Font Size

#เห็นด้วยช่วยแชร์ #หมอเมธี

วันนี้มีโอกาสเลี้ยวผ่านเข้าไปยัง ward ICU covid ที่รพ.แห่งหนึ่ง....ได้พบเหตุการณ์ที่หลายคนไม่มีโอกาสได้ทราบเลยเกี่ยวกับคนไข้ทุกรายที่ได้รับเชื้อร้ายนี้......ขอแบ่งปันให้คนที่ไม่มีโอกาสได้พบเห็นด้วยตาตนเองทราบ...และหากผู้กำกับหนังสั้นคนใดและสื่อมวลชนช่องทางใด อยากทำบุญ ก็น่าที่จะไปทำเป็นหนังสั้นไม่เกิน ๒ นาที เพื่อเผยแพร่ให้คนได้ทราบ....#BasedOnTheVeryTrueStory

บรรยากาศในห้องicu covid...เป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีห้องย่อยเล็ก ๆ นับสิบห้อง เป็นห้องกั้นกระจกอย่างมิดชิดหลายห้องอยู่ล้อมรอบcounterพยาบาลที่อยู่ตรงกลางเหมือนไข่แดง อากาศภายในห้องเย็นยะเยือก สงบเงียบ แต่น่าพรั่นพรึงสำหรับคนอยู่กักไว้ในห้องแคบ ๆ ขนาดเพียงไม่ถึงสิบตรม. ไม่มีห้องน้ำแยก ไม่มีห้องนั่งเล่น มีเพียงเตียง๑เตียงพร้อมด้วยแสงวูบวาบและเสียงเตือนเป็นระยะๆ จากเครื่องมือแพทย์ที่ร้องระงม เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดตอนนี้คือโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องไว้ติดต่อกับคนที่รัก..ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดแรงจับโทรศัพท์ไว้ เพราะหากไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจ โทรศัพท์ก็คงได้แต่กองอยู่ข้างเตียง

คนไข้แต่ละคนที่ถูกส่งมาที่icuแห่งนี้ได้ คล้ายจะเหมือนโชคดีที่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุด เพราะทุกห้องเป็นห้องicuเดี่ยวที่ได้มาตรฐานสูงสุด พรั่งพร้อมด้วยเครื่องมือกู้ชีพ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ โดยเฉพาะการติดตามค่าออกซิเจนในเลือด แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ สภาพคนไข้ในแต่ละห้องที่มีอาการมากน้อยต่างกันไป.... บางคนต้องอยู่ในสภาพนอนคว่ำเกือบตลอดเวลาเพื่อให้ปอดที่ยังพอเหลือน้อยนิดสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนในการต่อชีวิตต่อไปได้ ....บางคนต้องใส่ท่อช่วยหายใจซึ่งเท่าที่ทราบ รายที่ต้องใส่ท่อนั้นมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก .....ส่วนรายที่โชคดีหน่อยก็คือ ยังสามารถหายใจได้เองหรืออาจใช้เครื่องอัดออกซิเจนแรงดันสูงผ่านรูจมูก (hiflow) ....แต่ไม่ว่าจะอาการหนักเบามากน้อยต่างกันแค่ไหน..สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ #แววตาจะแสดงความกังวลและความกลัวออกมาอย่างชัดเจน...และทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้แม้แต่จะลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ...กิจกรรมทุกอย่างไม่ว่าจะส่วนตัวแค่ไหน ก็ต้องทำอยู่บนเตียง "เท่านั้น"

เหตุการณ์น่าประหลาดใจอันหนึ่งเมื่อเราเดินผ่านในห้องกลางของเจ้าหน้าที่ คือคนไข้ที่ยังรู้สึกตัวทุกคนเมื่อเห็นแพทย์พยาบาลชุดใหม่ที่ถูกส่งเข้ามารับไม้ต่อ มองเข้ามาในห้อง คนไข้จะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าคงบังเอิญเป็นจังหวะที่เขาภาวนาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือซึ่งเขากุมอยู่ในมือ......จนเมื่อมีโอกาสได้ถามไถ่จากพยาบาล จึงได้ทราบความจริงว่า ที่คนไข้ยกมือไหว้เวลาเห็นเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แพทย์" เข้าไปในห้องicuดังกล่าว ก็เพราะเขายกมือทั้งไหว้ขอบคุณและทั้งร้องขอ...เพื่อขอร้องว่าอย่าทิ้งเขาไปไหน..หลายรายพูดผ่านไมโครโฟนออกมายังcounterว่า "ยังไม่อยากตาย" "ยังไม่ร่ำลาใคร" !!! .....สอดคล้องกับคำบอกเล่าของคุณพยาบาลประจำตึกที่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือน..."หนูเห็นคนไข้ตายต่อหน้าต่อตาโดยช่วยอะไรไม่ได้แทบทุกวัน..แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ชิน...สะเทือนใจตลอด"....แล้วประสาอะไรกับคนไข้ที่ไม่คุ้นเคยกับความตายในห้อง ICU แล้วต้องมาเห็นความตายต่อหน้าต่อตาของคนข้าง ๆ ห้องทุกวันที่ผลัดกันเข้าออกไม่ซ้ำหน้า

