เผยแพร่: 8 ต.ค. 2564 10:08   ปรับปรุง: 8 ต.ค. 2564 10:08   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 

 

 

ฟินแลนด์เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ต.ค.) หยุดใช้วัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นา ในผู้ชายอายุน้อย ท่ามกลางรายงานผลข้างเคียงเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular) ที่เกิดขึ้นน้อยมาก ตามรอยสวีเดนและเดนมาร์กที่จำกัดการใช้วัคซีนตัวดังกล่าวไปก่อนหน้านี้

มิกา ซัลมิเนน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพฟินแลนด์ เปิดเผยว่า ฟินแลนด์จะฉีดวัคซีนของไฟเซอร์แทนโมเดอร์นา ให้ผู้ชายที่เกิดในปี 1991 หรือหลังจากนั้น

"ผลการศึกษาในแถบนอร์ดิกฉบับหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก พบว่า ผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่ฉีดวัคซีนสไปค์แว็กซ์ของโมเดอร์นา มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เล็กน้อยในอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ" เขากล่าว

ปัจจุบันฟินแลนด์อนุมัติฉีดวัคซีนเฉพาะกับคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สวีเดนและเดนมาร์กแถลงเมื่อวันพุธ (6 ต.ค.) จะหยุดใช้วัคซีนของโมเดอร์นาสำหรับวัยรุ่นและเด็กทั้งหมด อ้างถึงผลการศึกษาเดียวกันที่ไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ

ส่วนเจ้าหน้าที่นอร์เวย์เน้นย้ำในวันพุธ (6 ต.ค.) แนะนำให้ผูุ้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปี เลือกฉีดวัคซีนของไฟเซอร์

 
สถาบันสุขภาพฟินแลนด์เผยว่า จะมีการเผยแพร่ผลการศึกษานอร์ดิกภายใน 2 สัปดาห์ และข้อมูลในเบื้องต้นได้ถูกส่งไปยังองค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อทำการประเมินเพิ่มเติม

คณะกรรมการด้านความปลอดภัยของอีเอ็มเอ สรุปในเดือนกรกฎาคม ว่าอาการหัวใจอักเสบดังกล่าวที่เกิดขึ้นน้อยมากๆ จะเกิดขึ้นตามหลังการฉีดวัคซีนสไปค์แว็กซ์ของโมเดอร์นา และวัคซีนโคเมอร์เนตีของไฟเซอร์/ไบออนเทค แต่พบบ่อยขึ้นในกลุ่มผู้ชายอายุน้อยหลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2

อย่างไรก็ตาม คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบในสหรัฐฯ อียู และองค์การอนามัยโลก เน้นย้ำว่าวัคซีนต้านโควิด-19 ที่สร้างบนพื้นฐานเทคโนโลยี mRNA ของโมเดอร์นาและไฟเซอร์/ไบออนเทค ยังคงมีประโยชน์เหนือกว่าความเสี่ยงต่างๆ

โฆษกของโมเดอร์นาระบุเมื่อช่วงค่ำวันพุธ (6 ต.ค.) ว่าทราบเกี่ยวกับการตัดสินใจของคณะผู้ควบคุมกกฎระเบียบของสวีเดนและเดนมาร์กแล้ว

"มันเป็นลักษณะของเคสอาการเล็กๆ น้อยๆ และแต่ละบุคคลมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะเวลาสั้นๆ ตามหลังการรักษาตามมาตรฐานและการพักผ่อน ความเสี่ยงของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบก็เพิ่มขึ้นมากอยู่แล้วสำหรับคนที่ติดเชื้อโควิด-19 และวัคซีนคือหนทางที่ดีที่สุดในการปกป้องสิ่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ

โรแบร์โต สเปรันซา รัฐมนตรีสาธารณสุขของอิตาลี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า อิตาลีไม่มีแผนระงับใช้วัคซีนของโมเดอร์นา และบอกว่าประเทศต่างๆ ในยุโรปควรทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับประสานงานใกล้ชิดยิ่งขึ้น "เราจำเป็นต้องเชื่อใจเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศ เริ่มด้วยอีเอ็มเอ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใช้อ้างอิงของเรา และได้ลงความเห็นอย่างชัดเจนมากไปแล้วในประเด็นนี้"

(ที่มา : รอยเตอร์)
 
 

"เสี่ยงจากวัคซีน" มากกว่าเสี่ยงป่วยจากโควิด 4-6 เท่า

โทษมากกว่าประโยชน์ ไม่คุ้ม

สรุปผลการทดลองในเด็กสุขภาพดี
อัตราการเกิดอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและโรคเยื่อหุ้มหัวใจ หลังการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม
เด็กชาย
- อายุ 12-15 ปี อยู่ที่ 162.2 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 16-17 ปี อยู่ที่ 94 คน ใน 1 ล้านคน

เด็กหญิง
- อายุ 12-15 ปี อยู่ที่ 13.4 คน ใน 1 ล้านคน
- อายุ 16-17 ปี อยู่ที่ 13 คน ใน 1 ล้านคน

