16มิ.ย.63-เพจแพทย์ไทยไอเดียสุด ได้รายงานว่า 2สถาบันในสหรัฐ ที่เคยค้นพบความลับชองโรค SARs ตัวแรก  ออกมาระบุว่า โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด -19  ได้มีการกลายพันธุ์ ตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมาดังนี้  


เปิดเผยครั้งแรก​ ​!! เจอหลักฐาน Covid19​ กลายพันธุ์ล่าสุด​หลังเริ่มระบาด ​จนอาจทำให้โจมตีทั้งสหรัฐ​ อิตาลีอย่างรวดเร็ว​ รุนแรง​ และโหดเหี้ยม​ ​... สื่อระดับโลก​ Reuters​ ตีข่าวนักวิจัย​ 2​ คู่หูของสถาบัน​ Scripps Research​ ของสหรัฐที่เคยวิจัย​เจอความลับของ SARS​ ตัวแรกเมื่อปี 2003 กลับมาเจอความลับที่สำคัญอีกอย่างของ​ SARS-COV-2​ อีกครั้ง​
.

#ความลับCovid19​ ตอนที่​ 11​ -​ สิ่งที่เคยคิดไว้​ เป็นจริงจนได้​ "มันกลายพันธุ์" เป็น​ 1​ ในเหตุผลที่โจมตีในแต่ละที่​ แต่ละประเทศ ไม่เหมือนกัน

ไวรัสก็พยายามปรับตัวเพื่ออยู่รอด !! … มันพยายามมี New Normal เหมือนกัน
เราคนไทย​อย่าไปยอมไวรัส เรามีจุดได้เปรียบคืิ​อ​ "เราสามารถมีสติ​ ก่อเกิดปัญญาในการปรับตัว" ได้​ เราจะเป็น​ ​... "New​ Normal​ แบบมีสติ" ... กัน​ ดีไหมครับ​ !?!
.
SARS-CoV-2 มีการกลายพันธ์ที่ตำแหน่งยีน D614G จนทำให้ส่วนปลายของไวรัส หรือที่เรียกว่า Viral Spike (S) Protein ทำให้สามารถบุกเข้าจู่โจมเซลล์ของคนได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถโจมตีอิตาลี และสหรัฐได้ดีกว่าตอนแรก

ในการเพาะเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธ์จะมีคุณสมบัติในการทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น โดยการเพิ่มจำนวนของ functional spikes บนผิวของไวรัส 4-5 เท่าทำให้เข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้น

Spike ที่ทำให้ไวรัสตัวนี้มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ (Corona) นั้นจะเป็นตัวจับตัวรับบนเซลล์มนุษย์ที่ชื่อ ACE2 โดย D614G จะทำให้แกนของ Spike เพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ไวรัสสามารถออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อไปแล้ว เพื่อบุกเข้าเซลล์เป้าหมายโดยพลาดเป้าหมายน้อยลง

ข้อมูลของวิจัยนั้นชัดเจนที่ว่า ไวรัสนั้นคงอยู่ได้แน่นอนกว่าจากการกลายพันธ์นี้

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในการศึกษาทางระบาดวิทยามากขึ้นเพื่อยืนยันผลการทดลองในการสังเกตุจากการเพาะเชื้อในห้องทดลอง

แต่โชคดีที่ภูมิคุ้มกันจากเลือดของผู้ติดเชื้อนั้นยังสามารถยับยั้งเชื้อได้ทั้งแบบปกติกับกลายพันธ์ได้ผลพอ ๆ กัน ทำให้วัคซีนนั้นยังมีความหวังอยู่

Dr. Choe และ Dr. Farzan ได้ศึกษาเชื้อ coronaviruses มาประมาณ 20 ปีตั้งแต่ ทั้ง 2 คนคือผู้ค้นพบว่าเชื้อ SARS ตัวแรกเมื่อปี 2003 นั้น บุกเข้าเซลล์โดยผ่านทาง ACE2 receptor ซึ่ง SARS-CoV-2 ก็ยังใช้เส้นทางเดียวกันตัวแรก

