 คน
สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 13,494 คน รวม 3,998,655 คน กำลังจะแตะสี่ล้าน
อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่องแบบทรงตัว
เกาหลีใต้ และไทย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนฮ่องกง เวียดนาม เมียนมาร์ และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่จีน และออสเตรเลีย ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...คาดว่าเม็กซิโกจะทะลุสองล้านคนในอีก 4-5 วัน เป็นประเทศที่ 13 ของโลก...
ข่าวดีเมื่อวานนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัคซีน...


Novavax ซึ่งเป็นบริษัทวัคซีนอเมริกา ประเภท recombinant proteing ซึ่งเคยทำการวิจัยระยะที่สามและได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการถึง 95.6% และสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงได้ 100%
ได้มาทำการวิจัยในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์แพร่เร็ว รุนแรงมากกว่าเดิมคือ B.1.1.7 ซึ่งเคยวิเคราะห์ผลระหว่างการวิจัยแล้วสามารถป้องกันได้ 85.6% นั้น ล่าสุดทำการวิเคราะห์ผลครั้งสุดท้ายพบว่าสามารถมีสรรพคุณป้องกันได้สูงถึง 89.3%
การวิจัยในสหราชอาณาจักรนี้ทำใน 15,000 คน อายุ 18-84 ปี โดย 27% เป็นผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้มีวัคซีนที่ศึกษาผลต่อสายพันธุ์ใหม่อย่างแอฟริกาใต้ B.1.351 อยู่ 4 ชนิดคือ Pfizer/Biontech พบว่า neutralizing antibody ลดลงราว 0.81-1.46 เท่า, Moderna ลดลงราว 6 เท่า, Johnson&Johnson ป้องกันได้ราว 57% และล่าสุดวัคซีนของ Novavax ได้ทำการศึกษาผลต่อสายพันธุ์ใหม่อย่างแอฟริกาใต้เช่นกัน โดยพบว่าป้องกันได้ 60%
คาดว่าวัคซีน Novavax นี้จะทำการขึ้นทะเบียนทั้งในอังกฤษ และสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศอื่นๆ โดยมีกำลังการผลิต 2,000 ล้านโดสต่อปีจาก 8 โรงงานใน 7 ประเทศ
ถือเป็นข่าวดี ที่โลกเรามีวัคซีนหลายชนิดตอนนี้มีสรรพคุณสูงและมีความปลอดภัย ต่างได้รับการจัดซื้อจัดหาไปใช้กันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer/Biontech, Moderna, Johnson&Johnson และล่าสุดคือ Novavax
ดังนั้นการเลือกใช้วัคซีน จึงควรดูรายละเอียดเชิงลึก ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะต้องฉีดเข้าไปในร่างกายของเรา เราจึงต้องซักถามถึงสรรพคุณ ความปลอดภัย คุณภาพการศึกษาวิจัยที่ทำมาว่าได้มาตรฐานหรือไม่ และข้อมูลเกี่ยวกับความครอบคลุมถึงสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ แพร่ง่ายขึ้น รุนแรงขึ้น ว่าสามารถป้องกันได้หรือไม่
วิเคราะห์สถานการณ์ของไทย...
ยังยืนยันว่าการระบาดยังมีอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ไม่ปลอดภัย
จำเป็นต้องใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตร
ลดละเลี่ยงการกินดื่มในร้าน ซื้อกลับจะดีที่สุด
ลดละเลี่ยงการตะลอนท่องเที่ยว เดินทาง พบปะสังสรรค์กันเป็นกลุ่ม
และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายคล้ายหวัด ควรรีบไปตรวจรักษา เพราะอาจเป็นโควิดได้
สัจธรรมของโลกที่พิสูจน์ให้เราเห็นมาตลอดคือ...
หนึ่ง ไม่ตรวจก็ไม่เจอ ตรวจน้อยก็เจอน้อย ตรวจมากก็มีโอกาสเจอมาก...
สอง ปัญหาที่พบบ่อยตลอดมาคือ บ้านมักถูกกินจนผุพังโดยปลวก หากไม่ได้ป้องกันให้ดี แต่การจะปกป้องบ้านไม่ให้พังได้นั้น อาจต้องให้คำจำกัดความของ"ปลวก"ให้ดี เพราะหากไปมองมดว่าเป็นปลวก ก็จะจัดการปัญหาไม่ได้
บางสถานการณ์"ฝูงปลวก"อาจสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ไม่ได้รับการจัดการ จึงอาจทำให้บ้านเรือนพังเสียหายจนอาจซ่อมแซมลำบาก
เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ปีนี้อาจต่างจากปีก่อนๆ ขออวยพรให้ทุกท่านที่มีจิตใจดี จงมีกำลังกาย กำลังใจ ต่อสู้ฝ่าฟันโรคระบาดนี้อย่างปลอดภัยไปด้วยกัน ขอให้มีสติ และใช้ความเป็นเหตุเป็นผล ใช้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นแสงส่องทาง ตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
ด้วยรักต่อทุกคน

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/92783

ผลวิจัยชัด เข็มบูสเตอร์ฉีดวัคซีน “แอสตร้าเซเนก้า” สามารถป้องกัน “โอมิครอน” ได้

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.64 “แอสตร้าเซเนก้า” ได้เปิดเผยผลการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีน โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ระบุว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant]) เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มระดับแอนติบอดีต่อไวรัส SARS-CoV-2 (B.1.1.529) สายพันธุ์โอไมครอน

 