เมื่อเทียบกับความเสี่ยงในการติดโควิดแล้วป่วยในเด็กสุขภาพดีแล้ว อัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจผิดปกติมีมากกว่าถึง 4-6 เท่าตัว!!
สรุปจึง ไม่คุ้มค่าความเสี่ยงในการฉีดวัคซีน
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3664138630478158&id=1424698607755516

เนื้อข่าว
รายงานผลการศึกษาล่าสุดของ ดร.เทรซี่ ฮีก (Tracy Hoeg) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า จากการวิเคราะห์อาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับกลุ่มเด็กอายุ 12-17 ปี ในสหรัฐอเมริกาช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 พบว่า อัตราการเกิดอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและโรคเยื่อหุ้มหัวใจ หลังการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ในกลุ่มเด็กชายอายุ 12-15 ปี ที่มีสุขภาพดี อยู่ที่ประมาณ 162.2 คน ใน 1 ล้านคน ในขณะที่ กลุ่มเด็กชายสุขภาพดี อายุระหว่าง 16-17 ปี อยู่ที่อัตราส่วน 94 คน ใน 1 ล้านคน

และในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน สำหรับกลุ่มเด็กหญิง อายุ 12-15 ปี ที่มีสุขภาพดี จะอยู่ที่ 13.4 คน ใน 1 ล้านคน ส่วนเด็กหญิง อายุระหว่าง 16-17 ปี จะอยู่ที่ 13 คน ใน 1 ล้านคน

ขณะที่ อัตราการติดเชื้อในสหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่กลุ่มวัยรุ่นที่มีสุขภาพดี อาจจะติดเชื้อโควิด-19 จนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในอีก 120 วันข้างหน้า (หลังผลรายงานวิจัยชิ้นนี้) อยู่ที่ประมาณ 44 คน ต่อ 1 ล้านคน

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังพบว่า กลุ่มเด็กชายอายุ 12-15 ปี ที่ไม่มีโรคประจำตัว มีโอกาสที่จะเกิดอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและโรคเยื่อหุ้มหัวใจ หลังได้รับวัคซีน mRNA ครบ 2 เข็ม มากกว่าโอกาสที่จะมีอาการเจ็บป่วยจนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล จากการติดเชื้อโควิด-19 มากถึง 4-6 เท่า ในช่วงระยะเวลานับจาก 4 เดือนที่ผ่านมา

โดยเด็กส่วนใหญ่ที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้ยากนี้ จะเกิดอาการภายในไม่กี่วันหลังได้รับวัคซีน mRNA เข็มที่ 2 และในจำนวนนี้ ซึ่งเกือบ 86% เป็นเด็กชาย ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

อ้างอิงงานวิจัย
SARS-CoV-2 mRNA Vaccination-Associated Myocarditis in Children Ages 12-17: A Stratified National Database Analysis
https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.08.30.21262866v1

โหลดงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.08.30.21262866v1.full.pdf
ขอขอบพระคุณ คุณหมอเจษฎา ร.พ.ราวิถี ที่ให้ข้อมูล ครับ
ไสว ทัศนีย์ภาพ
เสรีรวมไทย บางคอแหลม
ยานนาวา
28 กันยายน 2564

อาจไม่ปลอดภัยในระยะยาว
อยากให้รอวัคซีนรุ่นใหม่เชื้อตาย

หมอห่วงใช้วัคซีนไฟเซอร์ฉีดเด็ก
ที่ จ.เชียงใหม่ ศ.นพ.ดร.วิชาญ วิทยาศัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวไทยรัฐ เกี่ยวกับการใช้วัคซีนไฟเซอร์ป้องกันโควิด-19 ในกลุ่มเด็กของไทย ว่า วัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยวิธีการใหม่ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่นำเอา Messenger RNA หรือ mRNA สังเคราะห์ขึ้นจากพันธุกรรมสาร ฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อให้ทุกเซลล์ร่างกายผลิตสไปค์โปรตีน (spike protein) ขึ้นมา เป็นการจำลองลักษณะของไวรัสเข้ามาในร่างกายโดยไม่มีการติดเชื้อ เพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ หากมีเชื้อไวรัสตัวนั้นเข้าสู่ร่างกาย ส่วนผลข้างเคียง เนื่องจากเป็นการสร้างโปรตีนจากทุกเซลล์ในร่างกาย ทำให้โปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นมาอาจไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ หรือโปรตีนอาจเพี้ยนไป หรืออาจจะไม่ถูกปล่อยออกมาเพื่อทำหน้าที่ที่ต้องการ ทำให้น่าเป็นห่วงในระยะยาวว่า หากมีการสะสมอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมาได้ โดยมีรายงานว่าการสะสมโปรตีนนี้คล้ายกับที่เจอในโรคอัลไซเมอร์