SARS-CoV-2 มีปลายแหลม หรือ Spikes แบบ 2 ปลาย ซึ่งแตกต่างจาก SARS ตัวแรกที่มีปลายเดียว โดยเรียกว่า S1 และ S2 ในช่วงแรก ปลายทั้ง 2 ที่แตกออก ทำให้ยังไม่แข็งแรงมาก แต่หลังจากกลายพันธ์ Spikes แตกตัวมาเป็น 2 ปลายน้อยลง ทำให้ Spikes ที่พร้อมทำงานมีมากขึ้น

การกลายพันธ์ D614G นั้น ทำให้มีการเปลี่ยนตัว amino acid จาก aspartic acid ไปเป็น glycine ทำให้มีความอ่อนตัวได้ดีขึ้น โดยเริ่มพบการกลายพันธ์ครั้งแรกในเดือนมีนาคมจากการตรวจไวรัสที่เก็บไว้ในธนาคารพันธุกรรม GenBank database โดยในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ยังไม่เจอการกลายพันธ์ เดือนมีนาคมเจอประมาณ 1 ใน 4 พอในเดือนพฤษภาคมเจอถึง 70 %

ไวรัสก็พยายามปรับตัวเพื่ออยู่รอด !! … มันพยายามมี New Normal เหมือนกัน

แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า การกลายพันธ์ทำให้ไวรัสก่อโรคได้รุนแรงขึ้น หรือเพิ่มอัตราการเสียชีวิต แต่พบว่ามีรายงานจากตัวอย่างที่พบจากคนไข้ใน ICU ทั้งจาก New York และหลาย ๆ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นไวรัสตัวที่กลายพันธ์
.

วิจัยตัวเต็มตามอ่านได้ที่นี่

The D614G mutation in the SARS-CoV-2 spike protein reduces S1 shedding and increases infectivity
https://www.scripps.edu/…/20200611-choe-farzan-sars-cov-2-s…

*** อ่านถึงตรงนี้​ คือ​ ได้ "รู้เขา" ​ รู้จักไวรัสมากขึ้น​
*** ถ้าอยาก​ "รู้เรา" ​ ให้มากขึ้น​ ตามอ่านตรงนี้อีก
https://www.facebook.com/100912971593787/posts/157888822562868/

2​ ข้อนี้​ รวมกัน​ อาจจะทำให้เรา​เป็น​ 1​ ในประเทศที่โชคดี​ ที่ได้จุดเด่นจากทั้ง​ 2​ ข้อมารวมกัน​ เชื้อเลยอาจจะกระจายช้ากว่าบางประเทศก็เป็นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น​ คงรวมถึงความร่วมมือของทุกฝ่าย

รวมถึงมาตรการต่างๆ​ ที่ออกมาค่อนข้างไว

และ

"ใส่มาส์ก​ ล้างมือ​ ถือตัว" (ไม่เข้าใกล้-แตะต้องตัวกัน)

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.thaipost.net/

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/68831

ช่วงนี้ผมคุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เรื่องโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็น “ยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีน” เพื่อวิ่งแข่งกับการแพร่เชื้อที่ยังหนักหน่วงอยู่ในหลายจุด

ความเห็นของนายแพทย์ส่วนใหญ่ตรงกันว่า จะต้องไล่ฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด

 

และต้องมีปริมาณวัคซีนมากขึ้น...ยี่ห้อเพิ่มขึ้น ไม่พึ่งพิงเฉพาะที่เรามีอยู่ในขณะนี้

ชาร์จที่ผมนำมาให้ดูมาจาก Our World in Data ที่รวบรวมข้อมูลมากมายหลายเรื่อง รวมถึงประเทศไหนฉีดวัคซีนไปแล้วเท่าไหร่

ณ สัปดาห์ที่แล้ว หากนับสัดส่วนของประชากรที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสแล้ว ไทยเราอยู่อันดับที่ต่ำมากแม้เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียนของเรา

จึงต้องมีการตอกย้ำหนทางเดียวที่จะต่อสู้กับโควิดได้คือ การปรับแผนการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและกว้างขวางที่สุด

ยิ่งเมื่อมีการยืนยันว่า สายพันธุ์อินเดียและแอฟริกาใต้ได้เจาะเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ก็ยิ่งต้องเร่งฝีเท้าในการฉีดวัคซีน

