'วัคซีนโควิด-19' ไปถึงไหนแล้ว?

 

ท่ามกลางการแข่งขันในการพัฒนาวัคซีนเพื่อรักษาโรคโควิด-19 เพราะหากประเทศใดเป็นผู้ผลิตวัคซีนที่ใช้งานได้ดีก่อนคนอื่น  ก็จะได้เป็นเจ้าของ “อาวุธ” สำคัญยิ่งในการสร้างอำนาจและบารมีทางการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ แต่วัคซีนใดบ้างจะเป็นตัวเก็งในครั้งนี้

ไม่ว่าสังคมใดมีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงใดในการระแวดระวังป้องกันและรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 จนเรียกได้ว่าควบคุมอยู่มือ แต่นั่นก็เป็นเพียงการชนะศึก (win battles) เท่านั้น ชัยชนะอย่างแท้จริงคือชนะสงคราม (win the war) นั้นยังไม่เกิด ถ้าจะเกิดก็ต้องมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพออกมา ข่าวดีล่าสุด ก็คือ ณ 15 เม.ย.2563 ทั้งโลกมีจำนวนวัคซีนที่อาสาปราบสงครามนี้อยู่ถึง 86 ตัว!

 

ข้อมูลส่วนใหญ่สำหรับเขียนวันนี้มาจากนิตยสาร The Economist ฉบับล่าสุด (18-2 April 2020) นิตยสารรายอาทิตย์ระดับโลกของอังกฤษที่ได้รับความเชื่อถืออย่างยิ่ง 176 ปี ครอบคลุมทุกเรื่องโดยเฉพาะเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ธุรกิจ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ พิมพ์อาทิตย์ละ 9 แสนฉบับ และยังมีอยู่ในรูป digital ให้กับสมาชิกอีก 1.6 ล้านราย

 

ขณะนี้วัคซีนทั้ง 86 ตัว อยู่ในขึ้นทดลองที่แตกต่างกัน กำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะประเทศใดเป็นผู้ผลิตวัคซีนที่ใช้งานได้ดีก่อนคนอื่น โดยมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันได้สูง ผลิตได้ง่ายเร็ว ถูก และปลอดภัย ก็จะได้เป็นเจ้าของ “อาวุธ” สำคัญยิ่งในการสร้างอำนาจและบารมีทางการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ สร้างอำนาจทางการทูตและเกิดอำนาจต่อรองที่สำคัญ และประการสำคัญที่สุดจะได้รับความชื่นชมจากทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง

ไวรัสที่ทำให้ชาวโลกลำบากมีชื่อว่า SARS-CoV-2 (อยู่ในตระกูล Corona และเป็นพี่น้องกับไวรัส SARS -CoV ที่ทำให้เกิดโรค SARS) ก่อให้เกิดโรค Covid-19 (มาจาก Coronavirus disease ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2019

 

ข่าวดีก็คือ วัคซีนตัวเก็งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 6 ตัว และอาจได้มากกว่า 1 ตัวก่อนสิ้นเดือน ส.ค.ปีนี้ ซึ่งจะยืนยันได้ว่าเป็น practical vaccine กล่าวคือมีลักษณะดังที่ได้กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ดี ถึงมีข่าวดีแต่ก็มีข่าวร้าย Melinda Gatesแห่งGates Foundation ซึ่งทำงานการกุศล ด้านสาธารณสุขที่ได้เกี่ยวพันกับหลายวัคซีนในระดับโลก ระบุว่า กว่าจะพร้อมฉีดให้แก่ชาวโลกได้อย่างจริงจังนั้น อาจใช้เวลาถึง 18 เดือนนับจากปัจจุบัน

แม้จะบอกได้ว่า ตัวใดเป็น practical vaccine(s) แล้ว เหตุใดต้องใช้เวลาอีกกว่า 1 ปี จึงจะถึงมือชาวโลก เร่งให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? วัคซีน “ตัวเก็ง” จะเป็นของชาติใด และมีวิธีการผลิตแบบใด?