อาจไม่ปลอดภัยในระยะยาว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยากล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาที่เกิดระยะสั้น เช่น ปวดหัว ตัวร้อน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่าย เรื่องนี้น่าเป็นห่วงแต่ยังไม่น่าห่วงเท่ากับปัญหาในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นในสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า ที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในเรื่องของประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ แม้ในระยะแรกสหรัฐอเมริกาจะบอกว่าป้องกันได้ดี แต่หลังเกิดสายพันธุ์เดลตาระบาดหนัก พบว่าวัคซีนไฟเซอร์ไม่ได้ดีไปกว่ายี่ห้ออื่น กรณีแผนใช้วัคซีนไฟเซอร์ หรือวัคซีน mRNA ในเด็ก โดยหลักการติดเชื้อหากมีวัคซีนป้องกันเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องคำนึงด้วยว่าวัคซีนนั้นจะมีปัญหาแทรกซ้อนอะไรหรือไม่ จึงไม่เห็นด้วยที่จะใช้วัคซีนที่ยังไม่ปลอดภัยฉีดให้กับเด็ก เพราะเป็นห่วงในเรื่องอนาคตที่มีโอกาสจะเกิดผลข้างเคียงจากการสะสมได้

อยากให้รอวัคซีนรุ่นใหม่เชื้อตาย
ศ.นพ.ดร.วิชาญยังแนะนำวิธีป้องกันโควิด-19 ว่า วิธีที่เหมาะสมและดีที่สุดคือการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หากเคร่งครัดแล้วโอกาสติดเชื้อน้อยมาก เรื่องวัคซีนเป็นเรื่องรองลงมา การใช้วัคซีนกับเด็กควรรอจนกว่าจะมีวัคซีนที่ค่อนข้างจะปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะยาว ตอนนี้มีหลายบริษัทที่กำลังพัฒนาวัคซีนใหม่ๆ ขึ้นมา หากวัคซีนใหม่ที่พัฒนาขึ้นผลิตจากเชื้อตายเชื่อว่าจะปลอดภัย แต่หากผลิตจาก mRNA ยังน่าห่วง สรุปว่าควรรอวัคซีนรุ่นใหม่ที่ผลิตจากเชื้อตายจะปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็ก

https://www.thairath.co.th/news/local/2208054

Benenson S และคณะ จากอิสราเอล ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่องนี้ในวารสารทางการแพทย์ Journal of Travel Medicine ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2021 ที่ผ่านมา

โดยนำเสนอเรื่องการเกิดการระบาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่ไปท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ในประเทศไอซ์แลนด์ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2021 เป็นระยะเวลา 12 วัน

กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจำนวน 25 คน ได้รับวัคซีนครบทุกคน โดย 24 คนได้รับครบถ้วนตั้งแต่มกราคม 2021 และอีก 1 คนได้รับวัคซีนครบก่อนเดินทางไปท่องเที่ยว 1 เดือน

ทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองโรค RT-PCR ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง และได้ผลลบ

การเดินทางท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ใช้รถทัวร์ปรับอากาศซึ่งเป็นระบบปิดและเดินทางเป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละครั้ง มีคนขับท้องถิ่นในไอซ์แลนด์ซึ่งได้รับวัคซีนครบแล้วเช่นกัน ไม่มีอาการป่วยใดๆ

แม้จะมีคำแนะนำให้นักท่องเที่ยวใส่หน้ากากเสมอระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว แต่พบว่ามีแค่บางคนที่ปฏิบัติตาม

ก่อนเดินทางกลับอิสราเอล 3 วัน ซึ่งนับเป็นวันที่ 10 ของการท่องเที่ยว ได้มีการตรวจ RT-PCR พบว่า มีคนติดเชื้อมากถึง 15 คน (60%) และได้รับคำสั่งให้กักตัวเป็นเวลา 10 วันในประเทศไอซ์แลนด์

ในขณะที่อีก 10 คนที่ได้ผลลบ ได้เดินทางกลับอิสราเอล และตรวจพบว่าเป็นผลบวกอีก 6 คน ทำให้มีคนติดเชื้อในกรุ๊ปทัวร์นี้ถึง 21/25 คน (84%)

ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ ดมไม่ได้กลิ่น เจ็บคอ เหนื่อย โดยมีราว 10% ที่ไม่มีอาการ แต่ไม่มีใครที่ต้องนอนในโรงพยาบาล ทั้งนี้ส่วนใหญ่รายงานว่าเกิดอาการป่วยในช่วงวันที่ 6-10 ระหว่างการทัวร์ท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า การระบาดดังกล่าวเกิดจากการที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลนั้นมีการติดเชื้อจากอิสราเอลตั้งแต่ก่อนเดินทางหรือไม่ แม้ผลตรวจก่อนเดินทางจะเป็นลบ แต่อาจเป็นช่วงเวลาฟักตัวของโรคได้ หรืออาจเป็นการติดเชื้อที่ได้รับภายในประเทศไอซ์แลนด์ระหว่างการท่องเที่ยว

สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากรายงานวิจัยนี้คือ

หนึ่ง ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อได้ ป่วยได้ และแพร่ให้แก่คนอื่นๆ ได้

สอง กิจกรรมการท่องเที่ยวเดินทางเป็นกลุ่มเช่นนี้ มีปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ทั้งในแง่จำนวนคน การใกล้ชิดกัน และระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน

สาม การตรวจคัดกรองโรค แม้ได้ผลเป็นลบมาจากประเทศต้นทาง ก็อาจมีภาวะติดเชื้อที่อยู่ในระยะฟักตัวของโรคได้ ระยะเวลากักตัวภายในประเทศปลายทางที่จะมาท่องเที่ยว และการมีระบบตรวจคัดกรองโรคซ้ำจึงมีความสำคัญมาก หากกักตัวโดยมีระยะเวลาไม่เพียงพอก็จะเสี่ยงต่อการระบาดในประเทศได้

สี่ "กฎระเบียบมีไว้แหก" คือสิ่งที่ต้องระวัง กฎระเบียบจะเขียนเข้มงวดสวยหรูอย่างไรก็ได้ แต่มักมีคนที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม ดังนั้นประชาชนในพื้นที่ท่องเที่ยว และผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวจึงต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ และหากอยากปกป้องถิ่นฐานบ้านเกิด และแหล่งทำมาหากินของตนให้ดำรงอยู่ได้นาน จะต้องมีความเข้มงวดในแง่การบังคับใช้กฎระเบียบเหล่านั้น ไม่ค้าขายหรือบริการให้แก่นักท่องเที่ยวที่ไม่มีระเบียบวินัยหรือทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนในประเทศ

เล่าเรื่องนี้มาให้รับทราบกัน เพื่อให้เตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ด้วยรักและห่วงใย : Thira Woratanarat

อ้างอิง
Benenson S et al. High attack rate of COVID-19 in an organized tour group of vaccinated travelers to Iceland. J Travel Med. 28 September 2021.

Covid-19: บทสรุป 2 ปี 4 Waves ใน อังกฤษ ยุโรป อเมริกา อิสราเอล ข่าวดีของวัคซีนฝรั่ง ข่าวร้ายของคนที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน และมองไทยไปข้างหน้า Wave#5 ที่เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอ แต่จะเจอแบบไหน

หลังจากการระบาดมาหลาย Wave และปิดท้ายด้วย Wave ขนาดใหญ่ของ Delta ในอังกฤษ ยุโรป อเมริกา และอิสราเอล ซึ่งผ่านมาพักใหญ่ทำให้เราได้ข้อมูลสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับความสามารถของวัคซีนในภาวะการระบาดใหญ่ที่เนื่องจากการเปิดเศรษฐกิจเต็มที่ ซึ่งผมทำสรุปมาเป็นตารางให้ตามรูป

จากตัวเลข ผมคิดว่าเรามีข่าวดีหลายประการ รวมทั้งข่าวร้ายด้วยครับ

ข่าวดี:
1. วัคซีนฝรั่ง AZ, Moderna, Pfizer ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดในภาวะเปิดเมือง ที่ระดับการฉีด Fully Vaccinated 70% โดยเกิด Wave ขนาดใหญ่ขึ้นจริง แต่อัตราการติดเชื้อใหม่เข้าสู่ Saturation ไม่ไปต่อแบบ Exponential โดยไม่ต้อง Lockdown เช่นใน UK การระบาดอิ่มตัวที่ 30,000 เคสต่อวัน และชีวิตเดินหน้าต่อได้
2. อัตราการเสียชีวิตใน ยุโรป อเมริกา อิสราเอล โดยเฉลี่ยลดลงอย่างมากเมื่อมีวัคซีน สถิติโดยเฉลี่ยของแต่ละ Wave
- Wave#1 อัตราการเสียชีวิต 9.97%
- Wave#2 อัตราการเสียชีวิต 1.78%
- Wave#3 อัตราการเสียชีวิต 1.53%
- Wave#4 อัตราการเสียชีวิต 0.48% หรือลดลงเหลือ 1 ใน 3 ของ Wave ก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากวัคซีน
3. ขนาดของ Wave Delta ภายใต้วัคซีนมีแนวโน้มเล็กลงกว่า Wave ก่อนหน้าโดยสามารถเปิดเมืองได้ค่อนข้างเต็มที่ แนวโน้มขนาด Amplitude ของ Wave ลดเหลือประมาณ 1 ใน 2 ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยรายวันลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 6 เมื่อเทียบกับ Wave ก่อนหน้า ทั้งที่จริงๆแล้ว Wave ก่อนเป็นของสายพันธุ์เก่าที่ไม่เก่งเท่า Delta ด้วย
4. การติดเชื้อและเสียชีวิตใน Wave ล่าสุดจำนวนมากกว่า 90% เกิดในผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน จากงานศึกษาใน USA "Almost all (more than 9 in 10) COVID-19 cases, hospitalizations, and deaths have occurred among people who are unvaccinated or not yet fully vaccinated"
5. อัตราการเสียชีวิตในผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ตัวเลขยังไม่ชัดเจน แต่มีความหวังว่าแนวโน้มอาจต่ำกว่าระดับ 0.1% ซึ่งก็คือระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
6. ข่าวดีของเด็กๆ UAE เพิ่งอนุมัติ Sinopharm สำหรับเด็ก 3-17 ปี และใน USA Pfizer กำลังจะยื่นขออนุมัติการใช้ในเด็ก 6 เดือน ถึง 5 ปี พ.ย.นี้
7. ประเทศไทยเรา เปลี่ยนแผนมาใช้วันซีน AZ, Moderna, Pfizer เป็นหลักในการต่อสู้ให้จบสงครามนี้แล้ว และ Sinopharm สำหรับเด็กก็อยู่ในแผน

