กิน "ฟ้าทะลายโจร" รักษาโควิด ต้องกินอย่างไรจึงจะปลอดภัย ใครบ้างไม่ควรกิน
 
 

เช็คชัด ๆ กิน "ฟ้าทะลายโจร" รักษาโควิดในผู้ป่วยอาการน้อย ต้องกินอย่างไรจึงจะปลอดภัย หากกินแล้วอาการแย่ลงควรทำอย่างไร คนกลุ่มใดบ้างที่ไม่ควรกินเด็ดขาด

สำหรับการใช้ยา "ฟ้าทะลายโจร" ดูแลผู้ติดโควิด 19 ในผู้ติดเชื้อโควิดกลุ่มสีเขียว คือ อาการน้อยหรือไม่มีอาการ ซึ่งจากการติดตามพบว่าได้ผลดี โอกาสจะเกิดภาวะปอดอักเสบน้อยมาก แต่จะต้องใช้ให้ถูกต้อง โดยฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุแนวทางการกิน "ฟ้าทะลายโจร" สำหรับรักษาโควิด ในผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยที่ถูกวิธี และมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ยา โดยมีรายละเอียดดังนี้   

"ฟ้าทะลายโจร" เป็นพืชสมุนไพรรสขมที่มีการใช้กันมานานในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีสรรพคุณบรรเทาอาการของโรคหวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ ในปัจจุบันเมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีนักวิจัยสนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยพบว่าสารสำคัญที่ชื่อว่า "แอนโดรกราโฟไลด์" (andrographolide)  มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส จากผลการวิจัยดังกล่าวทำให้มีประชาชนจำนวนมากสนใจที่จะซื้อยาฟ้าทะลายโจร นำมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการของโควิด-19

กิน "ฟ้าทะลายโจร" รักษาโควิด ต้องกินอย่างไรจึงจะปลอดภัย ใครบ้างไม่ควรกิน

ยา "ฟ้าทะลายโจร" ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย มี 2 รูปแบบ

1. รูปแบบผงยา ซึ่งผงยาจะเตรียมจากส่วนเหนือดินของฟ้าทะลายโจร
2. รูปแบบสารสกัด
โดยทั้ง 2 รูปแบบ จะพบได้ในลักษณะของยาแคปซูลหรือยาเม็ด โดยมีสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ สารสำคัญที่มีชื่อว่า "แอนโดรกราโฟไลด์" (andrographolide)  ที่จะมีระบุไว้บนฉลากยา ซึ่งในแต่ละผลิตภัณฑ์อาจมีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์  (andrographolide) แตกต่างกัน  หากผลิตภัณฑ์ใดไม่ได้ระบุไว้ แนะนำให้สอบถามจากทางผู้ผลิต

ผู้ที่รับประทานยา "ฟ้าทะลายโจร" ได้มีใครบ้าง 
1. ผู้ที่มีอาการของโรคหวัด เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปในผู้ใหญ่จะแนะนำให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรที่มี andrographolide 60 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้ง  ติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน

2. ผู้ที่ติดเชื้อโควิด19 ที่มีอาการไม่รุนแรง ในผู้ใหญ่แนะนำให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรที่มี andrographolide 180 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้ง  ติดต่อกัน 5 วัน อย่างไรก็ตามผู้ป่วย โควิด19 ทุกคนควรใช้ยาฟ้าทะลายโจรภายใต้การดูแลของแพทย์

ผู้ที่รับประทานยา "ฟ้าทะลายโจร" ไม่ได้มีใครบ้าง  
1. ผู้ที่มีอาการแพ้ฟ้าทะลายโจร เช่น มีผื่นลมพิษ ปากบวม หน้าบวม หายใจไม่ออก
2. หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
3. ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี และต้องการรับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยาฟ้าทะลายโจรไม่มีฤทธิ์ที่จะยับยั้งไวรัสเข้าเซลล์ จึงไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้


 

วิธีเลือกยา "ฟ้าทะลายโจร" ที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย  ควรพิจารณาข้อมูลที่สำคัญบนฉลากยา ดังนี้

1. เลขทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ ที่ขึ้นต้นด้วยอักษรตัว G ทั้งนี้สามารถนำเลขทะเบียนดังกล่าวไปตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้
2. ปริมาณสาร andrographolide และขนาดบรรจุ
3. ข้อมูลของผู้ผลิต
4. วันเดือนปีที่ผลิต และวันเดือนปีที่หมดอายุ