หัวใจของทุกวัคซีนคือ antigens เพราะเป็นสิ่งที่ไปกระตุ้นร่างกายให้เกิด antibodies และการตอบสนองอื่นๆ ที่สร้างภูมิคุ้มกัน ในกรณีนี้ เมื่อ SARS-Cov-2 เจาะเข้าไปในร่างกายได้วัคซีนซึ่งได้ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคนี้ไว้แล้ว (ผ่านกระบวนการทางชีววิทยา หลังจากฉีดวัคซีนก่อนหน้า) ก็จะปราบเชื้อไวรัสนี้ได้อยู่หมัด ตนเองไม่ป่วยและก็ไม่เป็นพาหะให้เชื้อโรคกระจายไปถึงคนที่ไม่ได้ฉีดด้วย ด้วยวิธีการนี้จึงจะสามารถเอา “ชนะสงคราม” ได้ ด้วยเส้นทางที่เคยต่อสู้โรคระบาดอื่นๆ มามากมายในอดีต

 

การสร้างวัคซีนแบบดั้งเดิมมี 3 วิธี คือ (1) ใช้บางสายพันธุ์ของตัวเชื้อหรือที่ใกล้เคียงซึ่งง่อยเปลี้ยเสียขาแล้วจนทำให้ป่วยไม่ได้เข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคนี้เช่นวัคซีน โรคหัดคางทูมหัดเยอรมัน (2) ใช้เชื้อตัวนี้ที่หมดฤทธิ์แล้วเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันเช่นวัคซีนโปลิโอและวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หลายสายพันธุ์ (3) ใช้antigenที่เกี่ยวพันกับโรคนี้เช่นเอาเลือดของคนที่เคยเป็นโรคนี้มาสกัดเป็นวัคซีนเช่นโรคตับอักเสบB

เมื่อได้วัคซีนตัว “เผด็จศึก” มาแล้วก็ต้องทดลองกับสัตว์ (เรียกว่าขั้น พรีคลีนิก) เช่น หนู ลิง ฯลฯ และเมื่อมั่นใจว่าจะใช้กับคนได้เช่นกันแล้ว ก็จะลงมือผลิตวัคซีนเพื่อผ่านไปทดลองกับมนุษย์ ซึ่งมี 3 ขั้นตอน กล่าวคือขั้นตอนที่หนึ่งเพื่อมั่นใจว่าปลอดภัย ขั้นตอนที่สองเพื่อมั่นใจว่ากระตุ้นภูมิต้านทานได้จริงและขั้นตอนสุดท้าย คือมีefficacyคือให้ผลในการป้องกันโรคได้จริง

 

การคิดค้นได้วัคซีนมาเป็นต้นแบบ (prototype) ก็ว่ายากแล้ว แต่การพิสูจน์ว่าได้ผลจริงนั้นยิ่งยากกว่า ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับอนุญาต (มีองค์การต่างๆทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และ WHO อาจเป็นผู้ดูแล) วัคซีนป้องกันโรค Ebola ซึ่งร้ายแรงมากสุดขนาดเร่งกันเต็มที่แล้ว ทั้ง 3 ขั้นตอนก็ใช้เวลาถึง 10 เดือนก่อนจะไปถึงการผลิตอย่างเป็นกอบเป็นกำ

วัคซีนโควิดทั้ง 86 ตัว อยู่ในขั้นการทดลองที่แตกต่างกัน บ้างยังอยู่ในขั้นทดลองกับสัตว์ ขณะนี้มีอยู่ 3 ตัวที่ก้าวหน้าสุดจนถือได้ว่าเป็นตัวเก็ง วัคซีนต้นแบบที่มีความก้าวหน้าสำคัญสุดอยู่ในขั้นที่สองคือ ของ CanSino Biological and Beijing Institute of Biotechnology ซึ่งเป็นของจีน

  

