รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า การที่เรามีไขมันหน้าท้องซึ่งเป็นสิ่งที่ขจัดออกไปได้ยากมาก สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในระยะที่รุนแรงได้สูงถึง 75% และจากผลการศึกษาดังกล่าว ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยข้างต้น ก็ได้ออกมาเรียกร้องเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีห่วงยางหน้าท้อง ว่าควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

                นักวิจัยชาวอิตาลีค้นพบว่า การที่เรามีห่วงยางหน้าท้อง นั้นหมายความว่าในกระเพาะอาหารของเราย่อมเต็มไปด้วยไขมันสะสมเป็นจำนวนมาก ที่เสี่ยงต่อการอาการแทรกซ้อนร้ายแรง โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักเกินกว่าปกติและป่วยโรคโควิด-19 ที่สำคัญไม่ใช่แค่การติดเชื้อของไวรัสร้าย ที่มีแนวโน้มรุนแรงและอาจทำให้คุณมีอาการป่วยแย่ลงเท่านั้น แต่คนที่สะสมไขมันห่วงยางไว้ที่หน้าท้องเป็นจำนวนมาก อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือภาวะดื้ออินซูลิน และอาจทำให้คุณเป็นความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดพ่วงมาด้วย จากภาวะน้ำหนักตัวเกิน แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้นั้นคือเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคุณที่ทำอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่เคร่งเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ กินขนมหวานเป็นประจำ ที่สามารถทำให้คุณมีห่วงยางหน้าท้อง

 

                ในโอกาสนี้ มีการนำเสนอ 10 เทคนิคที่จะทำให้คุณสามารถขจัดไขมันหน้าท้องคุณออกไปได้

                1.ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า แอลกอฮอล์ที่อยู่ในไวน์แดงนั้น เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดห่วงยางหน้าท้องของคุณ โดยเฉพาะคนที่ดื่มไวน์แดง 2 แก้วทุกๆ วัน จะเป็นการเพิ่มปริมาณจำนวนแคลอรีมากถึง 72,000 แคลอรีต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับไขมัน 20 ปอนด์ อีกทั้งคุณสาวๆ ที่ชอบดื่มไวน์แดงนั้น จะทำให้มีไขมันส่วนเกินสะสมไว้ที่บริเวณสะโพกและต้นขา ในขณะที่ผู้ชายมักจะสะสมไขมันส่วนเกินจากแอลกอฮอล์ไว้ที่บริเวณพุงของพวกเขานั่นเอง

                2.รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่าโปรตีนเป็นกุญแจสำคัญในการลดไขมันหน้าท้อง ขั้นแรกมันจะปล่อยฮอร์โมน PYY หรือฮอร์โมนที่ช่วยทำให้คุณอิ่มอาหาร และปล่อยจากผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสัญญาณที่ช่วยให้คุณส่งข้อความไปยังสมองของคุณว่าคุณอิ่มแล้ว การให้โปรตีนที่ดีในมื้อเดียว จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการกินมากเกินไป และจากผลการวิจัยระบุว่า การที่คนกินโปรตีนในปริมาณที่สูง จะทำให้มีไขมันหน้าท้องน้อยลง และอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนนั้นยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กับคุณได้อีกด้วย

                3.ลดระดับความเครียดของคุณ ความเครียดทำให้ร่างกายของคุณได้รับไขมัน เนื่องจากมันกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา ซึ่งจะเพิ่มความอยากอาหารของคุณ นั่นจะทำให้คุณกินเยอะมากขึ้น

                4.อย่ากินอาหารที่มีน้ำตาลมาก ปริมาณแคลอรี หรือไขมันที่ได้จากกลุ่มของน้ำตาล จะแตกต่างจากอาหารกลุ่มอื่นๆ เช่น โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่หมายถึงคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกาย เช่น ข้าวกล้องที่ไม่ขัดสี ธัญพืช ขนมโฮลวีต เป็นต้น ที่สามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลนั้น จะทำให้ร่างกายได้รับไขมันที่ทำให้ร่างกายของคุณผิดปกติ หรือทำให้ความอยากอาหารของคุณสับสน และนั่นยังกระตุ้นให้คุณผลิตน้ำมันออกมาจากร่างกายเป็นจำนวนมาก