การเลือกซื้อยา "ฟ้าทะลายโจร" ควรเลือกซื้อกับผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตขายยาแผนโบราณที่ถูกต้องตามกฏหมาย

ข้อควรระวังในการรับประทานยา "ฟ้าทะลายโจร"
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต หากจำเป็นต้องใช้ยาฟ้าทะลายโจร ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- ผู้ที่รับประทานยาลดความดันโลหิต*
- ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด* เช่น ยาวอร์ฟาริน (warfarin) 
- ผู้ที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด* เช่น ยาแอสไพริน (aspirin)

*เนื่องจากการใช้ยาดังกล่าวร่วมกับยาฟ้าทะลายโจร อาจเสริมฤทธิ์กันได้ หากจำเป็นต้องใช้ ยาฟ้าทะลายโจร ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

         
 

ข้อควรระวัง 
การรับประทานยาฟ้าทะลายโจรติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้แขนขามีอาการชาหรืออ่อนแรง หากท่านรับประทานยาฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรืออาการรุนแรงขึ้น แนะนำให้หยุดใช้ และรีบปรึกษาแพทย์ ทั้งนี้ผู้ป่วยบางรายที่รับประทานยาฟ้าทะลายโจรอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร เวียนศีรษะ ใจสั่น ซึ่งอาการเหล่านี้เมื่อหยุดรับประทานยาฟ้าทะลายโจร อาการจะค่อย ๆ หายเป็นปกติได้ หากสงสัยว่าจะแพ้ยาฟ้าทะลายโจร เช่น มีผื่นลมพิษ หน้าบวม ปากบวม หายใจไม่ออก ให้หยุดรับประทานทันที แล้วรีบพบแพทย์

ที่มา:  โรงพยาบาลศิริราช  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/507967?adz=

สารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหารนิตยสารฉลาดซื้อ
รศ.ดร.ภญ. มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้ข้อมูลการติดตามผู้ป่วย พบมีผู้ป่วยไตเรื้อรัง 3 รายแย่ลง วัยกลางคนและสูงอายุใช้สารสกัดถั่งเช่า รับประทาน 1 เม็ดต่อวันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ค่าการทํางานของไตแย่ลง (eGFR ลดลง) เมื่อหยุดใช้ค่าการทํางานของไตดีขึ้น บางคนไม่ดีขึ้นกลายเป็นไตวายระยะสุดท้ายในปี พ.ศ. 2562