ต้นแบบตัวที่ 2 ยังอยู่ในขั้นทดลองที่ 1 ก้าวหน้าใกล้เคียงกันจาก Moderna (อเมริกา) / Inovio Pharmaceuticals (อเมริกา) / และ Oxford University

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/878280

 

ย้อนอดีตกลับไป ๒๕๓ ปี 

    สู่ห้วงเวลาไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ให้กับกองทัพพม่า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐
    "พระเจ้าตาก" รวบรวมผู้มีปณิธานกอบกู้ชาติได้จำนวนหนึ่ง ใช้เวลา ๗ เดือน ไล่ตีกองทัพพม่า กระเจิดกระเจิงพ้นราชอาณาจักรไป 
    กอบกู้เอกราชคืนแผ่นดินมาได้
    ณ วันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๑๐ ซึ่งตรงกับวันนี้ "๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓"
    คือ วันที่ "พระเจ้าตาก" ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
    หรือ "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" หรืออีกพระนาม "สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔"
    สร้าง "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร" เป็นราชธานีหรือเมืองหลวง แทน "กรุงศรีอยุธยา" ชาวบ้านเรียกวันนี้ ว่า
    "วันพระเจ้าตากนั่งเมือง"
    หมายถึง ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่มีเวลาได้นั่งเลย ต้องยืน เดิน นอน วิ่ง ในสมรภูมิ ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและซากศพ กรำศึกตลอด
    แต่เมื่อได้ทรงนั่ง พระองค์ทรงนั่งช่วงเวลาสั้นๆ แค่  ๑๕ ปีเท่านั้น ก็เสด็จสวรรคต 
    ด้วยพระชนมพรรษาเพียง ๔๘ พรรษา เมื่อ ๖  เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕
    ด้วยพระมหากรุณาธิคุณสุดจะกล่าว ต่อยอด ยืนยาววัฒนาถาวรเป็น "กรุงรัตนโกสินทร์" ปัจจุบันยันอนาคตกาลมิสิ้นสุดนี้........
    ในทุกวันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปี คือ "วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" 
    พูดกันจริงๆ แล้ว พระบรมราชานุสาวรีย์ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" มีแทบทุกหัวระแหงแผ่นดิน เรียกว่า "สุดเหนือ-สุดใต้"
    นั่นแสดงถึง มีหยาดพระเสโทและหยดพระโลหิตของพระองค์ชโลมแลกแผ่นดินที่เราทั้งหลายอยู่สบายกันทุกวันนี้ ณ ที่ตรงนั้นด้วย
    ปีนี้ โควิดระบาด......
    ที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ วงเวียนใหญ่ งดจัดงาน  แต่ให้ประชาชนผ่านการคัดกรองโรคเข้าไปกราบถวายสักการะได้
    ปกติ ผมไปกราบถวายสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์ "ค่ายบางกุ้ง" สมุทรสงคราม 
    ที่นี้ ทหารพม่าถูกทหาร "ภักดีอาสา" ของพระเจ้าตาก ประกอบด้วยคนจีนจาก ระยอง ชลบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี
    ยกทัพเรือมาตั้ง "ค่ายบางกุ้ง" เพื่อยันศึก 
    พม่าเมื่อตีกรุงศรีฯ แตกแล้ว ก็ย่ามใจ นึกว่าทหารไทย กระจอก
