Feb 14, 2020 ด่วน! เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้มาถึงประเทศไทย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2664 ตรวจพบผู้ป่วยโรคระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์เหมือนอย่างที่พบใน ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่วนับเป็นผู้ป่วยโรคระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์รายเเรกของประเทศไทย ผู้ป่วยคนดังกล่าวเป็นคนไทยซึ่งเดินทางมาจากประเทศเเทนซาเนีย มีอายุ 41 ปี ผู้ป่วยชายคนนี้เดินทางกลับมาจากประเทศแทนซาเนีย เมื่อ 29 มกราคม 2564 โดยมีโรคประจำตัว คือโรคหอบหืด ความดันโลหิตสูง และมีน้ำหนักตัวมากเกินไปจากการตรวจสอบเชิงลึก พบว่าผู้ป่วยชายคนไทยวัย 41 ปี คนดังกล่าวเดินทางไปรับซื้อพลอยที่ประเทศแทนซาเนีย เป็นเวลานาน 2 เดือน ระหว่างที่อยู่ในประเทศแทนซาเนีย ผู้ป่วยรายนี้ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง โดยผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย เนื่องจากว่าไม่มีเคสผู้ป่วยในประเทศแทนซาเนีย

สำหรับไทม์ไลน์ของผู้ป่วยมีดังนี้

29 มกราคม: ผู้ป่วยคนไทยรายนี้เดินทางจากประเทศแทนซาเนีย โดยมาต่อเครื่องบินที่ประเทศเอธิโอเปีย จากนั้นเดินทางถึงเมืองไทย ทำการคัดกรองอาการป่วย ณ ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ พบว่าไม่มีไข้และอาการป่วย จึงเดินทางไปกักตัวใน State Quarantine

3 กุมภาพันธ์: ทำการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ครั้งที่ 1 พบผลเลือดเป็นบวก

4 กุมภาพันธ์: ถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่ รพ.ของรัฐ โดยผู้ป่วยให้ประวัติว่ามีไข้ต่ำๆ ไอ รับไว้รักษาในห้องแยก

5 กุมภาพันธ์: ทีมสอบสวนโรคส่งตัวอย่างผลตรวจ โดยระบุสายพันธุ์ของโควิด-19 เนื่องจากผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา เพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์ใหม่ ณ ศูนย์วิทยศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย (EID-TRC)

12 กุมภาพันธ์: ผลการตรวจสายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 (Whole Genome Sequencing)โดยศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย (EID-TRC) พบเป็นโรคระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์ของแอฟริกาใต้ South African Variant (98.64% coverage)

13 กุมภาพันธ์: ทีมสอบสวนโรคในพื้นที่และกรมควบคุมโรค ลงประเมินการสัมผัสผู้ป่วยของเจ้าหน้าที่ ณ State Quarantine และ โรงพยาบาล พบว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินกิจกรรมอย่างรัดกุม ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจ PCR ในเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่ใน State Quarantine รวม 41 ราย (โรงพยาบาล 31 ราย State Quarantine 10 ราย) ให้ผลเป็นลบทั้งหมด

โรคระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์จากประเทศแอฟริกาใต้ ได้หลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเทศแอฟริกาใต้ นาย Zweli Mkhize เปิดเผยว่า มีคำสั่งยุติโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ด้วยวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซเนก้าและมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดในประเทศแอฟริกาใต้ (วัคซีนดังกล่าวนั้น ประเทศไทยสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวน 2 ล้านโดสเพื่อฉีดให้กับประชาชนด้วย) สาเหตุจากผลการฉีดวัคซีนดังกล่าวให้กับอาสาสมัครที่รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธ์ุของแอฟริกาใต้ในกลุ่มที่แสดงอาการป่วยของโรคปานกลาง