ข่าวร้าย:
1. ไม่มี Herd Immunity เกิดขึ้นจากวัคซีน และจะไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย วัคซีนใน Generation นี้
2. ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน จะไม่ได้รับการคุ้มครอง จะเกิดการระบาดใหญ่ในกลุ่มนี้ และอัตราการตายยังสูงมากเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่
3. โควิด 2 นครา การใช้ชีวิตบนโลกจะแบ่งแยกเป็น 2 แบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือ ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว และผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน อัตราการตายจะต่างกันนับสิบๆเท่า
4. ผู้คนจะต้องเลือกที่จะเผชิญระหว่าง 3 สิ่งที่เลี่ยงได้ยากคือ หนึ่งฉีดวัคซีน สองติดโควิดซ้ำซาก สามอยู่ในถ้ำกักตัวไปจนกว่าจะ Zero Covid ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปีข้างหน้า

มองประเทศไทยไปข้างหน้า Wave#5 จะหน้าตาแบบไหน:
รัฐบาลไม่มีเงินเหลือแล้ว การเปิดเศรษฐกิจเต็มที่ในช่วงเดือน พ.ย. ธ.ค. เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และนั่นหมายถึงว่า Wave#5 ของ Delta จะต้องเกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้่นในแบบที่เราจะมีการฉีดวัคซีนไปมากแล้ว และการ Lockdown ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว Wave ที่จะถึงนี้จึงจะมีความแตกต่างจาก Wave ก่อนๆที่เราเคยเจอมา โดยสิ้นเชิง

ตัวเลขของประเทศที่เราควรมองและอาจเป็นส่วนหนึ่งของภาพอนาคตของเราคือ UK ซึ่งประชากรเท่าๆกัน และอัตราการฉีดวัคซีนของเราในช่วง พ.ย. ธ.ค. อาจใกล้เคียงกับ UK ในช่วงการระบาดที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

ความเป็นไปได้ ใครเสี่ยง ใครรอด:
1. ขนาดของ Wave "ถ้าโชดดี" เหลือครึ่งหนึ่งที่ระดับ 800,000 ในระยะยาวนาน 3-4 เดือน ผู้ติดเชื้อรายวันระดับไม่เกิน 10,000 เสียชีวิตรายวันไม่เกิน 50 คน
2. "ถ้าโชคร้าย" ขนาดของ Wave ไปตัวเลข UK ผู้ติดเชื้อรายวันระดับ 30,000 คนต่อวัน อัตราการตายระดับ 100 - 200 คนต่อวัน ยาวนานต่อเนื่องหลายเดือน หรืออาจเป็นปี
3. ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะคือคนที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือ ได้รับวัคซีนมานานมากจนเสื่อมประสิทธิภาพแล้ว โดยเฉพาะกลุ่ม SV 2 เข็ม ส่วนกลุ่ม Pfizer 2 เข็ม, AZ 2 เข็ม, Moderna 2 เข็ม, SV 2 เข็ม + Booster น่าจะปลอดภัย ส่วนสูตรที่เหลือ เวลาจะพิสูจน์ให้เราทราบครับ ตอนนี้ไม่มีข้อมูลเทียบเคียง
4. การติดเชื้อในเด็กจะมากมาย จากการเปิดเทอม แม้อัตราการเสียชีวิตอาจจะไม่สูง แต่ภาวะ Long Covid ยังน่ากังวล
5. การ Lockdown จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ทุกรัฐบาลหลังชนฝา เดินหน้าตายเป็นตาย เวลา 2 ปีคือขีดสุดของการ Compromise เศรษฐกิจ นานกว่านี้เสี่ยงเกินไปกับหายนะความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้งระดับ Civil War ที่อาจ Trigger จากปัญหาเศรษฐกิจ

ปัญหาใหญ่ของฝรั่งที่มีวัคซีนดีในมือและล้นมือแต่จบไม่ค่อยสวย คือคน Anti Vaccine เยอะมาก ตัวเลข Fully Vaccinated เริ่มอิ่มตัวที่ 70% แต่สำหรับประเทศไทย คนไทย ผมเชื่อว่าเราจะพร้อมใจกันไปฉีดวัคซีนมากกว่านั้นมาก อาจถึง 90% ถ้าเราฉีดวัคซีนได้วันละ 1 ล้านคนนับจากนี้ และวัคซีนสำหรับเด็กและเยาวชนมาถึง รวมทั้งวินัยการควบคุมโรคและการรักษาของเราที่ดีกว่า และเดือนต.ค.เราไม่เร่งร้อนผ่อนผันมาตรการกันมากเกินไป น่าจะยังมีความเป็นไปได้สูง ที่ช่วงเดือน พ.ย. ธ.ค. ปลายปีนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับทุกคนครับ ช่วยกันครับ ใกล้จบแล้ว เราสามารถจบมันได้อย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สบบูรณ์แบบก็ตามครับ

แหล่งข้อมูล: Worldometer, Bloomberg, kff.org
#Sunt Sianthamrong

 