พบว่าระดับแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นหลังการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้น มีระดับสูงกว่าที่พบในผู้ที่เคยติดเชื้อและหายป่วยได้เองจากโรคโควิด-19 (สายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์กลายพันธุ์ ได้แก่ อัลฟา เบต้า และเดลต้า) โดยเซรั่มที่นำมาทดสอบนั้นมาจากผู้ที่ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามมาแล้วหนึ่งเดือน พบว่าระดับการลบล้างเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ข้อมูลจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการ อีกการศึกษาหนึ่ง ยังบ่งชี้ว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีความสามารถในการป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน พบว่าในผู้ที่ได้รับวัคซีนดังกล่าวจำนวนสองโดส สามารถคงระดับการลบล้างเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้ แม้ว่าจะมีระดับฤทธิ์ลบล้างที่ลดลงกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม

ด้าน ศาสตราจารย์ เซอร์ จอห์น เบลล์ ราชศาสตราจารย์ (Regius Professor) ด้านการแพทย์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้วิจัย กล่าวว่า “การค้นพบว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้ในปัจจุบันสามารถใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้ ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง ผลการศึกษานี้สามารถช่วยสนับสนุนแนวทางของประเทศต่างๆ ในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชน เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่น่ากังวลต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์โอไมครอน”

 

ขณะที่ เซอร์ เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า “วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีบทบาทสำคัญต่อโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทั่วโลก ข้อมูลจากการศึกษาล่าสุดนี้นำมาซึ่งความเชื่อมั่นต่อการใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญคือการพิจารณาถึงแง่มุมอื่น ๆ นอกจากแค่เพียงระดับแอนติบอดี เพื่อที่จะทำความเข้าใจประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ในขณะที่เราเข้าใจสายพันธุ์โอไมครอนมากขึ้น เราเชื่อว่าการตอบสนองของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ (T-cell) จะสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อรุนแรงและป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ในระยะยาว”

แอสตร้าเซนเนก้า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางบริษัท กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ในการต่อต้านเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โดยคาดว่าจะมีผลการศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้

 

โดยการศึกษาวิจัย ได้ร่วมกับกลุ่มนักวิชาการในภูมิภาคแอฟริกาใต้ นอกจากนี้แอสตร้าเซนเนก้ากำลังทำการวิเคราะห์เลือดของกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการทดลองระยะที่สอง/สาม เพื่อประเมินประสิทธิภาพการลบล้างเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน หลังการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ทั้งด้วยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอส ตร้าเซนเนก้า และวัคซีนรุ่นใหม่ที่อยู่ระหว่างการวิจัย (AZD2816)

ข้อมูลจาก https://tojo.news/people-24122021/

ข่าวปลอม! ยา 6 ชนิด “ยารักษาโควิด” ที่ควรมีติดบ้าน
 
ข่าวปลอม อย่าแชร์! รายชื่อ “ยารักษาโควิด” ทั้ง 6 ชนิด ที่ควรซื้อติดบ้านไว้รักษาด้วยตัวเอง ล่าสุด กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแล้วว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

ตามที่ได้มีการส่งต่อข้อมูลในประเด็นเรื่อง รายชื่อยาทั้ง 6 ชนิด ที่ควรซื้อติดบ้านไว้รักษาโควิด-19 ด้วยตัวเอง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลเรื่อง “ยารักษาโควิด” ที่ต้องเตรียมไว้เพื่อรักษาตนเองที่บ้าน 6 ชนิด คือ

  1. ยาพาราเซตามอล
  2. แอมบรอกซอล
  3. เดกซ์โทรเมทอร์แฟน
  4. คลอเฟนิรามีน
  5. วิตามินซี
  6. ฟ้าทะลายโจร

นั้นทาง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ home isolation ต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์เท่านั้น โดยการจ่ายยารักษาผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านเป็นไปตามที่แพทย์ประเมินอาการรายบุคคล เพราะการรับประทานยาเอง อาจทำให้เกิดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนของยาได้

 
 

ซึ่งกรมการแพทย์เผยแพร่แนวทาง Home isolation (การแยกกักตัวที่บ้าน) เป็นแนวทางสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ระหว่างรอ admit โรงพยาบาล แพทย์พิจารณาว่ารักษาที่บ้านได้ และรักษาที่โรงพยาบาลหรือสถานที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 10 วันและจำหน่ายกลับบ้านเพื่อรักษาต่อเนื่องที่บ้านโดยวิธี Home isolation

ส่วนผู้ที่เข้าเกณฑ์การทำ Home isolation ประกอบด้วย 

1.เป็นผู้ติดเชื้อที่สบายดีหรือ ไม่มีอาการ (asymptomatic cases) 

2.มีอายุน้อยกว่า 60 ปี 

3.มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 

4.อยู่คนเดียว หรือ มีผู้อยู่ร่วมที่พักไม่เกิน 1 คน

5.ไม่มีภาวะอ้วน (ภาวะอ้วน หมายถึง ดัชนีมวลกาย > 3030 กก./ม.2 หรือ น้ำหนักตัว > 90 กก.) 

6.ไม่มีโรคร่วม ดังต่อไปนี้ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง (CKD Stage 3,4 ) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ 

7.ยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเอง

ข่าวปลอม! ยา 6 ชนิด “ยารักษาโควิด” ที่ควรมีติดบ้าน

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์ สามารถติดตามได้ที่นี่ หรือโทร 0-2590-6000

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ home isolation ต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์เท่านั้น โดยการจ่ายยารักษาผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านเป็นไปตามที่แพทย์ประเมินอาการรายบุคคล เพราะการรับประทานยาเอง อาจทำให้เกิดอันตราย จากภาวะแทรกซ้อนของยาได้

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/1024304

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