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข แอฟริกาใต้ กล่าวต่อไปว่ารัฐบาลจะรอคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อตัดสินใจที่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยโรคระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์ที่มีรหัสพันธุกรรม 501Y.V2 ซึ่งเป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้ และถูกพบในต่างประเทศมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบฉีดวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซเนก้าและมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เทียบกับการฉีดวัคซีนหลอกในกลุ่มอาสาสมัครรับการทดลองในแอฟริกาใต้ พบว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของที่ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซเนก้าและมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด มีผลป้องกันเหลือเพียง 22% ในกลุ่มที่มีอาการป่วยปานกลางหรือป่วยเบาบาง ซึ่งถือได้ว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกัน และลดการแพร่กระจายเชื้อต่ำมาก เมื่อเทียบกับเกณฑ์การพิจารณาว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต้องมีประสิทธิภาพตั้งแต่ 50% ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม วัคซีนดังกล่าวไม่ได้ถูกประเมินถึงความสามารถในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากการทดสอบอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นซึ่งไม่ได้พิจารณาว่าเป็นกลุ่มที่มีอาการป่วยรุนแรง

ทั้งนี้ รัฐบาลแอฟริกาใต้ ประกาศว่ามีความจำเป็นต้องขายวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้าไปให้ประเทศอื่นๆที่สนใจอยากนำไปฉีดให้กับประชาชน หากประเทศใดสนใจที่จะรับวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 แอสตร้าเซเนก้า จำนวน 1 ล้านโดส สามารถติดต่อกับรัฐบาลแอฟริกาใต้ได้ทันที

#ไทย #แอฟริกาใต้ #ไวรัสกลายพันธุ์ #โควิด19กลายพันธุ์ #วัคซีน #แอสตร้าเซเนก้า #โควิด19 #covid19 #BTimes

รายงานผลการฉีดวัคซีนของอิสราเอล ข่าวดีของชาวโลก

อิสราเอลเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วมากที่สุดในโลก คือราว55% สองเข็ม ผลที่เกิดขึ้นตอบคำถามที่เคยมีข้อสงสัยเรื่องวัคซีนทั้งหมด

หนึ่ง วัคซีนสามารถหยุดยั้งการระบาดได้หรือไม่ หากมีสถิติว่าจำนวนผู้ได้รับวัคซีนไปแล้วมีเปอร์เซนต์การติดเชื้อโควิตต่ำ แสดงว่าวัคซีนป้องกันการติดเชื้อได้ สามารถหยุดการระบาดในประเทศได้ เมื่อไม่มีผู้ติดเชื้อจะระบาดได้อย่างไร

จึงไม่ต้องล้อคดาวน์ ธุรกิจ เป็นปกติ คนไปท่องเที่ยวได้เพราะประชาชนอิสราเอลไม่มีเชื้อโควิต เศรษฐกิจจะฟื้น คาดกันว่าGDPจะพุ่งหลาย%

สอง คนที่ฉีดวัคซีน ล้วจะปล่อยเชื้อได้หรือไม่ ก็ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ติดเชื้อจะเอาเชื้อที่ไหนไปปล่อยล่ะ as simple as that จึงเรียกว่ามีภผผูมิคุ้มกันหมู่ ไม่ต้องกลัวกันไปมา

สาม วัคซีนป้องกันโรคได้ไหม วัคซีนป้องกันไม่ให้ เชื้อเ้าไปทำร้ายร่างกายได้ จึงป้องกันโรคได้

สี่ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ติดเชื้อที่จะป่วยอาการหนักจึงมีน้อย หมอสบาย จะได้เอางบไปฟื้นเศรษฐกิจ

ผลการศึกษา

จากจำนวนผู้ได้รับวัคซีนจำนวน 428000 คน สองเข็ม มีผู้ติดเชื้อเพียง 63คน คิดเป็น .00015% นี่คือตัวอย่างsample

ทั้งประเทศฉีดไป5ล้านกว่า สองเข็ม 21%ของประชากร หนึ่งเข็ม 37% ของประชากร บลูมเบอร์ก

เอาว่า เดาเอา ว่าคนที่ติดเชื้อได้ 63คน จะป่วยเข้า รพ แค่10คน หมอเอาอยู่

ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนมีเชื้อจะหมดไปจากประเทศอิสราเอล เพราะมันเป็น super negative growh

คำถาม
คนที่มีเชื้อแล้ว ไม่แสดงอาการ รับวัคซีนแล้วเชื้อจะหายไป ไหม เดาว่า ถ้าพ่นให้คนอื่นที่มีเกราะ ก็จะตายไปเองหาhostไม่ได้ เชื้ออยู่ได้สองสัปดาห์