    พระเจ้าอังวะส่งทหารเข้ามา ๓-๔ พันนาย ทางทวาย หวังขยี้ให้ทหารไทยขี้หักคาไส้
    แต่ที่ไหนได้ กองทัพพม่าถูกทหารภักดีอาสาของพระเจ้าตาก ฟันสั่งสอนซะเหมือนฟันหยวกเลี้ยงหมู
    ศพเกลื่อนไปทั่ว หนีกันโสร่งหลุดกลับไปได้ไม่ถึงครึ่งจากที่มา จากนั้น พม่าก็ขยาด ไม่กล้าเข้ามาแหย็มอีกเลย
    ศพเหล่านั้น ไม่ได้กลบ-ไม่ได้ฝัง ......
    ทุกวันนี้ บางแห่ง ย่ำไป-ย่ำมา กะโหลกบ้าง กระดูกทหารพม่าบ้าง โผล่ขึ้นมาเรี่ยดิน ตามลานบ้าน พื้นสวน 
    ระยะหลัง ผมไม่ได้ไป เปลี่ยนเป็นถึงวันที่ ๒๘ ธันวา ก็ทำบุญอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลถึงพระองค์ท่านแทน
    ปีนี้ ทราบว่าที่ "วัดอินทาราม" แถวๆ ละแวกค่ายบางกุ้ง มีพระที่อาพาธหลายรูป ทางวัดต้องการปัจจัยดูแลรักษา และเปิดรับบริจาค
    เมื่อตอนครบรอบไทยโพสต์ ๒๑ ตุลา ๖๓ มีบางท่านใส่ซองช่วยงานไว้ เช่นคุณชนิดา มหาดำรงค์กุล นพ.สวรรค์ กาญจนะ ผอ.รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ คุณภักดิพร-สุรบถ หลีกภัย และท่านอื่นๆ 
    ผมก็แกะจับจ่ายไปตามเรื่อง ยังเหลือ ๓๐,๐๐๐ บาท  เมื่อวาน (๒๗ ธ.ค.) โอนเข้าบัญชีวัดอินทาราม ในนาม "ผู้อ่านไทยโพสต์" ๒๐,๐๐๐ บาท
    อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลเรียบร้อยแล้ว ขอทุกท่านน้อมอุทิศถวายเป็นราชสักการะด้วย
    ยังอยู่อีก ๑๐,๐๐๐ บาท นำไปเพื่อการใด จะเรียนให้ทราบตอนนั้น
    แล้วช่วงนี้ จะคุยอะไรกันดีล่ะครับ ใจคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกันแล้ว ไปอยู่กับโควิดบ้าง อยู่กับปีใหม่บ้าง 
    และมากต่อมาก........
    ใจโบยบินกลับไปบ้าน "ณ ถิ่นกำเนิด" กันหมดแล้ว     เห็นถนนสายทางเหนือ-อีสานแน่นแบบแอบๆ แน่นมาตั้งแต่เย็นวันเสาร์
    ถึงยุค แต่ละคนต้อง "มีความคิด" โตตามอายุแล้ว โควิดรอบนี้ รัฐบาลเขาเปิดมิติใหม่ 
    ไม่ใช้มาตรการ "ควบคุมคน" แต่ให้สำนึกรับผิดชอบของผู้เจริญแล้วแต่ละคน "ควบคุมสังคม" กันเอง
    ฉะนั้น ท่ามกลางข่าวเชื้อโควิดแพกุ้ง "จากคน-สู่คน" จากมหาชัย ขยายไป ๓๐-๔๐ จังหวัด ทีท่าจะครบ ๗๗  จังหวัด แต่รัฐบาล โดย ศบค.ไม่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ
    คือ ไปกันได้ โควิดมันมีบางจุด-บางที่ และการสาธารณสุขเรา "เอาอยู่" ฉะนั้น ใครไปจุดไหน-ที่ไหน ก็ดูเอาละกัน พื้นที่นั้น เสี่ยงสูง-เสี่ยงต่ำ แล้วทำตัวให้ถูก
    ตอนนี้ แต่ละพื้นที่ ผู้ว่าฯ มีอำนาจสั่งการได้เต็มที่ รัฐบาลยกให้เป็น "ประธาน ศปม." จังหวัด
    มีอำนาจแล้ว รู้จักใช้อำนาจด้วยการตัดสินใจบนความรับผิดชอบตัวเองให้สมกับคำว่า "เจ้าเมือง" กันซะที
    หลังจากชินระบบ "หุ่นยนต์" ของรัฐมนตรี ของปลัดฯ มานาน จนแต่ละผู้ว่าฯ ใหญ่แต่ตำแหน่ง แต่เล็ก-ลีบในภาวะผู้นำ
    ท่านอนุพงษ์ ท่านฉัตรชัย เห็นด้วยกับผมไหม?
    ทั้งรัฐบาล ครม.มีตั้ง ๓๐ กว่าคน ชาวบ้านบ่น เห็นมีแต่นายกฯ ทำงาน "คิดทุกเรื่อง-สั่งทุกเรื่อง" อยู่คนเดียว ดีมีคนรับหน้าสลอน