 
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในวัยเด็ก กำลังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทั่วสหรัฐฯ และเวลานี้มีสัดส่วนคิดเป็นเกือบ 26% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด จากข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์(20ก.ย.) อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วอาการไม่หนัก และเสียชีวิตไม่ถึง 0.25%

สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริการายงานว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นสัปดาห์ที่พบเด็กติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น ด้วยจำนวน 225,978 ราย ลดลงเล็กน้อยจากหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ที่พบเด็กติดเชื้อ 243,373 คน

การเพิ่มขึ้นของเคสเด็กติดเชื้อ เกิดขึ้นในขณะที่นักเรียนมากมายกลับสู่ชั้นเรียน ทว่าเด็กๆเหล่านั้นยังไม่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีน ปัจจุบันมีเพียงเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับอนุมัติให้เข้ารับวัคซีน ส่วนเด็กที่มีอายุต่ำกว่านั้นยังอยู่ระหว่างการศึกษา

พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับหนทางกันให้เด็กอายุน้อยปลอดภัยจากโควิด-19 จนกว่าจะอนุมัติใช้วัคซีนกับน้องๆหนูๆเหล่านี้ "หลังจากลดลงในช่วงฤดูร้อน เคสผู้ติดเชื้อเด็กเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ด้วยพบกว่า 925,000 รายในช่วง 4 สัปดาหลังสุด" สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริการะบุในถ้อยแถลง

เคสผู้ติดเชื้อเด็กรายสัปดาห์ที่รายงานเมื่อวันจันทร์(20ก.ย.) เพิ่มขึ้นมากว่า 215% นับตั้งแต่สัปดาห์ระหว่างวันที่ 22-29 กรกฏาคม โดยสัปดาห์นั้นพบผู้ติดเชื้อเด็กรายใหม่เพียง 71,726 ราย

จนถึงวันที่ 16 กันยายน พบเด็กมากกว่า 5.5 ล้านรายที่มีผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจำนวนเด็กที่ล้มป่วยอาหารหนักหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 ถือว่าน้อยมากๆหากเทียบกับประชากรวัยผู้หญ่ โดยในรัฐต่างๆที่รายงานอายุคนไข้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล พบว่าคนไข้เด็กคิดเป็นราวๆ 1.6% ถึง 4.2% ของคนไข้โควิด-19 ทั้งหมดที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ขณะเดียวกันในบรรดารัฐต่างๆที่รายงานอายุผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 พบว่าเด็กมีสัดส่วนไม่ถึง 0.25% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด และมีอยู่ 7 รัฐที่รายงานไม่พบเด็กเสียชีวิตจากโควิด-19 แม้แต่รายเดียว

 
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ(ซีดีซี) รายงานว่าจนถึงวันอาทิตย์(19ก.ย.) มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีในสหรัฐฯ เสียชีวิตจากโควิด-19 ไปเพียง 548 ราย

พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ในนั้นรวมถึงแพทย์หญิงโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการซีดีซี ระบุว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั้งหลายกำลังเร่งทำงานเพื่อให้มีวัคซีนตัวหนึ่งๆพร้อมสำหรับฉีดให้เด็กอายุน้อยในช่วงปลายปี

ส่วนนายแพทย์สกอตต์ กอตต์ลีพ บอร์ดบริหารของไฟเซอร์และอดีตคณะกรรมการของสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) ระบุว่ากรอบเวลาอย่างเร็วที่สุดน่าจะเป็นในช่วงวันฮาโลวีน(31ตุลาคม)
 

เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีบีเอสก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือน คาดหมายว่าไฟเซอร์จะมีข้อมูลวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ปี พร้อมยื่นต่องสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯในช่วงปลายเดือนกันยายน "เอฟดีเอบอกว่าพวกเขาจะพิจารณาเรื่องนี้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ไม่ใช้เวลาหลายเดือน ในการตัดสินใจว่าพวกเขาจะอนุมัติวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ขวบหรือไม่ ผมตีความว่าบางทีน่าจะใช้เวลา 4 สัปดาห์ หรือ 6 สัปดาห์"

อย่างไรก็ตามหากวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 11 ขวบได้รับอนุมัติแล้ว มันจะขึ้นอยู่กับทางครอบครัวจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนแก่บุตรหลานของพวกเขาหรือไม่ ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนของผู้มีสิทธิ์ในปัจจุบัน ยังคงห่างไกลจากจำนวนที่จำเป็นอย่างมากสำหรับชะลอหรือหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส

เวลานี้มีเพียงแค่ 54.7% ของประชากรสหรัฐฯที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว จากข้อมูลของซีดีซี ในขณะที่เด็กช่วงอายุก่อนวัยรุ่นและพวกวัยรุ่นเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการเข้ารับวัคซีนต่ำที่สุดหากเทียบกับกลุ่มอื่นๆ

(ที่มา:ซีเอ็นเอ็น)
 

สัปดาห์หน้าเฮ! ม.33 - คนละครึ่งเฟส 3 รับอีก 4,000 บาท เช็กให้ชัวร์เงินเข้าวันไหน

 