ปี พ.ศ. 2563 พบผู้ป่วยจำนวน 8 ราย เป็นผู้ป่วยสูงอายุมีโรคหัวใจ รับประทานสารสกัดถั่งเช่าสีทอง วันละ 1 เม็ดประมาณ 1 เดือน ค่าการทํางานของไตแย่ลง เมื่อหยุดใช้ค่าการทํางานของไตดีขึ้น อีก 6 รายมีอาการไตวายเฉียบพลัน 1 ราย, 2 รายเป็นโรคไตเรื้อรังระยะ 3-4 บางรายเมื่อหยุดใช้แล้วไตดีขึ้น บางรายต้องฟอกเลือด พบอีก 1 รายใช้กาแฟถั่งเช่าร่วมกับยาแก้ปวดและสมุนไพรผสมสเตียรอยด์ทําให้ค่าการทํางานของไตแย่ลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องร้องเรียนในอดีตของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่หลังจากทานใบขี้เหล็กสกัดทำให้มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ทั้งที่ใบขี้เหล็กช่วยอาการนอนไม่หลับ บำรุงตับ แกงขี้เหล็กที่รู้จักมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยไม่ให้ท้องผูก นอนหลับสบาย เมื่อมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ด โดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้งบดเป็นผงแล้วบรรจุเม็ดวางจำหน่ายในท้องตลาด เมื่อใบขี้เหล็กแคปซูลเหล่านี้เข้าถึงผู้บริโภค เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่า พบผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบ มีเรื่องร้องเรียนว่าทานแล้วตัวเหลืองจนต้องยุติการขึ้นทะเบียนและการจำหน่ายยาสมุนไพรชนิดนี้ในท้ายที่สุด
นอกจากปัญหารายงานว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาการทำงานของไต
หลายคนเบื่อการโฆษณาการขายถั่งเช่ามาก โฆษณาจำนวนมากจนน่ารำคาญ ทำให้รู้สึกว่าทำไมถึงขายถั่งเช่าสกัดกันทั้งบ้านทั้งเมือง คนกินเยอะขนาดนี้เลยหรือ ? ถ้ามาดูโฆษณามีทั้งรักษาโรคเรื้อรังสารพัด บำรุงร่างกาย เพิ่มพลังทางเพศ ไทด์อินในรายการต่างๆ ป้ายโฆษณาด้านหลังแนะนำสินค้าขายตรงมีให้เห็นได้ยิน ทุก 15-30 นาที จากทั้งดาราน้อยใหญ่ แทบจะทุกช่องทีวีโซเชียลมีเดียหรือแทบทุกช่องทางทำให้คนที่มีปัญหาสุขภาพหรือโรคเรื้อรังอดใจไว้ไม่อยู่ อยากทดลองว่าจะช่วยได้จริงมั้ย แต่ผลลัพธ์กลับส่งผลต่อความรุนแรงของโรคหรือเกิดโรคบางประเภท เช่น ไตวายเรื้อรัง
ถึงแม้ทีวีดิจิทัลจะเป็นอุตสาหกรรมตะวันตกดิน แต่กสทช. ก็ต้องกำกับร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้เข้มข้นเรื่องการโฆษณาผิดกฎหมาย เกินจริง โอ้อวด รักษาโรคของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเมื่อมีรายงานว่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาไตวายเรื้อรัง
อย. ในฐานะหน่วยงานที่ต้องกำกับผลิตภัณฑ์นี้โดยตรงก็ต้องเรียกบริษัทผู้ผลิตผู้จัดจำหน่ายทั้งหลายเร่งปรับปรุงฉลาก ให้มีคำเตือนที่ชัดเจนในการใช้ผลิตภัณฑ์นี้ ติดตามผลข้างเคียงอย่างเป็นระบบและผู้ประกอบการต้องรีบดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังทั้งหลาย
สุขภาพของเราไม่ได้มาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หยุดคิดว่าถ้าไม่ดี อย. ก็ไม่ควรให้จำหน่ายเพราะการรู้ว่าไม่ดีมักจะมาทีหลัง หวังว่าถั่งเช่าจะไม่ซ้ำรอยขี้เหล็กที่เป็นอาหารมีคุณ แต่สกัดแล้วเป็นโทษ เพราะหากย้อนไปในประเทศจีนก็ทานถั่งเช่าเป็นอาหารใส่ในต้มจืดเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น หรือหากในธิเบตก็นิยมทานเป็นชาหรือใส่ในอาหารเฉพาะบางฤดูเช่นเดียวกัน สุขภาพของเรา คงไม่ใช่เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแต่มาจากความสุข การบริโภคอาหารที่ดี การใช้ชีวิต การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
#นิตยสารฉลาดซื้อ #มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

 

ข้อมูลจาก รพ.จุฬาภรณ์
*การระบาดที่กำลังเกิด จากเมื่อวานนี้และวันนี้ เป็นสายพันธุ์ B.1.1.7 หรือ British variant ที่เข้ามาระบาดภายในประเทศแล้ว
(มีการตรวจ genome ยืนยันแล้ว) การระบาดจะแรงขึ้น 30 ถึง 50 % ทุกคนควรระวังตัวให้เต็มที่

สัญญาณ Covid-19 สรุปจาก สธ.
น่าจะช่วยกันได้บ้าง

อาการวันต่อวัน

วันที่ 1-3 :
1. คล้ายหวัด
2. ปวดในคอเล็กน้อย
3. ไม่มีไข้ ไม่เหนื่อย
4. กิน/ดื่มปกติ

วันที่ 4 :
1. เจ็บคอเล็กน้อย
2. พูดเริ่มเจ็บในคอ
3. ไข้ดูปกติ 36.5°C
4. รบกวนกับการกิน
5. ปวดหัวเล็กน้อย
6. ท้องเสียอ่อนๆ
7. รู้สึกเหมือนเมา

วันที่ 5 :
1. ปวดในคอ พูด-เจ็บ
2. อ่อนเพลียเล็กน้อย
3. ปรอทไข้ 36.5° - 36.7°C
3. อ่อนเพลีย ปวดข้อต่อ

