รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า การที่เรามีไขมันหน้าท้องซึ่งเป็นสิ่งที่ขจัดออกไปได้ยากมาก สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในระยะที่รุนแรงได้สูงถึง 75% และจากผลการศึกษาดังกล่าว ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยข้างต้น ก็ได้ออกมาเรียกร้องเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีห่วงยางหน้าท้อง ว่าควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

                นักวิจัยชาวอิตาลีค้นพบว่า การที่เรามีห่วงยางหน้าท้อง นั้นหมายความว่าในกระเพาะอาหารของเราย่อมเต็มไปด้วยไขมันสะสมเป็นจำนวนมาก ที่เสี่ยงต่อการอาการแทรกซ้อนร้ายแรง โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักเกินกว่าปกติและป่วยโรคโควิด-19 ที่สำคัญไม่ใช่แค่การติดเชื้อของไวรัสร้าย ที่มีแนวโน้มรุนแรงและอาจทำให้คุณมีอาการป่วยแย่ลงเท่านั้น แต่คนที่สะสมไขมันห่วงยางไว้ที่หน้าท้องเป็นจำนวนมาก อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือภาวะดื้ออินซูลิน และอาจทำให้คุณเป็นความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดพ่วงมาด้วย จากภาวะน้ำหนักตัวเกิน แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้นั้นคือเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคุณที่ทำอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่เคร่งเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ กินขนมหวานเป็นประจำ ที่สามารถทำให้คุณมีห่วงยางหน้าท้อง

 

                ในโอกาสนี้ มีการนำเสนอ 10 เทคนิคที่จะทำให้คุณสามารถขจัดไขมันหน้าท้องคุณออกไปได้

                1.ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า แอลกอฮอล์ที่อยู่ในไวน์แดงนั้น เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดห่วงยางหน้าท้องของคุณ โดยเฉพาะคนที่ดื่มไวน์แดง 2 แก้วทุกๆ วัน จะเป็นการเพิ่มปริมาณจำนวนแคลอรีมากถึง 72,000 แคลอรีต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับไขมัน 20 ปอนด์ อีกทั้งคุณสาวๆ ที่ชอบดื่มไวน์แดงนั้น จะทำให้มีไขมันส่วนเกินสะสมไว้ที่บริเวณสะโพกและต้นขา ในขณะที่ผู้ชายมักจะสะสมไขมันส่วนเกินจากแอลกอฮอล์ไว้ที่บริเวณพุงของพวกเขานั่นเอง

                2.รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่าโปรตีนเป็นกุญแจสำคัญในการลดไขมันหน้าท้อง ขั้นแรกมันจะปล่อยฮอร์โมน PYY หรือฮอร์โมนที่ช่วยทำให้คุณอิ่มอาหาร และปล่อยจากผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสัญญาณที่ช่วยให้คุณส่งข้อความไปยังสมองของคุณว่าคุณอิ่มแล้ว การให้โปรตีนที่ดีในมื้อเดียว จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการกินมากเกินไป และจากผลการวิจัยระบุว่า การที่คนกินโปรตีนในปริมาณที่สูง จะทำให้มีไขมันหน้าท้องน้อยลง และอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนนั้นยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กับคุณได้อีกด้วย

                3.ลดระดับความเครียดของคุณ ความเครียดทำให้ร่างกายของคุณได้รับไขมัน เนื่องจากมันกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา ซึ่งจะเพิ่มความอยากอาหารของคุณ นั่นจะทำให้คุณกินเยอะมากขึ้น

                4.อย่ากินอาหารที่มีน้ำตาลมาก ปริมาณแคลอรี หรือไขมันที่ได้จากกลุ่มของน้ำตาล จะแตกต่างจากอาหารกลุ่มอื่นๆ เช่น โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่หมายถึงคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกาย เช่น ข้าวกล้องที่ไม่ขัดสี ธัญพืช ขนมโฮลวีต เป็นต้น ที่สามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลนั้น จะทำให้ร่างกายได้รับไขมันที่ทำให้ร่างกายของคุณผิดปกติ หรือทำให้ความอยากอาหารของคุณสับสน และนั่นยังกระตุ้นให้คุณผลิตน้ำมันออกมาจากร่างกายเป็นจำนวนมาก