สัปดาห์หน้าเฮ! ผู้ประกันตน "ม.33" รับเงินเยียวยา 2,500 บาท "คนละครึ่งเฟส 3" เติมเงินเข้าเป๋าตังอีก 1,500 บาท เช็กเลยวันไหนบ้าง

วันนี้( 26 ก.ย.64) ความคืบหน้าสำนักงานประก้นสังคมจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด-19 ระยะที่ 2 โดยจังหวัดที่ได้รับการเยียวยารอบ 2 มี เป็น 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และ พระนครศรีอยุธยา

ทั้งนี้ จะเริ่มโอนเงิน วันที่ 27 – 28 ก.ย. 64 นี้ จำนวนทั้งหมด 3.02 ล้านราย ได้รับรายละ 2,500 บาท ผ่านบัญชีธนาคารที่ผูกกับพร้อมเพย์

วิธีการตรสจสอบสิทธิประกันสังคมมาตรา 33

 

1.เข้าเว็บไซต์ www.sso.go.th เลือก คลิกตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาตามมาตราของตนเอง

2.เลือกตรวจสอบสถานะโครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33

3.กรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และกรอกรหัสให้ตรงตามรูปที่กำหนด

4.จากนั้นกดค้นหา

5.ระบบจะแสดงผลการค้นหา พร้อมระบุจะอัปเดตข้อมูลล่าสุด ตามวันเวลาที่กำหนดอีกครั้ง

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่กระทรวงแรงงาน โทร.1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางเฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

ขณะที่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 กระทรวงการคลัง จะเติมเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง สิทธิได้รับคนละครึ่งจำนวน 3,000 บาท รอบละ 1,500 บาท ดังนี้

รอบที่ 1 วันที่ 1 ก.ย.- 30 ก.ย. 2564

รอบที่ 2 วันที่ 1 ต.ค.- 31 ธ.ค. 25 64

 

อย่างไรก็ตาม สิทธิในโครงการสามารถใช้สะสมได้

ข้อมูลจาก : สำนักงานประกันสังคม , กระทรวงการคลัง

ภาพจาก AFP , สำนักงานประกันสังคม , คนละครึ่ง

 

ข้อมูลจาก https://www.tnnthailand.com/news/covid19/91989/

 

"แอนติบอดี ค็อกเทล" ยาใหม่ เพื่อพลิกการรักษาผู้ป่วย"โควิด-19"

ยาใหม่อีกตัว แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) เพื่อพลิกการรักษาโควิด-19 ป้องกันไม่ให้ปอดอักเสบรุนแรง และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ แต่ก็มาพร้อมผลข้างเคียงของยา...

ไม่ว่าจะเป็น ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้างอย่าง ‘ฟาวิพิราเวียร์’ หรือ ‘ฟ้าทะลายโจร’ สมุนไพรที่บรรเทาอาการป่วยโควิดได้ดี

ยาทั้ง 2 ชนิดที่กำล้งใช้อยู่ ล้วนไม่ได้มีหน้าที่รักษา COVID-19 โดยเฉพาะ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศไทยก็ได้รับข่าวดีอยู่บ้าง

เมื่อกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศอนุมัติให้มีการใช้ยาหลักตัวสำคัญอีกตัวหนึ่งแบบมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อต่อสู้กับสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาดอย่างหนัก ในชื่อยา'แอนติบอดี ค็อกเทล' (Antibody Cocktail)

"แอนติบอดี ค็อกเทล" ยาใหม่ เพื่อพลิกการรักษาผู้ป่วย"โควิด-19"

นวัตกรรมยาAntibody Cocktail

เมื่อเห็นคำว่าค็อกเทล ขออย่าเพิ่งนึกถึงสูตรไขว้อันเลื่องชื่อ เพราะยา 'แอนติบอดี ค็อกเทล' Antibody Cocktail เป็นนวัตกรรมยาที่คิดค้นเพื่อรักษาโรค COVID-19 โดยเฉพาะ และได้รับอนุมัติใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ

เพราะยาชนิดนี้เมื่อใช้ในผู้ป่วยระยะเริ่มต้น จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรง และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตอย่างเห็นผลได้นั่นเอง

Antibody Cocktail ผลิตขึ้นจากการผสม (ค็อกเทล) กันของ 2 โปรตีนที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค (แอนติบอดี) คือ ‘Casirivimab’ (คาซิริวิแมบ) และ ‘Imdevimab’ (อิมเดวิแมบ) จนได้เป็นโปรตีนที่เรียกว่า ‘Monoclonal Antibody’ (โมโนโคลนอลแอนติบอดี)

โปรตีนดังกล่าว มีคุณสมบัติลบล้างการทำงานของเชื้อไวรัส โดยออกฤทธิ์ต่อโปรตีนส่วนหนามของ COVID-19 และนำสู่การยับยั้งการติดเชื้อในเซลล์ของผู้ป่วย

ที่สำคัญ การผสมกันของสองแอนติบอดีนี้ ยังพบการทดลองในห้องปฏิบัติการ ว่าสามารถออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ อย่าง สายพันธุ์เดลต้า และสายพันธุ์เอปซิลอน ได้อีกด้วย