วันที่ 6 :
1. ปรอทไข้ 37 °C+
2. ไอแห้ง
3. ปวดคอขณะกิน/พูด
4. อ่อนเพลีย คลื่นไส้
5. หายใจลำบากเป็นครั้งคราว
6. นิ้วรู้สึกเจ็บปวด
7. ท้องร่วง อาเจียน

วันที่ 7 :
1. มีไข้ 37.4° - 37.8°C
2. ไอต่อเนื่อง มีเสมหะ
3. ปวดร่างกาย/ศีรษะ
4. ท้องร่วงมาก
5. อาเจียน

วันที่ 8 :
1. ไข้ 38°C+++
2. หายใจลำบาก
3. ไอต่อเนื่อง
4. ปวดหัว ข้อต่อ กล้ามเนื้อ
5. ง่อยและปวดก้น

วันที่ 9 :
1. ไม่ดีขึ้น และแย่ลง
2. ไข้สูงมาก
3. อาการทรุดลงมาก
4. ต้องต่อสู้เพื่อหายใจ

อาการในวันที่ 9 ต้อง
-ตรวจเลือด
-CT Scan ทรวงอก

เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แชร์ต่อนะครับ

ขอขอบคุณครับ

ข้อควรระวังการใช้ 'Antigen test kit' รู้ผลเร็ว เข้ารับการรักษาทันที

 

'Antigen test kit' เป็นชุดตรวจโควิด-19 ที่ประชาชนสามารถใช้ตรวจเองที่บ้าน ซึ่งวิธีการใช้งาน รวมถึงข้อระวังต่างๆ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องศึกษาให้เข้าใจ เพื่อจะได้ทราบผลการตรวจที่ถูกต้อง แม่นยำ

หลังจากที่ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศให้ประชาชนสามารถซื้อและใช้ชุดตรวจโควิด-19  'Antigen test kit' มาใช้เองได้ที่บ้าน ทำให้ใครหลายคนๆ อาจจะคุ้นเคยกับการตรวจแล้ว เพราะด้วยความกังวลของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่รุนแรงมากขึ้น นับวันผู้ติดเชื้อรายใหม่จะมีจำนวนมากกว่า 20,000 ราย ใครที่เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงก็อาจจะอยากตรวจ

นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าสำหรับเรื่องการตรวจโควิด -19 ซึ่งตอนนี้เชื่อว่ามีหลายคนได้ใช้ชุดตรวจ 'Antigen test kit' แล้ว แต่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน

162822991754

สำหรับการตรวจหาตัวเชื้อโควิด-19 ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ จะมี 2 รูปแบบ คือ วิธีมาตรฐานที่มีการใช้บ่อยๆ  RT-PCR หรือการตรวจสารพันธุ์กรรมโดยเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก เหมือน Antigen test kit   เมื่อได้ตัวอย่างมาแล้วจะนำเข้ามาในหลอดทดลอง ซึ่งในหลอดทดลองจะเพิ่มสารพันธุ์กรรมที่เป็นตัวเชื้อจำนวนมาก เพิ่มจำนวนมากจาก 1 ตัวเชื้อ เป็นล้านๆ ตัวเชื้อทำให้ตรวจเจอได้ง่าย

ส่วนอีกวิธี คือ Antigen test kit เป็นชุดตรวจโควิด-19 อย่างง่าย สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องอะไรมาก มีตลับที่ใช้ทดสอบ และหยดน้ำยา เอาไม้swab โพรงจมูก เพื่อเอาเชื้อในโพรงจมูก มาละลายในน้ำยา และตัวเชื้อจะอยู่ในน้ำยา ต่อมาหยดสารระลาย ก็จะสามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า และทราบผลใน 15-30 นาที และถ้ามีเชื้อโควิด -19 จำนวนมาก จะตรวจเจอได้ง่าย ซึ่งโควิด-19 เป็นการตรวจโปรตีนของเชื้อ ซึ่งเมื่อละลายจะมีชิ้นส่วนบางชิ้นส่วนที่ชุดตรวจโควิด-19 ออกแบบมาให้จับได้

 