                5.จัดการกับความไวต่ออาหาร ผู้คนมักมีความไวต่ออาหาร ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาเป็นเวลาหลายปี หากคุณคิดว่าคุณมีอาการแพ้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ของคุณ ซึ่งอาจแนะนำให้คุณไปพบนักโภชนาการ สำหรับความไวต่ออาหารที่พบบ่อย ได้แก่ นมและกลูเตน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถนำไปสู่การอักเสบของลำไส้ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความไวหรือแพ้อาหารมากขึ้น และการต่อสู้กับอาการแพ้เหล่านี้อาจส่งผลอย่างมากต่อการที่น้ำหนักตัวของคุณลดลง รวมถึงส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของคุณเช่นกัน

                6.ยกของหนัก ทุกคนรู้ดีว่าการออกกำลังกายเป็นประจำเป็นสิ่งจำเป็นในการลดน้ำหนัก แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เลือกการออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนคนนั้นเสมอไป ที่สำคัญนั้นการเอกเซอร์ไซส์ด้วยรูปแบบการยกอุปกรณ์ลดน้ำหนัก เช่น การเล่นเวทเทรนนิ่ง จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับมวลกล้ามเนื้อของคุณ และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันให้กับร่างกาย ซึ่งขณะที่ร่างกายกำลังเบิร์นไขมันนั้น ก็จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณลดลง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือการออกด้วยท่าทางที่หลากหลายผสมผสานกัน เช่น นอกจากเล่นเวทเทรนนิ่งแล้ว ก็สามารถเต้นแอโรบิกต่อได้ทันที เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และสูบฉีดโลหิตได้ค่อนข้างดี

                7.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ของการดูแลสุขภาพโดยรวม เพราะนั่นจะทำให้คุณสามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และจากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลา 16 ปี ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืนนั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า ผู้หญิงที่นอนหลับ 7 ชั่วโมงต่อคืน

                8.กินปลาที่มีไขมันชนิดดีทุกสัปดาห์ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลา ได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติที่ดีมาก เช่นการช่วยชะลอวัย และต่อสู้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมต่างๆ

                9.เลี่ยงการปรุงอาหารด้วยน้ำมันชนิดต่างๆ แต่ทำอาหารด้วยน้ำมันมะพร้าว จากการศึกษาวิจัยโดยการงดการใช้เนย และน้ำมันมะกอกทำอาหาร แต่ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวแทนนั้น พบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของคุณได้ และยังช่วยลดการสะสมไขมันที่จะเพิ่มสูงขึ้น กระทั่งกลายเป็นอ้วนลงพุงได้ เนื่องจากในน้ำมันมะพร้าวจะมีกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ไม่สะสมในร่างกาย

                10.กินอาหารที่มีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ในปริมาณมากๆ การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยซึ่งละลายน้ำได้ดี เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการช่วยลดน้ำหนักเพราะไฟเบอร์จะสร้างเจลจากอาหารที่คุณกินเข้าไปในระบบทางเดินอาหารของคุณ และทำให้เส้นใยอาหารดังกล่าวได้รับการดูดซึมไปใช้งานกับร่างกาย จากการที่เจลเส้นใยอาหารไหลผ่านภายในระบบทางเดินอาหารอย่างช้าๆ และที่สำคัญไฟเบอร์ที่ได้จากเส้นใยอาหารดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังทำให้คุณอิ่มนานขึ้น หมายว่าความว่าคุณจะกินอาหารน้อยลงนั่นเอง.

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/104151

 

มติ “ศบค.” ยกเลิก “ไทยแลนด์พาส”  ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย เริ่ม 1 ก.ค.65
 
“พิพัฒน์” เผยมติ “ศบค.” ยกเลิกระบบไทยแลนด์พาส ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย พร้อมยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ปลดล็อกให้ภาคธุรกิจกลางคืน สถานบันเทิง กลับมาเปิดได้ถึงตี 2 ตามเดิม และอนุญาตให้เฉพาะ “โรงแรม” ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วง 14.00-17.00 น.