ดังนั้น รีบหาวัคซีนมาฉีดป้องกันตัวเอง ป้องกันเศรษฐกิจซะครับ

วัคซีนที่ดีคือทางออก เศรษฐกิจจะฟื้น จะไม่จน ติดต่อกันได้

โอกาสจีบกันจะเพิ่มฮะ

อิสราเอลใช้ไฟเซอร์

เรียนเศรษฐศาสตร์ก็ตอบได้ด้วยภาษาธรรมดาๆ

ขอบคุณalai na สำหรับข้อมูล

ผมว่านายกควรส่งทีมแพทย์ไปอิสราเอล ถามทุกคำถามที่สงสัย

ทำงาน UN มาร่วมสามสิบปี ผมไปถามทุกประเทศแหละ

โลกกว้างใหญ่ คนในโลกล้วนมีสติปัญญาน่าสนใจ คุยสนุก เบียร์ต้องไม่ขาด

นายกส่งผมไปกับทีมแพทย์ก็ได้นะครับ ผมมีเพื่อนแถวนั้นเยอะไปในนาม กต ก็ได้ ผมเคยเป็นที่ปรึกษาให้ กต หลายเที่ยว งานมิสชั่นแบบนี้แหละ

เดาว่าตอนนี้ทุกสถานทูตมีทีมแบบนี้ไปกันเยอะ ไปเอาข้อมูล

UN ทุกปี

ไปอิสราเอลแล้วแวะไปคุยกับเอมิเรตส์ บาเรนห์ อังกฤษด้วย

อย่านั่งกันอยู่แต่ในห้องประชุม วังเวงมาก

รีบนะครับ

ค่าฉีดวัคซีนสามร้อย ถูกกว่าค่ารวจคนคนละ1600แน่นอน

คนไทยจะได้รวย

ยอมทุ่มสองหมื่นล้าน

วัคซีนคือยุทธปัจจัยที่สำคัญยามนี้

สมเกียรติ โอสถสภา
๖ กพ. ๒๕๖๔

https://www.facebook.com/100001380665898/posts/3899385820117402/

14 ก.พ.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือประชาชนเต็มที่ โดยเฉพาะการดูแลไม่ให้เกิดปัญหาข้อมูลเครดิต การผิดนัดชำระ จนกระทบต่อการประกอบอาชีพในระยะยาว สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

 

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมกับกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อ กว่า 22 แห่ง จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เชิญชวนให้ผู้กำลังประสบปัญหาร่วมใช้บริการ โดยมีข้อเสนอผ่อนปรนสำหรับลูกหนี้ 3 กลุ่ม อาทิ

กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ NPL ที่มีคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีแล้ว มีข้อเสนอให้ชำระเฉพาะเงินต้น ไม่มีดอกเบี้ย โดยวางกรอบการชำระหนี้ไว้ 3 ระยะ คือภายใน 3 เดือน 3 ปี และ 5 ปี หากชำระได้ตามแผนก็จะยกดอกเบี้ยให้ลูกหนี้

กลุ่มที่ 2 ลูกหนี้ NPL ที่ยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือถูกฟ้องแล้ว เมื่อสมัครเข้าร่วมมหกรรมฯ จะมีการรับเรื่องเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ของศาล พร้อมข้อเสนอผ่อนชำระระยะยาว เช่น ภายใน 10 ปี เป็นต้น

และกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ขาดสภาพคล่องชั่วคราว ค้างชำระเกิน 3 เดือน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะช่วยแปรสภาพหนี้เป็นระยะยาว คิดดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประชาชนที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้สามารถเข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ฯ ดังกล่าวได้ ด้วยการลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 14 ก.พ.-14 เม.ย.64 ทางเว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรม กรมบังคับคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ซึ่งภายหลังการลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน 1 สัปดาห์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 1213
 

กดเข้าร่วมไกล่เกลี่ยหนี้ 

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/92957

 


12 ก.พ.64 - นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กรายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก 12 กุมภาพันธ์ 2564 มีเนื้อหาดังนี้
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 467,329 คน รวมแล้วตอนนี้ 108,249,339 คน ตายเพิ่มอีก 14,442 คน ยอดตายรวม 2,376,195 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 108,060 คน รวม 27,987,505 คน ตายเพิ่มอีก 3,988 คน ยอดตายรวม 486,435 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 9,582 คน รวม 10,880,413 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 54,742 คน รวม 9,713,909 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 15,038 คน รวม 4,027,748 คน
สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 13,494 คน รวม 3,998,655 คน กำลังจะแตะสี่ล้าน
อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่องแบบทรงตัว
เกาหลีใต้ และไทย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนฮ่องกง เวียดนาม เมียนมาร์ และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่จีน และออสเตรเลีย ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...คาดว่าเม็กซิโกจะทะลุสองล้านคนในอีก 4-5 วัน เป็นประเทศที่ 13 ของโลก...
ข่าวดีเมื่อวานนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัคซีน...