และต้องแสวงหาหนทางที่จะนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ที่สามารถต่อกรกับสายพันธุ์ที่คุณหมอบางคนเรียกว่าเป็น  “เจ้าพ่อ” (เพราะรุนแรงและรวดเร็ว)

คุณหมอมานพ พิทักษ์ภากร แห่งศิริราชมีความเห็นในเฟซบุ๊กของท่านว่า

“มีข่าวว่า B.1.351 (South African variant) มาเยือนเมืองไทยแล้ว สายพันธุ์นี้ป้วนเปี้ยนแถวชายแดนใต้มาเป็นเดือนเนื่องจากมีการระบาดในมาเลเซีย

ขออย่าให้เข้ามาระบาดถึงใจกลางเมืองหลวงแบบ  B.1.617.2 (Indian variant) นะครับ

เพราะวัคซีนที่ได้ผลกับสายพันธุ์นี้มีแค่ Pfizer (และอาจรวมถึง Moderna ด้วย) ที่ 75%, J&J ที่ 64-66% และ  Novavax ที่ 60.1% (สำหรับ non-HIV)

ส่วน AstraZeneca เหลือแค่ 10.4% สำหรับ Sinovac  ถ้าเทียบระดับ antibody ที่ขึ้นหลังฉีดแล้วคาดว่าคงแทบไม่ได้ผลเช่นกัน

อาจถึงเวลาที่ภาครัฐจะต้องเปลี่ยนนโยบาย เร่งนำเข้า  Pfizer, Moderna และ J&J vaccine มาให้เพียงพอและครอบคลุมประชากรครับ ถ้าปล่อยให้ B.1.351 ระบาดนี่อาจดูไม่จืดเลย

สาเหตุหลักที่ทำให้ B.1.351 ดื้อต่อวัคซีนและ antibody  มาก คือการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง E484 บน spike protein  ที่เป็น E484K คือเปลี่ยนกรดอะมิโนจาก glutamate ไปเป็น  lysine มีผลทำให้ antibody จับกับ spike protein ได้ยาก  นอกจากนี้การกลายพันธุ์ในตำแหน่งอื่นที่สำคัญคือ N501Y  ที่เหมือนกับสายพันธุ์ UK ทำให้เชื้อจับกับตัวรับบนผิวเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น แถมยังเจอ K417N ซึ่งทำให้เชื้อจับกับเซลล์ได้ดีขึ้นด้วย

ในปัจจุบัน B.1.351 เป็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อวัคซีนและ  antibody ที่สุด รองลงมาคือ P.1 หรือสายพันธุ์ Brazil ซึ่งมี  E484K เช่นกัน

ส่วนสายพันธุ์ India ที่ก่อนหน้านี้ระบาดคือ B.1.617.1  มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งเดียวกันแต่เป็น E484Q ทำให้ดื้อบ้างแต่ไม่เท่ากับ B.1.351 แต่สายพันธุ์อินเดียที่ระบาดหนักในขณะนี้ และเพิ่งพบในบ้านเราคือ B.1.617.2 ไม่พบ  E484Q ซึ่งคาดว่าสายพันธุ์นี้ไม่น่าจะดื้อต่อวัคซีน”

คุณหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แห่งคณะแพทยศาสตร์  รพ.จุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย บอกว่า

“สายพันธุ์ที่ทั่วโลกมีการจับตาอยู่ 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์บราซิล สายพันธุ์อินเดีย และสายพันธุ์แอฟริกาใต้

พบว่าสายพันธุ์แอฟริกาใต้นั้น เป็นสายพันธุ์ 'เจ้าพ่อเบอร์ 1'

สายพันธุ์อังกฤษที่ระบาดในไทยตอนนี้นับว่า 'เด็กอนุบาล'

เพราะสายพันธุ์แอฟริกาใต้นั้นมีความสามารถในการแพร่กระจายโรคได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการรุนแรง และผลจากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าสายพันธุ์ดังกล่าวดื้อต่อวัคซีนแทบทุกชนิด

แต่ในเมื่อเราขณะนี้เรามีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และ วัคซีนซิโนแวค ก็ขอให้รัฐบาลเร่งปูพรมฉีดในประชากรอย่างรวดเร็ว ใครพร้อมขอให้ฉีดได้เลย”

มาถึงจุดนี้ไทยเราเข้าสู่ช่วง “ศัตรูประชิดติดตัว” แล้ว  จำเป็นต้องทบทวนทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีโดยพลัน  เพราะเราแพ้สงครามครั้งนี้ไม่ได้เป็นอันขาด.