  • เช็ควิธีการตรวจโควิด-19 'Antigen test kit' ที่ถูกต้อง

สำหรับการเก็บตัวอย่างเชื้อในโพรงจมูกนั้น มีวิธีดังนี้ 

หากเก็บจากจมูกก็ให้แหย่จมูกทั้งสองข้าง ให้ถึงผนังจมูก

หมุนวนเพื่อให้ได้สารคัดหลั่งพอสมควรติดสำลี

เอามาจุ่มในหลอดที่มีน้ำยา

หมุนวนเพื่อให้สารคัดหลังผสมน้ำยา

ปิดจุกและหยอดในตลับที่วางบนพื้นที่สะอาด

รอดูผล 15-30 นาที

นพ.อาชวินทร์ กล่าวต่อว่าชุดตรวจ Antigen test kit ถ้าตีความจากบริษัทผู้ผลิตจะมี 2 แบบ คือ 1.แบบอ่านผลด้วยตาเปล่า  จะดูว่าขึ้นขีดหรือไม่ขึ้นขีด 2.แบบที่ต้องใช้สารเรืองแสงเคลือบ ซึ่งต้องอ่านด้วยเครื่อง ก็จะลดการอคติในการอ่านได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม สำหรับวิธีการใช้ ชุดตรวจ Antigen test kit ขอให้ยึดตามหลักของเอกสารกำกับชุดตรวจที่จะมาพร้อมกับกล่องชุดตรวจอยู่แล้ว ขอให้ทุกคนอ่านทำความ

เข้าใจให้ชัดเจน

162822993751

  • 2 กลุ่มที่ควรจะตรวจโควิด-19 'Antigen test kit'

สำหรับบุคคลที่ต้อง ตรวจโควิด-19 โดยใช้ Antigen test kit นั้น จะแบ่งเป็น  2 กลุ่ม คือ กรณีที่ 1 ผู้ที่อาการคล้ายๆ ไข้หวัดหรือระบบทางเดินหายใจ เช่นมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว มีไอ จาม น้ำมูกไหล จมูกไม่ได้กลิ่น เพราะเราไม่สามารถบอกได้การไปสัมผัสไม่ว่าจะคนในบ้าน หรือนอกบ้าน คนไหนมีความเสี่ยง ถือว่ามีความเสี่ยง ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ ต้องตรวจทันที

กลุ่มที่ 2 เป็นผู้สัมผัสเสี่ยง คือมีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด -19 โดยสมมติเราไปเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อวันนี้ ไม่ใช้ว่าเราจะตรวจโควิด-19 ผ่าน Antigen test kit ภายในวันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ได้ เพราะเชื้อมีระยะเวลาฟักตัว อย่างน้อยต้องปล่อยให้ระยะเวลา 3-5 วันถึงจะตรวจโควิด -19ผ่าน Antigen test kit ได้ ซึ่งในช่วง 2-3 วันแรก ไม่มีเทคนิคไหนที่จะตรวจเจอ ต้องเป็นช่วงที่มีระยะฟักตัวไปแล้ว หลังจากมีการสัมผัสไปประมาณ 3-5 วันไปแล้ว ช่วงที่จะตรวจ Antigen test kitได้เจอ ส่วนใหญ่จะหลังจากมีอาการไปแล้ว 1 สัปดาห์

 

นพ.อาชวินทร์  กล่าวต่อไปว่า การเก็บตัวอย่างผ่านการตรวจโควิด -19 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด จะมี 2 แบบ คือ แบบสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ใช้ ซึ่งไม้swab จะเก็บลึกไปยังหลังโพรงจมูก 8-12 เซนติเมตร โดยตำแหน่งหลังโพรงจมูกจะมีเชื้อจำนวนมาก เพราะมีพื้นที่ให้เชื้อได้อยู่ 

ส่วนแบบสำหรับประชาชนใช้ หรือ Home use แบบนี้จะมีมาตรฐานสามารถใช้ได้โพรงจมูก

-จะแยงไปลึกประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ได้ ซึ่งโพรงจมูกนี้คือด้านข้าง 

-น่าเป็นห่วงประชาชนบางท่านที่แยงไปตรงๆ และมองว่าต้องแยงให้ลึกที่สุด ปรากฏว่าจะแยงไปถึงเบ้าตา ไม่ได้เป็นวิธีการเก็บตัวเชื้อที่ดี

-การเก็บตัวเชื้อที่ดี คือ แยงเข้าไปตรงกลาง แต่ให้ไปทางโพรงจมูกด้านข้าง ซึ่งไม้ swab จะโค้งตามจมูกของเราได้ และไม่เจ็บมากแต่ก็จะมีความแสบหรือบางคนจะน้ำตาไหลเมื่อแหย่เข้าไป