Novavax ซึ่งเป็นบริษัทวัคซีนอเมริกา ประเภท recombinant proteing ซึ่งเคยทำการวิจัยระยะที่สามและได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการถึง 95.6% และสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงได้ 100%
ได้มาทำการวิจัยในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์แพร่เร็ว รุนแรงมากกว่าเดิมคือ B.1.1.7 ซึ่งเคยวิเคราะห์ผลระหว่างการวิจัยแล้วสามารถป้องกันได้ 85.6% นั้น ล่าสุดทำการวิเคราะห์ผลครั้งสุดท้ายพบว่าสามารถมีสรรพคุณป้องกันได้สูงถึง 89.3%
การวิจัยในสหราชอาณาจักรนี้ทำใน 15,000 คน อายุ 18-84 ปี โดย 27% เป็นผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้มีวัคซีนที่ศึกษาผลต่อสายพันธุ์ใหม่อย่างแอฟริกาใต้ B.1.351 อยู่ 4 ชนิดคือ Pfizer/Biontech พบว่า neutralizing antibody ลดลงราว 0.81-1.46 เท่า, Moderna ลดลงราว 6 เท่า, Johnson&Johnson ป้องกันได้ราว 57% และล่าสุดวัคซีนของ Novavax ได้ทำการศึกษาผลต่อสายพันธุ์ใหม่อย่างแอฟริกาใต้เช่นกัน โดยพบว่าป้องกันได้ 60%
คาดว่าวัคซีน Novavax นี้จะทำการขึ้นทะเบียนทั้งในอังกฤษ และสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศอื่นๆ โดยมีกำลังการผลิต 2,000 ล้านโดสต่อปีจาก 8 โรงงานใน 7 ประเทศ
ถือเป็นข่าวดี ที่โลกเรามีวัคซีนหลายชนิดตอนนี้มีสรรพคุณสูงและมีความปลอดภัย ต่างได้รับการจัดซื้อจัดหาไปใช้กันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer/Biontech, Moderna, Johnson&Johnson และล่าสุดคือ Novavax
ดังนั้นการเลือกใช้วัคซีน จึงควรดูรายละเอียดเชิงลึก ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะต้องฉีดเข้าไปในร่างกายของเรา เราจึงต้องซักถามถึงสรรพคุณ ความปลอดภัย คุณภาพการศึกษาวิจัยที่ทำมาว่าได้มาตรฐานหรือไม่ และข้อมูลเกี่ยวกับความครอบคลุมถึงสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ แพร่ง่ายขึ้น รุนแรงขึ้น ว่าสามารถป้องกันได้หรือไม่
วิเคราะห์สถานการณ์ของไทย...
ยังยืนยันว่าการระบาดยังมีอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ไม่ปลอดภัย
จำเป็นต้องใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตร
ลดละเลี่ยงการกินดื่มในร้าน ซื้อกลับจะดีที่สุด
ลดละเลี่ยงการตะลอนท่องเที่ยว เดินทาง พบปะสังสรรค์กันเป็นกลุ่ม
และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายคล้ายหวัด ควรรีบไปตรวจรักษา เพราะอาจเป็นโควิดได้
สัจธรรมของโลกที่พิสูจน์ให้เราเห็นมาตลอดคือ...
หนึ่ง ไม่ตรวจก็ไม่เจอ ตรวจน้อยก็เจอน้อย ตรวจมากก็มีโอกาสเจอมาก...
สอง ปัญหาที่พบบ่อยตลอดมาคือ บ้านมักถูกกินจนผุพังโดยปลวก หากไม่ได้ป้องกันให้ดี แต่การจะปกป้องบ้านไม่ให้พังได้นั้น อาจต้องให้คำจำกัดความของ"ปลวก"ให้ดี เพราะหากไปมองมดว่าเป็นปลวก ก็จะจัดการปัญหาไม่ได้
บางสถานการณ์"ฝูงปลวก"อาจสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ไม่ได้รับการจัดการ จึงอาจทำให้บ้านเรือนพังเสียหายจนอาจซ่อมแซมลำบาก
เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ปีนี้อาจต่างจากปีก่อนๆ ขออวยพรให้ทุกท่านที่มีจิตใจดี จงมีกำลังกาย กำลังใจ ต่อสู้ฝ่าฟันโรคระบาดนี้อย่างปลอดภัยไปด้วยกัน ขอให้มีสติ และใช้ความเป็นเหตุเป็นผล ใช้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นแสงส่องทาง ตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
ด้วยรักต่อทุกคน