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า วันนี้ (17 มิ.ย.) ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและท่องเที่ยว ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2565 เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย ดังนี้

1.ยกเลิกระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) ไม่บังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อและแสดงเอกสารการทำประกันสุขภาพ ส่วนใบรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccination Certificate) ยังต้องแสดงกับสายการบินในขั้นตอนการเช็กอินจากประเทศต้นทางอยู่

2.ยกเลิกคำสั่งให้สวมหน้ากากอนามัย ประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถสวมหน้ากากอนามัยได้ตาม “ความสมัครใจ” แต่ยังคง “แนะนำ” ให้สวมใส่เมื่ออยู่ในสถานที่แออัด อย่างการจัดงานที่มีคนร่วมงานเกิน 2,000 คนขึ้นไป เช่น คอนเสิร์ต แนะนำว่าควรใส่หน้ากากอนามัยไว้ เพื่อเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19

3.ยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 (การกรอกรายการของคนต่างด้าว ซึ่งเดินทางเข้าในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร) สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางทางอากาศ

4.ขยายเวลาการเปิดให้บริการของ “ธุรกิจภาคกลางคืน” เช่น สถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะ กลับคืนสู่ภาวะปกติ ให้เป็นไปตามกฎหมายเดิม เปิดบริการได้ถึงเวลา 02.00 น.

5.อนุญาตให้เฉพาะในพื้นที่ โรงแรม ต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้เข้าพักได้ ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เพื่อสนับสนุนบรรยากาศการท่องเที่ยว เช่น ถ้านักท่องเที่ยวเล่นน้ำในโรงแรม และต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้องหยุดขายเมื่อถึงเวลา 14.00 น. คงส่งผลไม่ดีนัก

"ต้องย้ำว่าเฉพาะในโรงแรมเท่านั้น เพราะเป็นการบริการนักท่องเที่ยวจริงๆ  ส่วนร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เป็นดุลยพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะประสานและหารือกับกระทรวงมหาดไทยต่อไป"

นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมติ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเดินทางและท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการยกเลิกระบบ Thailand Pass มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป จะส่งผลดีต่อการกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ทำให้มีจำนวนเดินทางเข้าไทยเพิ่มเป็น 25,000-30,000 คนต่อวัน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 20,000-25,000 คนต่อวัน

และ คาดการณ์ว่าตลอดปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่น้อยกว่า 7.5 ล้านคน แต่จะเร่งสปีดให้ได้ถึง 10 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซั่น ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ คาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1.5 ล้านคนต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 50,000 คน

“ส่วนการเสนอขอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นระยะเวลา 6 เดือน (1 ก.ค-31 ธ.ค. 65) และขยายเวลาระยะเวลาพำนักของ Tourist Visa จาก 30 วัน เป็น 45 วัน รวมทั้ง ฟรีวีซ่า ผ.30 เป็น ผ.45 และวีซ่าหน้าด่าน หรือ Visa on Arrival (VOA) จาก 15 วัน เป็น 45 วัน ตามข้อเสนอของเอกชน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเพิ่มวันพำนักในไทยนานขึ้นนั้น ยังไม่ได้นำเข้ามาหารือใน ศบค. ครั้งนี้”

มติ “ศบค.” ยกเลิก “ไทยแลนด์พาส”  ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย เริ่ม 1 ก.ค.65

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/business/1010552?anf=

 

covid

ศูนย์ข้อมูล COVID-19

มติ คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบ ปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เริ่ม 1 ก.ค. นี้ แบ่งระยะของโควิดเป็นโรคประจำถิ่น 4 ระยะ

- ระยะที่ 1 (12 มี.ค.-ต้น เม.ย.) เรียกว่า Combatting ต้องออกแรงกดตัวเลขไม่ให้สูงกว่านี้ เป็นระยะต่อสู้ เพื่อลดการระบาด ลดความรุนแรงลง จะมีมาตรการต่างๆ ออกไป การดำเนินการให้กักตัวลดลง

- ระยะที่ 2 (เม.ย.-พ.ค.) เรียกว่า Plateau คือ การคงระดับผู้ติดเชื้อไม่ให้สูงขึ้น ให้เป็นระนาบจนลดลงเรื่อยๆ

- ระยะที่ 3 (ปลาย พ.ค.-30 มิ.ย.) เรียกว่า Declining การลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงให้เหลือ 1,000-2,000 คน

- และอีกบวก 1 หรือระยะ 4 ตั้งแต่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป เรียกว่า Post pandemic คือ ออกจากโรคระบาด เข้าสู่โรคประจำถิ่น