ตลอดชีวิตที่ดูแลคนไข้หนักมาตลอด ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ที่คนไข้จะยกมือไหว้ในแบบที่ไม่เชิงไหว้ขอบคุณแต่เป็นการไหว้เพื่อขอร้องให้ไม่ทอดทิ้งเขา...หากยังนึกไม่ออก ลองหลับตานึกภาพ เมื่อเราเดินเข้าไปห้องขนาดใหญ่ที่แต่ละคนจะถูกแยกออกไปอยู่ในห้องปิดของตนเอง แม้ระยะทางระหว่างประตูกั้นห้องมาถึงเคาน์เตอร์พยาบาลห่างกันเพียงแค่ก้าวสองก้าว แต่คนไข้ทุกคนกลับมีความรู้สึกถึงความห่างไกล โดดเดี่ยว ที่หากโชคดีก็จะอยู่ในห้องนี้ไม่เกิน ๑๔ วันก่อนจะกลับสู่ครอบครัวได้ โดยตลอดเวลา๑๔วันนี้ จะไม่ได้เจอญาติหรือเพื่อนฝูงแม้แต่คนเดียว มีเพียงแพทย์พยาบาลผลัดกันเข้ามาดูแลอยู่ห่าง ๆ ผ่านกระจกหรือจอมอนิเตอร์ ส่วนรายที่อยู่ห้องicuได้ไม่ถึง ๑๔ วัน อาจไม่ได้หมายถึงโชคดีหายเร็วกว่าคนอื่น แต่อาจหมายถึงการที่จะไม่ได้พบญาติอีกตลอดไป และญาติเองก็ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน......และแม้แต่คนที่รอดกลับบ้านไป หลายคนจะประสพกับเหตุการณ์ #PostTraumaticStressDisorder-PTSD เพราะได้เห็นความตายต่อหน้าต่อตาใน ICU หลายต่อหลายราย...รวมทั้งอีกหลายคนจะประสบกับปัญหาทางจิต ซึมเศร้า เพราะหลายคนทราบดีว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้คนในครอบครัวอีกหลายคนต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับตน ..น่าที่ #ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ต้องออกมาให้คำแนะนำกับคนเหล่านี้ด้วย

หวังว่าบรรยากาศเช่นนี้ คงไม่เจอกับตัวเอง กับคนที่เรารัก หรือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของทุกคน

สำหรับคนที่ยังได้รับโอกาสให้กลับไปบ้านได้ในทุก ๆ วัน....สถานการณ์ขณะนี้ต้องเลิกดราม่า...ฉีดวัคซีนอะไรดี ฉีดอะไรก่อนหลัง ฉีดแบบลูกผสมดีหรือไม่ และยิ่งกับประเภทกลัววัคซีนจนเกินเหตุ..ยิ่งต้องเลิกชุดความคิดแบบนี้ได้แล้ว.....คำพูดของครูแพทย์หลายท่านที่่พร่ำบอกว่า "#วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่เรามีโอกาสได้รับโดยเร็วที่สุดเป็นคำพูดที่ถูกต้อง"....ยกเว้นท่านมีโอกาสเลือกสิ่งที่ท่านคิดว่าดีที่สุด...ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ที่จะไขว่คว้าเอาไว้ก่อน...........แต่อย่าถึงขนาดปล่อยให้เรือจมแล้วค่อยร้องเรียกหาห่วงชูชีพ...และอย่ามัวแต่ถกว่าจะเลือกชูชีพเซิ่นเจิ้นดีหรือไม่ดี...ชูชีพอะไรที่เพิ่มโอกาสรอดให้ท่าน...คว้าไว้เลย ถ้ามีโอกาส ...แม้ชูชีพนั้นอาจทำให้ท่านจมน้ำไปครึ่งตัว แต่ก็ยังมีอีกครึ่งตัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ..เพราะหมายถึงโอกาสรอดชีวิตจะสูงกว่าคนที่มัวแต่ถกเถียงกันว่าจะเลือดชูชีพแบบไหนดี...

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กับตันเรือและต้นหน ...ต้องรีบจัดหาชูชีพให้พอกับจำนวนผู้โดยสาร มาโดยเร็วที่สุดดดดดด ...เพราะแพทย์พยาบาลหน้างานนั้นเหนื่อยสายตัวขาดไปหลายรอบแล้ว หลายคนจากเมื่อวานที่เป็นคนให้การรักษา วันนี้หรือวันพรุ่ง กลับต้องกลายเป็นคนที่ต้องไปอยู่ในห้องแทน !!!!

สำหรับใครที่ดราม่าว่า lockdownแล้วจะลงแดงตาย เพราะไม่ได้ออกไปเจอเพื่อนฝูง ไม่ได้ไปparty ไม่ได้ออกไปเดินเล่น ...ลองกลับไปอ่านข้างบนอีกรอบ..แล้วคิดใหม่ว่าจะเลือกแบบไหน...หากโชคดีก็เข้าถึงการรักษาในรพ.ได้ ...หากโชคร้ายอาจได้จากไปอย่างโดดเดี่ยวคนเดียวที่บ้าน....หรือแม้แต่ข้างถนน

***********

…… ขอให้ญาติมิตรทั้งหลายจงปลอดภัยจากโรคร้ายนี้เถิด