    ซวย ลงที่นายกฯ คนเดียว!
    โควิดรอบนี้ ผู้ว่าฯ คนไหน-จังหวัดไหน มีกึ๋นภาวะผู้นำขนาดไหน ได้วัดระดับกันละ 
    นึกๆ ไปก็ดี ที่เกิด "มินิระบาด" จะได้ใช้วัดศักยภาพข้าราชการแต่ละยูนิต ที่ย่อส่วนอยู่ในอำนาจบริหารของผู้ว่าฯ
    บางคนสงสัย ผมก็สงสัย ว่าระบาดรอบนี้ ทำไมทีมอาจารย์หมอ "ศบค." จึงให้รัฐบาลไว้วางใจแต่ละจังหวัดไปบริหารสถานการณ์กันเอง?
    ตอนระบาดรอบแรก ดูไม่ไว้ใจ และไม่มั่นใจเต็มร้อย  แต่รอบนี้ ดูชิลๆ
    ปะติด-ปะต่อเอาเองว่า เพราะรอบแรก "โควิด" มันใหม่ ชนิดไม่รู้หัวนอน-ปลายตีน จึงยากรับมือ ยากจะรู้ว่าต้องเอายาอะไรปราบ และฤทธิ์เดชมันจะขนาดไหน?
    แต่รอบนี้.........
    จากรอบแรก โควิดมันเป็น "อาจารย์ใหญ่" สอนให้เรารู้หัวนอน-ปลายตีนมันพอสมควรแล้ว รู้แล้วจะต้อนรับขับสู้มันยังไง มียาขนานไหนที่ปราบมันได้
    มันไม่ต่างเชื้อไวรัสที่ระบาดแต่ละยุคสมัย 
    รอบแรก จะตายร่วงกราว อย่างก่อนปี ๒๕๐๐ มีแค่ไข้หวัด แต่ราวๆ ๒๕๐๑-๒๕๐๒ "ไข้หวัด" ใครก็เป็น โลกไม่จำ
    "ไข้หวัดใหญ่" เป็นเชื้อใหม่ระบาด โรคจำเลย ผมเป็นเด็กๆ จะลุกจากที่นอนตอนเช้า ยกได้แต่ส่วนก้น แต่หัวหนักทิ่มเด่กับที่นอน
    หวิดตาย.......
    ได้สูตรเด็ด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊กโฮ้ว พายเรือขายในคลองหน้าวัด ใส่พริกน้ำส้มเผ็ดจี๋-เปรี้ยวจี๊ด ซดยังไม่ทันหมดชาม พริกน้ำส้ม "สูตรลับ" เจ๊กโฮ้ว เหงื่อแตกพลั่กตั้งแต่หัวยันทั้งตัว ขี้มูกไหลเป็นท่อแตก
    หมดชาม โดดโครมลงคลองจนมิดหัว โผล่ขึ้นมา ขึ้นท่าน้ำ นุ่งกางเกง หวัดหย่ง-หวัดใหญ่ ไม่รู้มันโกยแน่บไปไหน!
    ไข้หวัดใหญ่ จากโรคระบาดยุคนั้น ทุกวันนี้ ไข้หวัดใหญ่ สบม.แปลว่า สบายมาก จะให้เท่เป็นของใหม่ ต้อง "ไข้เลือดออก" 
    โควิดนี่เหมือนกัน ไปซีลประเทศมิดชิด วันนี้ ขณะทั่วโลกเขาเป็น เป็นคนมีภูมิต้านทาน แต่เราไม่มี เพราะไม่เคยเป็น
    แล้วเรามาเป็นทีหลังอยู่ประเทศเดียว ในขณะที่ทั่วโลกเขาชิลๆ กันหมดแล้ว
    ถึงตอนนั้น ไทยกลายเป็นประเทศ "โรคระบาด" อยู่ที่เดียว ทั่วโลกกลัว รังเกียจ เขาไม่มา ทั้งไม่ให้เราไป 
    ซวยละซีทีนี้!
    นี่ผมคิดเล่นในมุมกลับนะ ฉะนั้น ที่ระบาดรอบใหม่ เมื่อการสาธารณสุขเห็นว่า รับมือได้ หมอพร้อม ยาพร้อม  วิทยาการพร้อม สถานพยาบาลพร้อม
    ก็ต้องให้มันเป็น "อาจารย์ใหญ่" ทั้งให้สาธารณสุข "สร้างสมประสบการณ์"
    ทั้งให้ประชาชนเกิดภูมิต้านทาน ใครเป็น มั่นใจ-รักษาได้ ค่อยๆ ให้สังคมมนุษยชาติกับโรคมัน "ปรับสมดุล" ด้วยพลังธรรมชาติ จนโควิด ก็คือ "หมาน้อยธรรมดา" ในที่สุด
    เห็นมั้ย...รอบนี้ ไม่มีใคร "ถึงตาย" ซักคน!
    คิดบวกไว้บ้างเถอะครับ......
     อย่าไปมองใครและอะไรด้านเลว-ด้านร้ายไปซะทั้งหมด โรค "ทัศนคติวิบัติ" มันจะฆ่าตัวเรา ยิ่งกว่าห่ากินปอดตอนนี้ซะอีก
    เที่ยวแล้ว ทำบุญอุทิศให้โควิดบ้างเน้อ!