ที่มา ไทยคู่ฟ้า


.......................
ปัญหาสังคมของอเมริกาวันนี้ หนักกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนใช่ไหม ถึงได้แปลกประหลาดจนถึงขั้นต้องระดมทหารมาหมื่นกว่านาย ดูแลพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่

พร้อมข่าวว่าในวันเดียวกัน ผู้ประท้วงมีแผนจะบุกยึดที่ทำการรัฐบาลในทุกรัฐ

ถ้าถามผม ขอบอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ อเมริกามีปัญหาสังคมที่รุนแรงมานานก่อนที่ผมจะไปเรียนเสียอีก

ผมเรียนที่แมสสาชูเสทส์ ในปี พ.ศ.2514 ก็ห้าสิบปีพอดี ได้เห็นและพอรู้ว่าปัญหามันมีมานานแล้ว เพียงแต่มันไม่มีหนทางที่จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง

สิ่งที่ผมเห็นอาจจะต่างกับสิ่งที่คนอื่นเห็น คือผมเห็นว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมอเมริกัน คือคนผิวขาวในอเมริกาเอง

มองอย่างผิวเผิน เราจะคิดว่าคนผิวขาวเป็นคนรวย ผิวดำจน ละตินจน คนขาวเหยียดคนดำ และมองว่าคนละตินต่ำชั้นกว่า

แต่ในความเป็นจริง คนขาวในอเมริกามีทั้งรวย ทั้งจน คนที่จนอาจจะมีมากถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดด้วยซ้ำไป สถิติเรื่องคนขาวจนมีเท่าไร น่าจะค้นได้ในเวป ใครสนใจก็ลองค้นหาดู

คนขาวเหล่านี้หลายคนเป็นชาวไร่ ชาวนา บรรพบุรุษเคยใช้คนดำเป็นทาส แต่วันนี้ทาสไม่มี ต้องทำกสิกรรมเอง หลายคนยากจน มีความเป็นอยู่แร้นแค้น

ปัจจุบันคนขาวจำนวนมากเป็นกรรมกรในงานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรือเป็นคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นพนักงานในร้านอาหาร เก็บขยะ ทำงานปัดกวาดในสถานประกอบการต่างๆ

นี่คือกลุ่มคนที่ไม่พอใจกับการที่พวกเขาต้องอยู่ในสภาพลำบาก ทั้งที่เขาคิดว่าคนขาวคือเจ้าของประเทศ

คนละตินอเมริกันเข้ามาแย่งงานระดับล่าง ทำให้คนขาวหลายคนหางานยาก

คนดำที่เคยเป็นทาส ก็กลับมาเป็นคนที่มีสิทธิ์เท่าเทียมตามกฏหมาย และสามารถหากินแข่งได้

คนขาวที่ยากจนหลายคนจึงตั้งข้อรังเกียจทางสังคม คุกคามทั้งทางตรง ทางอ้อมต่อคนผิวสี

คนขาวเหล่านี้แหละที่เป็นพลังกดดันเงียบ บ่งเพาะความไม่พอใจนานหลายสิบปี จนวันหนึ่งก็ระเบิดออกมา

พวกเขาคือคนจนตัวจริง ที่ไม่มีใครเหลียวแล

อเมริกาเป็นประเทศสุดโต่งที่ป้ญหาหลายอย่างถูกเก็บไว้ใต้พรม แต่ไม่ได้แปลว่าปัญหามันไม่มี

ผมไปเรียนเขียนหนังสือ ในโรงเรียนที่เข้าได้ยาก ก็จะมีเด็กผิวขาวร่วมสถาบันบางคน ถามว่า เป็นคนไทยเข้ามาเรียนที่นี่ได้อย่างไร ใครรับ ที่นี่คนเรียนต้องมีเงินจ่ายค่าเรียน และต้องไม่โง่

เป็นคนไทยได้อยู่โรงเรียนดี ก็โดนเด็กรวยดูถูก อย่างไม่เกรงใจ เด็กผิวดำจนๆที่ได้รับทุนมาเรียนที่นี่ยิ่งโดนดูถูกยิ่งกว่า

ส่วนเด็กขาวจนๆที่อยู่ในสลัม เรียนในโรงเรียนที่สิ่งแวดล้อมชวนให้สยองขวัญ แต่ละวันของพวกเขาคือการต่อสู้เพื่ออยู่รอด เพื่ออาหารมื้อต่อไป เพื่อเลี่ยงพวกติดยาที่มาข่มขู่ ชวนให้ช่วยขายยาทุกเย็นที่เดินกล้บบ้าน