-ไม้ swab จะมีสัญลักษณ์ว่าจะต้องแหย่ไปถึงขนาดไหน และควรปฎิบัติตามนั้น

-สำหรับการแปลผล ต้องมีตัว C ขึ้นเสมอ ถ้าตัว C ไม่ขึ้น แสดงว่าชุดตรวจนี้ไม่สามารถใช้งานได้

162822996066

-สำหรับผลบวกปลอม  คือ ตามหลักผลบวก แปลว่าติดเชื้อโควิด-19 แต่จะมีจำนวนเล็กน้อยที่เป็นบวก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดเชื้อ เกิดขึ้นได้จากข้อจำกัดของเทส เช่น การปนเปื้อน หรือไวรัสตัวอื่น ที่เทสแยกไม่ออก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผลเป็นบวก ขอให้แจ้งศูนย์บริการ คลินิกชุมชนอบอุ่น หรือ รพ. เอาผลที่ว่าไปให้ดู จะมีการประเมินสีเขียว เหลือง แดง ในการดำเนินการ หรือมีการตรวจยืนยัน RT-PCR ซ้ำ หรือไม่อย่างไร

-ส่วนผลเป็นลบ ซึ่งแปลได้สองกรณี คือ ไม่ติดเชื้อ และ อาจจะเกิดผลลบลวง คือ ติดเชื้อแต่เชื้อจำนวนน้อย เทสไม่ไวพอที่ทำให้ผลเป็นบวก วิธีคือ ต้องเคร่งครัดในการกักตัวในกรณีเสี่ยงสูง อย่าสรุปว่าไม่ติดเชื้อและไปแพร่เชื้อ และอีก 2-3 วันอาจจะตรวจซ้ำได้อีก หากเชื้อมากขึ้นอาจตรวจเจอในภายหลัง ทั้งนี้ การตรวจ Antigen Test Kit ควรตรวจหลังคาดว่าจนสัมผัสกลุ่มเสี่ยง 5 วัน ก่อนหน้านั้นอาจจะต้องกักตัวอย่างเคร่งครัด หากตรวจเร็วเกินไป ตรวจได้แต่โอกาสเจอมีไม่มาก

  • สิ่งที่ควรปฎิบัติในการใช้ 'Antigen Test Kit' 

-การเก็บตัวอย่างมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทำให้ได้ตัวอย่างที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้องได้ และมีผลต่อการอ่านตัวเชื้อ

-ควรหาซื้อชุดตรวจที่ผ่านการขึ้นทะเบียนของอย.

-สามารถไปเช็คได้ที่เว็บไซต์ กรมควบคุมเครื่องมือแพทย์ จะหารายชื่อของบริษัทที่ผ่านการขึ้นทะเบียนแล้ว

 -การแปลผลต้องดำเนินการตามวิธีของเอกสารอ้างอิง ที่บริษัทกำหนด

-ถ้าตรวจครั้งแรกผลเป็นลบ ต้องเว้น 3-5 วัน และตรวจซ้ำ ก็จะทราบผลที่ชัดเจนขึ้น  

-เมื่อตรวจพบติดเชื้อโควิด -19 อย่าตื่นตระหนก ติดต่อหน่วยบริการใกล้บ้าน หรือโทร.สปสช.1330 จะได้รับการรักษาทันที

-เมื่อเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องตระหนักว่าตัวเองสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ต้องปฎิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด 

-ต้องแจ้งกับหน่วยบริการใกล้บ้าน ถ้าเป็นในเขตกทม.จะมีสำนักบริการทางการแพทย์ และมีคลินิกอบอุ่น เพื่อดำเนินการเข้าสู่กระบวนการรักษา

162822998952

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/953261?anf=

 

  1. คนที่รวยที่สุด 1 % ของคนไทยมีทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 66 % ของทรัพย์สินทั้งหมดที่ประเทศมี
  2. ประชากรไทย 3 ล้านคน เป็นเจ้าของที่ดินร้อยละ 80 ของที่ดินทั้งหมดของประเทศ ขณะที่คนไทยอีก 45 ล้านคน ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง
  3. คนไทยวัยเกษียณร้อยละ 5 มีความเป็นอยู่ดีและพึ่งพาตัวเองได้ ขณะที่ร้อยละ 95 ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ต้องพึ่งพาลูกหลานมีความเป็นอยู่ลำบาก

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