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/92783

"หมอยง" ชี้ 1 ปี สถานการณ์โควิดทั่วโลกกำลังโผล่จากหุบเหว

 

"หมอยง" ชี้ ทั่วโลกสู้กับโควิด-19 มาเป็นเวลา 1 ปี ได้ผ่านพ้นจากหุบเหวและกำลังจะวิ่งขึ้นแล้ว หลังจากใช้มาตรการควบคุมโรคด้วยวิถีชีวิตใหม่-มีวัคซีนมาเสริม

 

วันนี้ 11 ก.พ. 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก "Yong Poovorawan" ระบุว่า โควิด-19 ทั่วโลกกำลังโผล่จากหุบเหว

 

จากการฟันฝ่ากับโควิด-19 มาเป็นเวลา 1 ปี ได้ผ่านพ้นจากหุบเหว และกำลังจะวิ่งขึ้นแล้ว หลังจากที่มาตรการในการควบคุมโรคด้วยวิถีชีวิตใหม่ และมีวัคซีนมาเสริม ตัวเลขของผู้ป่วยทั่วโลกได้สูงสุดในเดือนธันวาคม ก่อนปีใหม่ มีการป่วยสูงสุดวันละ 7 แสนราย ขณะนี้ผู้ป่วยต่อวันได้ลดลงมาก ตัวเลขผู้ป่วยต่อวันเหลือเพียง 3 แสนกว่าแล้ว แต่ของประเทศไทยอย่าให้เป็นขาขึ้นก็แล้วกัน

มีการพัฒนาวัคซีนมาใช้มากกว่า 10 ตำรับ และมีอัตราการให้วัคซีนพุ่งเป็นก้าวกระโดด ตัวเลขผู้ป่วยในประเทศตะวันตก เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องสู้กับไวรัสก็คือ ไวรัสพยายามหลีกหนีภูมิต้านทานของวัคซีน จะเห็นได้ว่ามีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น สายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล

สายพันธุ์แอฟริกาใต้ และบราซิล เก่งในการหลบหลีกวัคซีนได้ดี ล่าสุดมีการศึกษาขนาดเล็กในแอฟริกาใต้ออกมาว่า ประสิทธิผลของวัคซีน AstraZeneca ลดลงเหลือต่ำมาก อย่าบอกตัวเลขเลยนะ เป็นเหตุให้แอฟริกาใต้ได้รับวัคซีนไปแล้ว ระงับการฉีดวัคซีนไปก่อน รอข้อมูลเพิ่มวัคซีนที่ผลิตจำนวนมาก ตอนนี้ถ้าไม่รีบขาย ต่อไปก็จะต้องรีบวิ่งมาหาเราเองแน่นอน

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/458004?adz=

 

ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดโยงตลาดสด-ตลาดนัด จังหวัดใดเจอเยอะสุด คนขาย คนซื้อใครติดเยอะกว่า

ละเอียดยิบ เปิดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 โยงตลาดสด-ตลาดนัด จังหวัดใดเจอเยอะสุด คนขาย คนซื้อใครติดเยอะกว่า ซึ่งเป็นข้อมูลสถานการณ์ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 8 กุมภาพันธ์ 2564

 

สรุปข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีประวัติเชื่อมโยงกับตลาด ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 8 กุมภาพันธ์ 2564 โดยพบผู้ติดเชื้อโควิดเชื่อมโยงกับตลาดจำนวน 1,815 ราย กระจายใน 36 จังหวัด