นี่คือสองโลกในอเมริกา ฟ้ากับเหว ที่เพียงแต่รอวันระเบิด

เมื่อมีใครยื่นมือเข้ามาช่วย ไม่ว่ามันจะเป็นมือเทวดา มือมาร มือโง่ หรือมือฉลาด คนขาวที่จนก็พร้อมจะจับมือนั้น

นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเลือกผู้นำที่พร้อมจะช่วยพวกเขา

เมื่อมีคนด่าว่า ไปเลือกผู้นำบ้าๆทำไม พวกเขาก็จะถามกลับว่า แล้วไอ้คนไม่บ้าทำไมมันไม่เคยคิดมาช่วยพวกเขา

ทำอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง....

เขาหมายถึงว่าในประเทศ เขาต้องการให้คนขาวมีอำนาจ มีอิทธิพลเหนือคนผิวสีอื่นเหมือนสมัยทาส ส่วนเรื่องนอกประเทศ เขาต้องการให้อเมริกาเป็นผู้มีอำนาจเหนือทุกประเทศในโลก

การแสดงกิริยาหยาบคาย บุกรุกเข้าในอาคารรัฐสภา ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง

มันคือการแสดงความไม่พอใจและความอัดอั้นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เพิ่งมาระเบิดในวันนี้

ความคิดว่าคนขาวคือคนเหนือชั้นกว่าคนอื่น เป็นความคิด ความรู้สึกเก่ามากๆ ไม่ใช่ของใหม่

พวกเขาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นไปตามแนวทางที่เขาต้องการ นี่คือความคิดย้อนยุค ไม่ใช่ล้ำยุค

แต่คนขาวอีกครึ่งประเทศ ไม่เห็นด้วย
เขาเห็นว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับและแก้ปัญหาตามยุค ไม่ใช่พาสังคมย้อนกลับไปเหมือนสมัยร้อยปีก่อน

เช่นเดียวกับคนดำ คนละติน คนเอเซีย ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าย้อนกลับไปก็เท่ากับยอมให้คนขาวกลับมากดขี่คนดำเหมือนเดิม

คนขาวจน เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ต้องการสิทธิต่างๆที่เขาคิดว่าคนขาวจนๆควรจะได้ เพื่อให้สังคมดีขึ้นตามแบบของเขา

ผมเป็นนักข่าวมาหลายปี เห็นสัจธรรมว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน แม้จะเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนเจว็ด เปลี่ยนหัวโขน กี่หัวมันก็ไม่แก้ปัญหา เปลี่ยนแล้วสังคมก็เป็นสังคังเหมือนเดิม

คนขาวจนนั่นแหละคือคนต้องเปลี่ยน ต้องปรับให้ความคิดความอ่านตรงกับยุคสมัย และเปิดกว้างให้ตัวเองยอมเจ็บปวดบ้าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่มันจะเป็นไปได้หรือ เพราะการเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงนั้นง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นยาก

เปลี่ยนเจว็ด ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น เปลี่ยนคนเอาเจว็ดมาวางนั่นแหละ ถึงจะจบ

ม.ล.สิทธิไชย ไชยันต์
มกราคม 2564

 

การระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ไม่เพียงส่งผลกระทบในด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับสังคมและเศรษฐกิจด้วย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อเข้าสู่กระบวนการควบคุมการแพร่ระบาด หลายมาตรการกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ ความมั่นคงทางอาหาร กลไกการรับมือ การศึกษา ไปจนถึงสุขภาพ

ทั้งนี้ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้ร่วมกับ UNICEF Thailand และ Gallup Poll ทำการสำรวจครัวเรือนและความยากจนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

โดยเป็นการสำรวจทางโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.-15 มิ.ย.2564 จากประชาชนที่มีอายุเกิน 18 ปี จำนวน 2,000 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 50% ได้รับผลกระทบด้านการงาน บางคนต้องออกจากงาน หยุดงานชั่วคราว ถูกลดชั่วโมงทำงาน หรือได้รับค่าตอบแทนที่น้อยลง และครัวเรือนที่ให้สัมภาษณ์กว่า 70% มีรายได้ลดลงตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 ขณะเดียวกันการทำเกษตรกรรมและประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่เกษตรกรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากรายได้ที่ลดลง ประมาณ 50% มีรายได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง

ส่วนประเด็นด้านการศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 57% บ่งชี้ว่าเด็กในครัวเรือนประสบปัญหาด้านการเรียน เด็กในพื้นที่ชนบทและครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ มีแนวโน้มว่าจะมีอุปสรรคด้านการเข้าถึงอุปกรณ์ในการเรียนสูงกว่า ขณะที่ด้านสุขภาพ พบอีกว่า ครัวเรือนประมาณ 1 ใน 3 ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ไม่สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้ เนื่องจากกังวลเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 และ ณ เวลาที่ได้ทำการสำรวจนี้ ระบุว่า ความกังวลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้ประชาชนลังเลไม่กล้าฉีดวัคซีน โดยกลุ่มที่มีการศึกษาไม่สูง มีรายได้ต่ำ และกลุ่มเยาวชนกว่า 36% ไม่มีแผนจะเข้ารับการฉีดวัคซีน

ส่วนในด้านความคุ้มครองทางสังคมนั้น พบว่า ครัวเรือนกว่า 80% ได้รับประโยชน์จากโครงการช่วยเหลือในสภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลที่เริ่มในปี 2563 โดยคิดเป็นสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และผู้ที่มีรายได้ปรับลดลงอย่างรุนแรงประมาณ 90% ขณะที่สัดส่วนผู้ขอรับประโยชน์จากสวัสดิการสังคมในปี 2563 เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2562

โดยพบว่า การดำเนินมาตรการภาครัฐที่ผ่านมาช่วยลดผลกระทบได้มาก เพราะสามารถครอบคลุมและเข้าถึงกลุ่มเปราะบางได้ถึง 80% ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของคนยากจนเพิ่มขึ้นในระดับต่ำ จาก 6.2% ในปี 2562 เป็น 6.4% ในปีที่ผ่านมา แต่!! หากไม่มีการดำเนินมาตรการภาครัฐก็มีโอกาสที่คนยากจนในประเทศไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 7.4%

ขณะที่ กระทรวงการคลังระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการเยียวยาประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ไปเกือบ 1 ล้านล้านบาทแล้ว โดยมีประชาชนที่อยู่ในระบบสวัสดิการราว 44 ล้านคน ส่วนทิศทางการดำเนินการในระยะต่อไปจะมีการจัดสวัสดิการให้กลุ่มคนเปราะบาง การนำ Big Data มาใช้ในการออกแบบนโยบายให้เหมาะสมกับกลุ่มคนและพื้นที่ การเชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ การลดบทบาทการเยียวยา แต่เพิ่มบทบาทการฟื้นฟูและกระตุ้นการบริโภค ภายใต้การดำเนินการตามกรอบวินัยทางการคลัง

ขณะที่ ภาคเอกชนอย่างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่า ระบบสวัสดิการไม่ใช่เรื่องการสงเคราะห์ แต่เป็นระบบที่จะช่วยการพัฒนาประเทศโดยใช้คนเป็นศูนย์กลาง ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณให้เหมาะสมกับภารกิจ โดยลดการใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจ แล้วเพิ่มด้านสังคม นำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่นำไปลงทุนผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันกับภาคเอกชน

ต้องยอมรับว่า “สถานการณ์การระบาดของโควิด-19” ส่งผลกระทบกับรายได้ของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยที่ผ่านมาเวิลด์แบงก์ได้เคยทำการประเมินว่า นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ในปี 2563 คนไทยยากจนเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 ล้านคน ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะมีคนไทยที่มีความยากจนเพิ่มขึ้นอีก 1.7 แสนคน การเร่งแก้ปัญหาในทุกมิติจากทุกภาคส่วนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะด้านสวัสดิการทางสังคมอย่างเพียงพอกับความต้องการ ตรงจุด ตรงเป้าหมาย รวมถึงการเร่งเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการศึกษา ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มช่องทางในการมีงานทำ การเข้าถึงสินเชื่อในระบบและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นอกจากจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนานแล้ว ยังอาจจะเป็นการช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย.

ครองขวัญ รอดหมวน

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/columnist-people/25319/

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ

กิจกรรม

เนื้อหาที่เปิดอ่าน
2764171

มี 68 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

เกี่ยวกับคุกกี้บนเว็บไซด์นี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา

นโยบายใช้งานคุกกี้