                5.จัดการกับความไวต่ออาหาร ผู้คนมักมีความไวต่ออาหาร ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาเป็นเวลาหลายปี หากคุณคิดว่าคุณมีอาการแพ้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ของคุณ ซึ่งอาจแนะนำให้คุณไปพบนักโภชนาการ สำหรับความไวต่ออาหารที่พบบ่อย ได้แก่ นมและกลูเตน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถนำไปสู่การอักเสบของลำไส้ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความไวหรือแพ้อาหารมากขึ้น และการต่อสู้กับอาการแพ้เหล่านี้อาจส่งผลอย่างมากต่อการที่น้ำหนักตัวของคุณลดลง รวมถึงส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของคุณเช่นกัน

                6.ยกของหนัก ทุกคนรู้ดีว่าการออกกำลังกายเป็นประจำเป็นสิ่งจำเป็นในการลดน้ำหนัก แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เลือกการออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนคนนั้นเสมอไป ที่สำคัญนั้นการเอกเซอร์ไซส์ด้วยรูปแบบการยกอุปกรณ์ลดน้ำหนัก เช่น การเล่นเวทเทรนนิ่ง จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับมวลกล้ามเนื้อของคุณ และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันให้กับร่างกาย ซึ่งขณะที่ร่างกายกำลังเบิร์นไขมันนั้น ก็จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณลดลง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือการออกด้วยท่าทางที่หลากหลายผสมผสานกัน เช่น นอกจากเล่นเวทเทรนนิ่งแล้ว ก็สามารถเต้นแอโรบิกต่อได้ทันที เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และสูบฉีดโลหิตได้ค่อนข้างดี

                7.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ของการดูแลสุขภาพโดยรวม เพราะนั่นจะทำให้คุณสามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และจากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลา 16 ปี ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืนนั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า ผู้หญิงที่นอนหลับ 7 ชั่วโมงต่อคืน

                8.กินปลาที่มีไขมันชนิดดีทุกสัปดาห์ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลา ได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติที่ดีมาก เช่นการช่วยชะลอวัย และต่อสู้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมต่างๆ

                9.เลี่ยงการปรุงอาหารด้วยน้ำมันชนิดต่างๆ แต่ทำอาหารด้วยน้ำมันมะพร้าว จากการศึกษาวิจัยโดยการงดการใช้เนย และน้ำมันมะกอกทำอาหาร แต่ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวแทนนั้น พบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของคุณได้ และยังช่วยลดการสะสมไขมันที่จะเพิ่มสูงขึ้น กระทั่งกลายเป็นอ้วนลงพุงได้ เนื่องจากในน้ำมันมะพร้าวจะมีกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ไม่สะสมในร่างกาย

                10.กินอาหารที่มีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ในปริมาณมากๆ การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยซึ่งละลายน้ำได้ดี เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการช่วยลดน้ำหนักเพราะไฟเบอร์จะสร้างเจลจากอาหารที่คุณกินเข้าไปในระบบทางเดินอาหารของคุณ และทำให้เส้นใยอาหารดังกล่าวได้รับการดูดซึมไปใช้งานกับร่างกาย จากการที่เจลเส้นใยอาหารไหลผ่านภายในระบบทางเดินอาหารอย่างช้าๆ และที่สำคัญไฟเบอร์ที่ได้จากเส้นใยอาหารดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังทำให้คุณอิ่มนานขึ้น หมายว่าความว่าคุณจะกินอาหารน้อยลงนั่นเอง.

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/104151

 

มติ “ศบค.” ยกเลิก “ไทยแลนด์พาส”  ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย เริ่ม 1 ก.ค.65
 
“พิพัฒน์” เผยมติ “ศบค.” ยกเลิกระบบไทยแลนด์พาส ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย พร้อมยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ปลดล็อกให้ภาคธุรกิจกลางคืน สถานบันเทิง กลับมาเปิดได้ถึงตี 2 ตามเดิม และอนุญาตให้เฉพาะ “โรงแรม” ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วง 14.00-17.00 น.