 

สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เชื่อมโยงกับตลาดจำนวน 1,815 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อจำแนกตามประเภทการสัมผัส ดังนี้

 

- ผู้ขาย ร้อยละ 90.19%

- ผู้ซื้อ ร้อยละ 9.81%

 

แบ่งเป็นในตลาดสดถึง 96.86% และตลาดนัดอยู่ที่ 3.14% 

 

จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด 5 อันดับแรกจำแนกตามประเภทตลาดและประเภทผู้ป่วย

 

1.สมุทรสาคร ติดเชื้อจากตลาดสด 1,496 ราย ติดเชื้อจากตลาดนัด 46 ราย แบ่งเป็นผู้ขาย 1,456 ราย ผู้ซื้อ 86 ราย

 

2.กทม. ติดเชื้อจากตลาดสด 71 ราย ติดเชื้อจากตลาดนัด 6 ราย แบ่งเป็นผู้ขาย 42 ราย ผู้ซื้อ 35 ราย

3.นนทบุรี ติดเชื้อจากตลาดสด 51 ราย ติดเชื้อจากตลาดนัด 1 ราย แบ่งเป็นผู้ขาย 37 ราย ผู้ซื้อ 15 ราย

 

4.ปทุมธานี ติดเชื้อจากตลาดสด 26 ราย ติดเชื้อจากตลาดนัด 1 ราย แบ่งเป็นผู้ขาย 17 ราย ผู้ซื้อ 10 ราย

 

5.สมุทรปราการ ติดเชื้อจากตลาดสด 23 ราย ติดเชื้อจากตลาดนัด 1 ราย แบ่งเป็นผู้ขาย 16 ราย ผู้ซื้อ 8 ราย

 

ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อเป็นชาวสัญชาติเมียนมาร้อยละ 88.25% ส่วนใหญ่เป็นแผงขายของสด และมีลูกจ้างเมียนมา

 

ส่วนจังหวัดรองลงมา 6-10 ประกอบด้วย เพชรบุรี 15 ราย , ฉะเชิงเทรา 8 ราย , ชลบุรี-สมุทรสงคราม 7 ราย , นครปฐม 6 ราย , ชัยภูมิ-นครราชสีมา-ราชบุรี 4 ราย

 

โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีประวัติเชื่อมโยงกับตลาด มีดังต่อไปนี้ 

 

- ไม่มีการดำเนินการ DMHTT อย่างเคร่งครัด คือ แผงขายแออัดไม่มีระยะห่าง , ไม่สวมหน้ากากอนามัย , สวมหน้ากากอนามัยเป็นบางครั้ง ผู้ขายตะโกนพูดคุยเสียงดัง , ไม่มีการวัดอุณหภูมิก่อนเข้าตลาด , แม่ค้าไม่ค่อยล้างมือ 

 

- ขาดความสม่ำเสมอในการทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วม เช่น ลูกบิดประตู เป็นต้น 

 

- ไม่มีที่กั้นระหว่างร้านค้าด้วยกันเอง (ติดเชื้อแผงข้างๆกัน) ระหว่างลูกค้า

- ตลาดนัด : มีการหมุนเวียนของแม่ค้า กระจายไปหลายตลาด

 

- ตลาดสด : แม่ค้าเดินทางไปซื้อของจากหลายแหล่ง 

 

ข้อเสนอแนะ 

 

1.ทุกตลาดต้องดำเนินมาตรการ DMHTT อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการใส่หน้ากากฯ อย่างถูกต้องตลอดเวลาในกลุ่มผู้ขาย ลูกค้า และลูกจ้างแรงงานต่างด้าว  

 

2.ถ้าไม่สามารถเว้นระยะห่างแผงขายได้ ควรมีฉากกั้น โดยเฉพาะแผงขายของสด

 

3.งดการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวอย่างเคร่งครัด 

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/457954?adz=

 

 

100% ทำไมไม่ใช้การตรวจเลือดในการตรวจเชิงรุก โควิด-19 หมอธีระวัฒน์ แนะผลบวกค่อยแยงจมูก