 

ข้อมูลจาก นายแพทย์น๊อต เตชะวัฒนวรรณา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต และผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า ทำให้เราจะเข้าใจได้ว่าปกติแล้ว ร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อหรือผู้ที่ได้รับวัคซีน COVID-19 จะมีแอนติบอดีที่สามารถจดจำและคอยกำจัดไวรัสอยู่แล้ว
แต่จุดอ่อนคือ หากเชื้อมีการกลายพันธุ์ แอนติบอดี ที่มีอาจไม่ได้จำเพาะต่อไวรัสนั้นทั้งหมด และทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

"แอนติบอดี ค็อกเทล" ยาใหม่ เพื่อพลิกการรักษาผู้ป่วย"โควิด-19"

ยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์

 “Antibody Cocktail เป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่ม ’Neutralizing Monoclonal Antibodies’ (NmAbs) หรือ ‘ยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์’ ที่มีความไว (susceptible) ต่อไวรัสและเชื้อกลายพันธุ์

ทำงานด้วยวิธีเข้าจับโปรตีนส่วนหนาม (Spike Protein) โดยตรง และทำให้ไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายมีปริมาณลดลง ซึ่งจะส่งผลในการยับยั้งการติดเชื้อ COVID-19 โดยทันทีทันใด”

จนถึง ณ ตอนนี้ ผู้ที่สามารถรับยา Antibody Cocktail ในการรักษาได้ จะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเป็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 (ระยะเวลาไม่เกิน 10 วัน) หรือเป็นผู้มีอาการของโรค ความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยถึงปานกลาง

หรือเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยงที่อาการรุนแรงขึ้นได้เมื่อติดเชื้อ ได้แก่ ผู้สูงอายุ, ผู้เป็นโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน (BMI มากกว่า 30), โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงภาวะความดันโลหิตสูง, โรคปอดเรื้อรัง รวมถึงโรคหอบหืด, โรคเบาหวาน, โรคไตเรื้อรัง

รวมถึงผู้ป่วยที่ต้องฟอกไต, โรคตับเรื้อรัง และรวมถึงผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือภูมิคุ้มกันถูกกด จากผลการประเมินโดยแพทย์ผู้สั่งจ่ายยา

"แอนติบอดี ค็อกเทล" ยาใหม่ เพื่อพลิกการรักษาผู้ป่วย"โควิด-19"

ซึ่งการให้ยาจะดำเนินการฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำ หรือโดยการฉีดเข้าทางชั้นใต้ผิวหนัง (SC) โดยที่ ‘ห้าม’ ฉีดเข้าทางชั้นกล้ามเนื้อ (IM) เด็ดขาด

และจะให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นโดยบุคลากรทางแพทย์ และหลังจากได้รับยาแล้ว อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นได้

โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง เช่น อาการผื่นแพ้ อาการคล้ายหวัด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือความดันต่ำ แต่พบได้น้อยมาก

"แอนติบอดี ค็อกเทล" ยาใหม่ เพื่อพลิกการรักษาผู้ป่วย"โควิด-19" 

นับวันที่วิกฤตการณ์จากโรคระบาดเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ทางเลือกของการใช้ยา Antibody Cocktail หรือยาแอนติบอดีแบบผสม อาจเป็นกลไกสำคัญหนึ่งที่เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาหลายอย่าง

ทั้งปัญหาเตียงเต็ม วัคซีนขาด หรือช่วยบรรเทาผลกระทบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สมกับที่เป็นยารักษาโรค COVID-19 ‘โดยตรง’  

สามารถศึกษาข้อมูลและวิธีใช้ของ Antibody Cocktail ยารักษาโรค COVID-19 ได้ที่ https://youtu.be/JpTuzXwO-F0 / Website: www.praram9.com / Line: lin.ee/vR9xrQs

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/health/962217?anf=

26 ก.ย. 64 - ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โควิด 19 วัคซีน บทเรียนจากต่างประเทศ

ประเทศชิลีมีประชากร 19 ล้านคน สามารถให้วัคซีนครอบคลุมได้ครบ 2 เข็มถึงจะ 73.7 เปอร์เซ็นต์ การใช้วัคซีนหลากหลาย โดยเริ่มวัคซีนหลักเป็นวัคซีนเชื้อตาย และมีวัคซีน virus Vector และ mRNA มาใช้ในภายหลัง  มีการกระตุ้นเข็ม 3  และเริ่มให้วัคซีนเชื้อตายกับเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน เป็นประเทศแรกในลาตินอเมริกา ที่ให้วัคซีนกับเด็กอายุ 6 ขวบ

 
 

ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประชากร 331 ล้านคน สามารถฉีดวัคซีนครอบคลุมได้ครบ 2 เข็ม 55.5 เปอร์เซ็นต์ วัคซีนหลักที่ใช้จะเป็น mRNA ส่วนน้อยจะเป็น virus vector  ของ Johnson & Johnson ขณะนี้ยังพบการระบาดมีผู้ป่วยวันละกว่าแสนราย และเสียชีวิตมากกว่า 1000 ราย.