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/104152

 

 
 


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า อย.ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 25 ส.ค. มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. ให้ผู้ได้รับอนุญาตนำเข้ายาต้านไวรัสโควิด 19 ชนิดรับประทาน สามารถกระจายยาดังกล่าวให้กับสถานพยาบาลของรัฐ เอกชน คลินิกเวชกรรมและร้านขายยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องโดยมีเภสัชกรประจำร้าน อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัสโควิด 19 เป็นยาควบคุมพิเศษ จะมีระบบติดตามการกระจายยาเหมือนยาควบคุมพิเศษอื่นๆ เช่น ยาสเตียรอยด์
 

“ย้ำว่า ร้านยาจะขายยาต้านไวรัสโควิดให้ผู้ที่มาซื้อได้ ผ่านใบสั่งยาจากแพทย์ ขณะนี้ได้รับข้อมูลเบื้องต้นว่า ผู้ได้รับอนุญาตนำเข้ายากระจายยาไปยัง รพ.รัฐและเอกชนแล้ว เช่น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ส่วนร้านยายังเป็นช่วงเริ่มต้นอยู่ และการขายให้ร้านยาก็เป็นสิทธิของผู้ได้รับอนุญาตที่จะไปทำตลาดได้” นพ.ไพศาลกล่าว

นพ.ไพศาลกล่าวว่า ยืนยันการดำเนินการของ อย.ในการอนุญาตให้นำเข้ายาและกระจายมาถึงร้านขายยา เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ได้ปิดกั้นการเข้าถึงยาแต่อย่างใด ทั้งนี้ การใช้ยาต้านไวรัสมีความเฉพาะสูง การจะจ่ายยาจึงต้องอาศัยดุลยพินิจของแพทย์ตามการวินิจฉัยโรค ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องได้รับยาต้านไวรัส เป็นไปตามหลักการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การเข้าถึงยาในตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหา ปัจจุบันรัฐบาลจ่ายยาให้ทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ขอให้เข้ารับบริการตามสิทธิสุขภาพของตนเอง
 
 

ตัวเลขสถิติเหล่านี้คงทำให้ ้คุณประหลาดใจ..??
จำนวนผู้คนที่ล้มตายในโลกใน
3 เดือนที่ผ่านมา..

จากโควิด : 314,687
มาลาเรีย : 340,584
ฆ่าตัวตาย : 353,696
โรคเอดส์ : 240,950
สุรา : 558,471
สูบบุหรี่ : 816,498
มะเร็ง : 1,167,474
อุบัติเหตุถนน : 393,479

(ที่หนึ่ง)แล้วคุณยังคิดว่า โควิด
อันตรายอยู่หรือไม่..??

หรือเป็นการสร้างความตระหนก
โดยบริษัทยาเพื่อขายสินค้า
เช่น วัสดุฆ่าเชื้อ แมส ยา หรือ
รพ. มีผู้เข้าตรวจหาเชื้อ
เพราะเกิดจากความตระหนก..!!
เป็นต้น

(ที่หนึ่ง)อย่าตกอกตกใจจนเกินไป..
โพสต์นี้ต้องการลดความกลัว
ของคุณจากข่าวสารที่น่ากลัวที่
เผยแพร่กัน..
หากบังเอิญคุณติดเชื้อ ก็ไม่ควร
ตระหนก เพราะ...

* 81% เป็นการติดเชื้ออ่อน ๆ

* 14% เป็นการติดเชื้อปานกลาง

* มีเพียง 5% เท่านั้นที่เป็นการ
ติดเชื้อระดับรุนแรง..!!

(ที่หนึ่ง)ซึ่งหมายความว่า แม้คุณ
จะติดเชื้อ แต่ก็มีโอกาสมาก
ที่จะหาย บางคนกล่าวว่า
โควิดร้ายแรงกว่าโรคซาร์ส &
ไข้หวัดหมู..แต่โรคซาร์ส
* มีอัตราการตาย 10%
* ไข้หวัดหมู 28% และ
* โควิดมีอัตราตายแค่ 2%..!!

ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาอายุ
ของคนที่ตายจากโควิด..
ปรากฏว่า อัตราคนตายที่มีอายุ
ต่ำกว่า 55 ปี * มีอยู่เพียง 0.4%

(ที่หนึ่ง)ซึ่งหมายความว่า ถ้าคุณ
มีอายุต่ำกว่า 55 และไม่ได้อยู่ที่
อินเดีย ดูเสมือนคุณมีโอกาสจะ
* ถูก​ล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1
โอกาสถูกเท่ากับ..1 ใน 45 ล้าน
* หากจะต้องตาย..!!

(ที่หนึ่ง)เราลองมาพิจารณาว่า
ในหนึ่งวัน..สมมุติว่าเป็นวันที่
1 พค.(ปีที่แล้ว) เมื่อโควิดทำให้
คนล้มตายในโลกไปถึง
6,046 คน
(ที่หนึ่ง)และในวันเดียวกัน
มีคนล้มตายจาก...

* มะเร็ง - 26,283 คน
* โรคหัวใจ - 24,641 คน
* เบาหวาน - 4,300 คน
* ฆ่าตัวตายมีมากถึง 28 เท่า
ของคนที่ตายจากโควิด..!!

* ยุงฆ่าคน 2,740 คนทุกวัน..
* มนุษย์ฆ่ากันเอง 1,300 คน
ทุกวัน..!!
* งูกัดคนตาย 137 คนต่อวัน
* ปลาฉลาม​ฆ่าคนตาย
ปีละ 2 คน..!!

(ที่หนึ่ง)แล้วคุณจะว่ายังไง..!!
ดังนั้น คุณจึงควรจะทำกิจวัตร
ประจำวันที่จะช่วยรักษา
ภูมิคุ้มกันของคุณ.. รักษาสุข
อนามัยและไม่ควรอยู่
** อย่างตระหนก..!!

(ที่หนึ่ง)เพียงแค่ช่วยกันแพร่..
** ความหวัง **
มากกว่า
** ความกลัว **

* เชื้อที่น่ากลัวที่สุด..มิใช่โควิด
แต่เป็นความหวาดกลัวมากกว่า..

(ที่หนึ่ง)จงช่วยกันแชร์ข้อมูลเหล่านี้
เพื่อหยุดยั้งความ..
** ตื่นตระหนกกันเถิด..**

14 ก.พ.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือประชาชนเต็มที่ โดยเฉพาะการดูแลไม่ให้เกิดปัญหาข้อมูลเครดิต การผิดนัดชำระ จนกระทบต่อการประกอบอาชีพในระยะยาว สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

 

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมกับกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อ กว่า 22 แห่ง จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เชิญชวนให้ผู้กำลังประสบปัญหาร่วมใช้บริการ โดยมีข้อเสนอผ่อนปรนสำหรับลูกหนี้ 3 กลุ่ม อาทิ

กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ NPL ที่มีคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีแล้ว มีข้อเสนอให้ชำระเฉพาะเงินต้น ไม่มีดอกเบี้ย โดยวางกรอบการชำระหนี้ไว้ 3 ระยะ คือภายใน 3 เดือน 3 ปี และ 5 ปี หากชำระได้ตามแผนก็จะยกดอกเบี้ยให้ลูกหนี้

กลุ่มที่ 2 ลูกหนี้ NPL ที่ยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือถูกฟ้องแล้ว เมื่อสมัครเข้าร่วมมหกรรมฯ จะมีการรับเรื่องเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ของศาล พร้อมข้อเสนอผ่อนชำระระยะยาว เช่น ภายใน 10 ปี เป็นต้น

และกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ขาดสภาพคล่องชั่วคราว ค้างชำระเกิน 3 เดือน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะช่วยแปรสภาพหนี้เป็นระยะยาว คิดดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประชาชนที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้สามารถเข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ฯ ดังกล่าวได้ ด้วยการลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 14 ก.พ.-14 เม.ย.64 ทางเว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรม กรมบังคับคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ซึ่งภายหลังการลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน 1 สัปดาห์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 1213
 

กดเข้าร่วมไกล่เกลี่ยหนี้ 

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/92957

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