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า วันนี้ (17 มิ.ย.) ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและท่องเที่ยว ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2565 เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย ดังนี้

1.ยกเลิกระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) ไม่บังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อและแสดงเอกสารการทำประกันสุขภาพ ส่วนใบรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccination Certificate) ยังต้องแสดงกับสายการบินในขั้นตอนการเช็กอินจากประเทศต้นทางอยู่

2.ยกเลิกคำสั่งให้สวมหน้ากากอนามัย ประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถสวมหน้ากากอนามัยได้ตาม “ความสมัครใจ” แต่ยังคง “แนะนำ” ให้สวมใส่เมื่ออยู่ในสถานที่แออัด อย่างการจัดงานที่มีคนร่วมงานเกิน 2,000 คนขึ้นไป เช่น คอนเสิร์ต แนะนำว่าควรใส่หน้ากากอนามัยไว้ เพื่อเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19

3.ยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 (การกรอกรายการของคนต่างด้าว ซึ่งเดินทางเข้าในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร) สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางทางอากาศ

4.ขยายเวลาการเปิดให้บริการของ “ธุรกิจภาคกลางคืน” เช่น สถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะ กลับคืนสู่ภาวะปกติ ให้เป็นไปตามกฎหมายเดิม เปิดบริการได้ถึงเวลา 02.00 น.

5.อนุญาตให้เฉพาะในพื้นที่ โรงแรม ต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้เข้าพักได้ ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เพื่อสนับสนุนบรรยากาศการท่องเที่ยว เช่น ถ้านักท่องเที่ยวเล่นน้ำในโรงแรม และต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้องหยุดขายเมื่อถึงเวลา 14.00 น. คงส่งผลไม่ดีนัก

"ต้องย้ำว่าเฉพาะในโรงแรมเท่านั้น เพราะเป็นการบริการนักท่องเที่ยวจริงๆ  ส่วนร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เป็นดุลยพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะประสานและหารือกับกระทรวงมหาดไทยต่อไป"

นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมติ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเดินทางและท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการยกเลิกระบบ Thailand Pass มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป จะส่งผลดีต่อการกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ทำให้มีจำนวนเดินทางเข้าไทยเพิ่มเป็น 25,000-30,000 คนต่อวัน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 20,000-25,000 คนต่อวัน

และ คาดการณ์ว่าตลอดปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่น้อยกว่า 7.5 ล้านคน แต่จะเร่งสปีดให้ได้ถึง 10 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซั่น ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ คาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1.5 ล้านคนต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 50,000 คน

“ส่วนการเสนอขอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นระยะเวลา 6 เดือน (1 ก.ค-31 ธ.ค. 65) และขยายเวลาระยะเวลาพำนักของ Tourist Visa จาก 30 วัน เป็น 45 วัน รวมทั้ง ฟรีวีซ่า ผ.30 เป็น ผ.45 และวีซ่าหน้าด่าน หรือ Visa on Arrival (VOA) จาก 15 วัน เป็น 45 วัน ตามข้อเสนอของเอกชน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเพิ่มวันพำนักในไทยนานขึ้นนั้น ยังไม่ได้นำเข้ามาหารือใน ศบค. ครั้งนี้”

มติ “ศบค.” ยกเลิก “ไทยแลนด์พาส”  ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย เริ่ม 1 ก.ค.65

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/business/1010552?anf=

 


.......................
ปัญหาสังคมของอเมริกาวันนี้ หนักกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนใช่ไหม ถึงได้แปลกประหลาดจนถึงขั้นต้องระดมทหารมาหมื่นกว่านาย ดูแลพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่

พร้อมข่าวว่าในวันเดียวกัน ผู้ประท้วงมีแผนจะบุกยึดที่ทำการรัฐบาลในทุกรัฐ

ถ้าถามผม ขอบอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ อเมริกามีปัญหาสังคมที่รุนแรงมานานก่อนที่ผมจะไปเรียนเสียอีก

ผมเรียนที่แมสสาชูเสทส์ ในปี พ.ศ.2514 ก็ห้าสิบปีพอดี ได้เห็นและพอรู้ว่าปัญหามันมีมานานแล้ว เพียงแต่มันไม่มีหนทางที่จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง

สิ่งที่ผมเห็นอาจจะต่างกับสิ่งที่คนอื่นเห็น คือผมเห็นว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมอเมริกัน คือคนผิวขาวในอเมริกาเอง

มองอย่างผิวเผิน เราจะคิดว่าคนผิวขาวเป็นคนรวย ผิวดำจน ละตินจน คนขาวเหยียดคนดำ และมองว่าคนละตินต่ำชั้นกว่า