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/88156

 

 

4 ม.ค. 64 นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว “Yong Poovorawan”  ระบุว่า

โควิด 19 เมื่อมีการระบาดรอบใหม่

สิ่งที่สำคัญในการควบคุมการระบาด จะต้องเป็นไปตามลำดับ ดังนี้ 

1การป้องกัน 
ทุกคนจะต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาด กระจายออกไป ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เมื่อออกนอกบ้าน ล้างมือและใช้ alcohol  กำหนดระยะห่างบุคคลไม่น้อยกว่า 2 เมตร หรืออยู่บ้านดีที่สุด หลีกเลี่ยงแหล่งอโคจร

2 การควบคุม 
เป็นหน้าที่ของทุกคน รวมทั้งทางกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคอยู่ในขอบเขต ที่ควบคุมได้ มีมาตรการต่างๆเบาไปหาหนัก สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งถึงปิดเมืองเด็ดขาด แบบอู่ฮั่น

3การลดปริมาณโรคให้น้อยลง
จัดการตรวจวินิจฉัยแยก คัดกรอง ให้ความรู้ โดยเฉพาะในแหล่งระบาดให้เกิดโรค หรือติดต่อแพร่กระจายให้น้อยที่สุด ไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปจุดอื่นๆ

4 การกวาดล้าง
เมื่อโรคเหลือจำนวนน้อยลง จะต้องยังคงมาตรการ เพื่อให้เหลือน้อยที่สุดหรือหมดไป

5 การทำให้โรคหมด 
ด้วยกฎเกณฑ์จะต้อง ไม่พบผู้ป่วยในบริเวณนั้นอย่างน้อย 2 เท่าของระยะฟักตัว หรือ 28 วัน จึงจะสามารถกล่าวได้ว่า โรคนั้นหมดไป

6 การทำให้สูญพันธุ์
คงเป็นการยากมากแล้วที่จะทำให้โรค covid-19 สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้

จากสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นการยากมากที่จะทำให้โรคหมดภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และยังมีความเชื่อว่า เราจะต้องอยู่กลับ covid-19 ไปอีกนาน 

ขณะนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดอยู่ในมาตรการการป้องกันและการควบคุมไม่ให้จำนวนโรคหรือผู้ป่วยมากไปกว่านี้ ถ้าเราไม่สามารถทำได้ในอนาคตอันใกล้เราอยากเห็นจำนวนผู้ป่วยเป็นหลักเลข 4 ตัวต่อวัน
ยอดผู้ป่วยที่เราเห็นอยู่ทุกวันขณะนี้ จะสะท้อนความเป็นจริงเมื่อ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา การติดโรคกว่าจะมีอาการและได้รับการตรวจวินิจฉัยยืนยันจะใช้เวลากว่า 1 อาทิตย์ การติดโรคนะวันนี้ อาจจะมากกว่านี้อีกหลายเท่า ถ้าเราไม่ช่วยกัน

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/88731

*SHOCKING*⤵️

Japan's professor of Physiology or Medicine, Professor Dr Tasuku Honjo, created a sensation in front of the media today by saying that the corona virus is not natural. if it is natural, it wudn’t hv adversely affected entire world like this. bcoz, as per nature, Temperature is different in different countries. if it is natural, it wud’ve adversely affected only those countries hvg same temperature as China. instead, It is spreading in a country like Switzerland, in the same way it is spreading in the desert areas. whereas if it were natural, it would hv spread in cold places, but died in hot places. I have done 40 years of research on animals and viruses. It is not natural. It is manufactured and the virus is completely artificial. I have come to the conclusion that since USA has all the 5 strains mutating at the same time, and there are millions of infections with some around still not tested, it is obvious, that the the huge number of death lends credibility to the CDC of America 's wrong classification of corona virus death in July to December 2019 to Flu diseases. Also a reported leak and closure of Fort Detrick ,and strange Coronavirus death spreading in Italy and Iran in November, even before the Wuhan outbreak , lend credibility to the early outbreak from America. I can now say with confidence USA is the source of the original outbreak. 👆🏾
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Tasuku_Honjo

 

              เป็นที่รู้กันว่าสัตว์ขาข้อทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์น้ำ จำพวก กุ้ง กั้ง แมงดาทะเล มีเลือดเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสี ที่เกิดจากเลือดของสัตว์จำพวกนี้ มี copper เป็นส่วนประกอบของโปรตีนที่ใช้เป็นตัวนำออกซิเจน ต่างจากเลือดสีแดงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ปีกที่มี Iron เป็นส่วนประกอบของโปรตีนที่ใช้เป็นตัวนำออกซิเจน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าเลือดสีน้ำเงินของสัตว์เหล่านี้ สร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันที่จะทำให้เลือดแข็งตัวทันทีที่มีจุลินทรีย์แปลกปลอมแม้เพียงเล็กน้อยโดยเฉพาะจุลินทรีย์ชนิด E.coli และ Salmonella การทดสอบโดยใช้เลือดสีน้ำเงินของสัตว์เหล่านี้มีความไวสูงมากสามารถตรวจพบจุลินทรีย์ได้ถึงปริมาณ 1 ในล้าน-ล้าน ส่วน (1/trillion) เปรียบเทียบได้กับการตรวจหาเมล็ดข้าวสาร 1 เมล็ดในทะเลสาบขนาดใหญ่

ปัจจุบันอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ได้นำเลือดสีน้ำเงินจากแมงดาทะเล (Horseshoe Crab) มาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะนำมาใช้ตรวจคัดกรองผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความปลอดภัยสูงต่างๆ เช่นการผลิตวัคซีน การผลิตของเหลวเพื่อการฉีดเข้าเส้นเลือด และการผลิต ผลิตภัณฑ์การแพทย์อื่นๆ นับว่าเลือดสีน้ำเงินนี้มีคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษย์ชาติ

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