แต่ในความเป็นจริง คนขาวในอเมริกามีทั้งรวย ทั้งจน คนที่จนอาจจะมีมากถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดด้วยซ้ำไป สถิติเรื่องคนขาวจนมีเท่าไร น่าจะค้นได้ในเวป ใครสนใจก็ลองค้นหาดู

คนขาวเหล่านี้หลายคนเป็นชาวไร่ ชาวนา บรรพบุรุษเคยใช้คนดำเป็นทาส แต่วันนี้ทาสไม่มี ต้องทำกสิกรรมเอง หลายคนยากจน มีความเป็นอยู่แร้นแค้น

ปัจจุบันคนขาวจำนวนมากเป็นกรรมกรในงานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรือเป็นคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นพนักงานในร้านอาหาร เก็บขยะ ทำงานปัดกวาดในสถานประกอบการต่างๆ

นี่คือกลุ่มคนที่ไม่พอใจกับการที่พวกเขาต้องอยู่ในสภาพลำบาก ทั้งที่เขาคิดว่าคนขาวคือเจ้าของประเทศ

คนละตินอเมริกันเข้ามาแย่งงานระดับล่าง ทำให้คนขาวหลายคนหางานยาก

คนดำที่เคยเป็นทาส ก็กลับมาเป็นคนที่มีสิทธิ์เท่าเทียมตามกฏหมาย และสามารถหากินแข่งได้

คนขาวที่ยากจนหลายคนจึงตั้งข้อรังเกียจทางสังคม คุกคามทั้งทางตรง ทางอ้อมต่อคนผิวสี

คนขาวเหล่านี้แหละที่เป็นพลังกดดันเงียบ บ่งเพาะความไม่พอใจนานหลายสิบปี จนวันหนึ่งก็ระเบิดออกมา

พวกเขาคือคนจนตัวจริง ที่ไม่มีใครเหลียวแล

อเมริกาเป็นประเทศสุดโต่งที่ป้ญหาหลายอย่างถูกเก็บไว้ใต้พรม แต่ไม่ได้แปลว่าปัญหามันไม่มี

ผมไปเรียนเขียนหนังสือ ในโรงเรียนที่เข้าได้ยาก ก็จะมีเด็กผิวขาวร่วมสถาบันบางคน ถามว่า เป็นคนไทยเข้ามาเรียนที่นี่ได้อย่างไร ใครรับ ที่นี่คนเรียนต้องมีเงินจ่ายค่าเรียน และต้องไม่โง่

เป็นคนไทยได้อยู่โรงเรียนดี ก็โดนเด็กรวยดูถูก อย่างไม่เกรงใจ เด็กผิวดำจนๆที่ได้รับทุนมาเรียนที่นี่ยิ่งโดนดูถูกยิ่งกว่า

ส่วนเด็กขาวจนๆที่อยู่ในสลัม เรียนในโรงเรียนที่สิ่งแวดล้อมชวนให้สยองขวัญ แต่ละวันของพวกเขาคือการต่อสู้เพื่ออยู่รอด เพื่ออาหารมื้อต่อไป เพื่อเลี่ยงพวกติดยาที่มาข่มขู่ ชวนให้ช่วยขายยาทุกเย็นที่เดินกล้บบ้าน

นี่คือสองโลกในอเมริกา ฟ้ากับเหว ที่เพียงแต่รอวันระเบิด

เมื่อมีใครยื่นมือเข้ามาช่วย ไม่ว่ามันจะเป็นมือเทวดา มือมาร มือโง่ หรือมือฉลาด คนขาวที่จนก็พร้อมจะจับมือนั้น

นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเลือกผู้นำที่พร้อมจะช่วยพวกเขา

เมื่อมีคนด่าว่า ไปเลือกผู้นำบ้าๆทำไม พวกเขาก็จะถามกลับว่า แล้วไอ้คนไม่บ้าทำไมมันไม่เคยคิดมาช่วยพวกเขา

ทำอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง....

เขาหมายถึงว่าในประเทศ เขาต้องการให้คนขาวมีอำนาจ มีอิทธิพลเหนือคนผิวสีอื่นเหมือนสมัยทาส ส่วนเรื่องนอกประเทศ เขาต้องการให้อเมริกาเป็นผู้มีอำนาจเหนือทุกประเทศในโลก

การแสดงกิริยาหยาบคาย บุกรุกเข้าในอาคารรัฐสภา ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง

มันคือการแสดงความไม่พอใจและความอัดอั้นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เพิ่งมาระเบิดในวันนี้

ความคิดว่าคนขาวคือคนเหนือชั้นกว่าคนอื่น เป็นความคิด ความรู้สึกเก่ามากๆ ไม่ใช่ของใหม่

พวกเขาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นไปตามแนวทางที่เขาต้องการ นี่คือความคิดย้อนยุค ไม่ใช่ล้ำยุค

แต่คนขาวอีกครึ่งประเทศ ไม่เห็นด้วย
เขาเห็นว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับและแก้ปัญหาตามยุค ไม่ใช่พาสังคมย้อนกลับไปเหมือนสมัยร้อยปีก่อน

เช่นเดียวกับคนดำ คนละติน คนเอเซีย ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าย้อนกลับไปก็เท่ากับยอมให้คนขาวกลับมากดขี่คนดำเหมือนเดิม

คนขาวจน เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ต้องการสิทธิต่างๆที่เขาคิดว่าคนขาวจนๆควรจะได้ เพื่อให้สังคมดีขึ้นตามแบบของเขา

ผมเป็นนักข่าวมาหลายปี เห็นสัจธรรมว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน แม้จะเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนเจว็ด เปลี่ยนหัวโขน กี่หัวมันก็ไม่แก้ปัญหา เปลี่ยนแล้วสังคมก็เป็นสังคังเหมือนเดิม

คนขาวจนนั่นแหละคือคนต้องเปลี่ยน ต้องปรับให้ความคิดความอ่านตรงกับยุคสมัย และเปิดกว้างให้ตัวเองยอมเจ็บปวดบ้าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่มันจะเป็นไปได้หรือ เพราะการเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงนั้นง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นยาก

เปลี่ยนเจว็ด ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น เปลี่ยนคนเอาเจว็ดมาวางนั่นแหละ ถึงจะจบ

ม.ล.สิทธิไชย ไชยันต์
มกราคม 2564

covid

ศูนย์ข้อมูล COVID-19

มติ คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบ ปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เริ่ม 1 ก.ค. นี้ แบ่งระยะของโควิดเป็นโรคประจำถิ่น 4 ระยะ

- ระยะที่ 1 (12 มี.ค.-ต้น เม.ย.) เรียกว่า Combatting ต้องออกแรงกดตัวเลขไม่ให้สูงกว่านี้ เป็นระยะต่อสู้ เพื่อลดการระบาด ลดความรุนแรงลง จะมีมาตรการต่างๆ ออกไป การดำเนินการให้กักตัวลดลง

- ระยะที่ 2 (เม.ย.-พ.ค.) เรียกว่า Plateau คือ การคงระดับผู้ติดเชื้อไม่ให้สูงขึ้น ให้เป็นระนาบจนลดลงเรื่อยๆ

- ระยะที่ 3 (ปลาย พ.ค.-30 มิ.ย.) เรียกว่า Declining การลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงให้เหลือ 1,000-2,000 คน

- และอีกบวก 1 หรือระยะ 4 ตั้งแต่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป เรียกว่า Post pandemic คือ ออกจากโรคระบาด เข้าสู่โรคประจำถิ่น

ที่มา ไทยคู่ฟ้า

 

การระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ไม่เพียงส่งผลกระทบในด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับสังคมและเศรษฐกิจด้วย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อเข้าสู่กระบวนการควบคุมการแพร่ระบาด หลายมาตรการกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ ความมั่นคงทางอาหาร กลไกการรับมือ การศึกษา ไปจนถึงสุขภาพ

ทั้งนี้ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้ร่วมกับ UNICEF Thailand และ Gallup Poll ทำการสำรวจครัวเรือนและความยากจนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

โดยเป็นการสำรวจทางโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.-15 มิ.ย.2564 จากประชาชนที่มีอายุเกิน 18 ปี จำนวน 2,000 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 50% ได้รับผลกระทบด้านการงาน บางคนต้องออกจากงาน หยุดงานชั่วคราว ถูกลดชั่วโมงทำงาน หรือได้รับค่าตอบแทนที่น้อยลง และครัวเรือนที่ให้สัมภาษณ์กว่า 70% มีรายได้ลดลงตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 ขณะเดียวกันการทำเกษตรกรรมและประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่เกษตรกรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากรายได้ที่ลดลง ประมาณ 50% มีรายได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง

ส่วนประเด็นด้านการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 57% บ่งชี้ว่าเด็กในครัวเรือนประสบปัญหาด้านการเรียน เด็กในพื้นที่ชนบทและครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ มีแนวโน้มว่าจะมีอุปสรรคด้านการเข้าถึงอุปกรณ์ในการเรียนสูงกว่า ขณะที่ด้านสุขภาพ พบอีกว่า ครัวเรือนประมาณ 1 ใน 3 ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ไม่สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้ เนื่องจากกังวลเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 และ ณ เวลาที่ได้ทำการสำรวจนี้ ระบุว่า ความกังวลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้ประชาชนลังเลไม่กล้าฉีดวัคซีน โดยกลุ่มที่มีการศึกษาไม่สูง มีรายได้ต่ำ และกลุ่มเยาวชนกว่า 36% ไม่มีแผนจะเข้ารับการฉีดวัคซีน

ส่วนในด้านความคุ้มครองทางสังคมนั้น พบว่า ครัวเรือนกว่า 80% ได้รับประโยชน์จากโครงการช่วยเหลือในสภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลที่เริ่มในปี 2563 โดยคิดเป็นสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และผู้ที่มีรายได้ปรับลดลงอย่างรุนแรงประมาณ 90% ขณะที่สัดส่วนผู้ขอรับประโยชน์จากสวัสดิการสังคมในปี 2563 เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2562

โดยพบว่า การดำเนินมาตรการภาครัฐที่ผ่านมาช่วยลดผลกระทบได้มาก เพราะสามารถครอบคลุมและเข้าถึงกลุ่มเปราะบางได้ถึง 80% ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของคนยากจนเพิ่มขึ้นในระดับต่ำ จาก 6.2% ในปี 2562 เป็น 6.4% ในปีที่ผ่านมา แต่!! หากไม่มีการดำเนินมาตรการภาครัฐก็มีโอกาสที่คนยากจนในประเทศไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 7.4%

ขณะที่ กระทรวงการคลังระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการเยียวยาประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ไปเกือบ 1 ล้านล้านบาทแล้ว โดยมีประชาชนที่อยู่ในระบบสวัสดิการราว 44 ล้านคน ส่วนทิศทางการดำเนินการในระยะต่อไปจะมีการจัดสวัสดิการให้กลุ่มคนเปราะบาง การนำ Big Data มาใช้ในการออกแบบนโยบายให้เหมาะสมกับกลุ่มคนและพื้นที่ การเชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ การลดบทบาทการเยียวยา แต่เพิ่มบทบาทการฟื้นฟูและกระตุ้นการบริโภค ภายใต้การดำเนินการตามกรอบวินัยทางการคลัง

ขณะที่ ภาคเอกชนอย่างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่า ระบบสวัสดิการไม่ใช่เรื่องการสงเคราะห์ แต่เป็นระบบที่จะช่วยการพัฒนาประเทศโดยใช้คนเป็นศูนย์กลาง ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณให้เหมาะสมกับภารกิจ โดยลดการใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจ แล้วเพิ่มด้านสังคม นำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่นำไปลงทุนผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันกับภาคเอกชน

ต้องยอมรับว่า “สถานการณ์การระบาดของโควิด-19” ส่งผลกระทบกับรายได้ของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยที่ผ่านมาเวิลด์แบงก์ได้เคยทำการประเมินว่า นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ในปี 2563 คนไทยยากจนเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 ล้านคน ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะมีคนไทยที่มีความยากจนเพิ่มขึ้นอีก 1.7 แสนคน การเร่งแก้ปัญหาในทุกมิติจากทุกภาคส่วนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะด้านสวัสดิการทางสังคมอย่างเพียงพอกับความต้องการ ตรงจุด ตรงเป้าหมาย รวมถึงการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการศึกษา ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มช่องทางในการมีงานทำ การเข้าถึงสินเชื่อในระบบและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นอกจากจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนานแล้ว ยังอาจจะเป็นการช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย.

ครองขวัญ รอดหมวน

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/columnist-people/25319/

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ

กิจกรรม

เนื้อหาที่เปิดอ่าน
2758835

มี 107 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

เกี่ยวกับคุกกี้บนเว็บไซด์นี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา

นโยบายใช้งานคุกกี้