หมอธีระวัฒน์ ชี้ การคัดกรองและวินิจฉัยการติดเชื้อ โควิด-19 ด้วยการตรวจเลือดจากวิธีมาตรฐาน 100% ทำไมไม่ใช้ในการตรวจเชิงรุก แนะผลบวกค่อยแยงจมูก แน่นอน ราคาถูกกว่า
 

10 กุมภาพันธ์ 2564 หมอธีระวัฒน์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ย้ำ ควรใช้การคัดกรองและวินิจฉัยการติดเชื้อ โควิด-19 ด้วยการ ตรวจเลือด จากวิธีมาตรฐาน ถ้าเลือดเป็นบวกค่อยตรวจต่อว่ามีเชื้อปล่อยออกมาหรือไม่ด้วยการ แยงจมูก สงสัย ทำไมไม่ใช้การตรวจเลือดในการตรวจเชิงรุก แน่นอน ราคาถูกกว่า

หมอธีระวัฒน์ ระบุ ตอนนี้ใช้ตรวจเลือดหาแอนติบอดี ว่าติดเชื้อหรือไม่ที่สมุทรสาคร ตามข่าว 10/2/64 ศูนย์โรคอุบัติใหม่ของเราที่กาชาด เสนอตั้งแต่ มีนาคม 2563 ควรใช้การคัดกรองและวินิจฉัยการติดเชื้อด้วยการตรวจเลือดจากวิธีมาตรฐาน (Elisa) และถ้าเลือดเป็นบวก ค่อยตรวจต่อว่ามีเชื้อปล่อยออกมาหรือไม่ด้วยการ แยงจมูก การตรวจด้วยวิธีมาตรฐานนี้ มีความไว 100% และ จำเพาะ 100% ทั้งนี้ เนื่องจากใช้ recombinant protein RBD และ ACE2 ในการตรวจ IgM IgG และ ภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้ neutralizing antibody การแยงจมูกหาเชื้อ ด้วยกระบวนการ PCR จะไม่พบเชื้อทั้งหมดทุกคน ถ้าแยงครั้งเดียว ดังคนป่วยหลายราย มีอาการ ปอดบวมด้วยซ้ำ แยงจมูก ไม่เจอ สองครั้ง มาเจอครั้งที่สาม เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่รับทราบกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ หมอธีระวัฒน์ ยังระบุอีกว่า แต่ตรวจเลือด เป็นบวกตั้งแต่ต้น ข้อมูลจากการเจาะเลือด พิสูจน์แล้วและกำลังจะตีพิมพ์ในวารสาร PlosOne ทั้งนี้ การตรวจของเราที่กาชาดสามารถบอกได้ตั้งแต่ต้น ที่มีเชื้อปล่อยออกมา ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีก็ตาม และการตรวจที่มีการติดเชื้อที่ในจุฬาฯ ขณะนี้ การหาเชื้อโดยแยงจมูก กับการตรวจเลือดของเราที่ศูนย์อุบัติใหม่กาชาดตรงกัน นั่นก็คือ ทำไมไม่ใช้การตรวจเลือดในการตรวจเชิงรุก ถ้าพบว่า + ค่อยพิสูจน์ว่ามีเชื้อปล่อยหรือไม่โดยการแยงจมูกต่อก็จบ และแน่นอน ราคาถูกกว่า ทั้งนี้ ยังไม่ได้พูดถึง rapid test ปลายนิ้ว การตรวจเลือดมาตรฐาน 3 ชั่วโมง ยังต้องเรียนให้ทราบมาหนึ่งปีแล้ว ตรวจ ชุดใหญ่ 3 ตัว 1,000 บาท IgM IgG ราคาถูกกว่ามาก 400 บาท

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/457930?adz=

 


.......................
ปัญหาสังคมของอเมริกาวันนี้ หนักกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนใช่ไหม ถึงได้แปลกประหลาดจนถึงขั้นต้องระดมทหารมาหมื่นกว่านาย ดูแลพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่

พร้อมข่าวว่าในวันเดียวกัน ผู้ประท้วงมีแผนจะบุกยึดที่ทำการรัฐบาลในทุกรัฐ

ถ้าถามผม ขอบอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ อเมริกามีปัญหาสังคมที่รุนแรงมานานก่อนที่ผมจะไปเรียนเสียอีก

ผมเรียนที่แมสสาชูเสทส์ ในปี พ.ศ.2514 ก็ห้าสิบปีพอดี ได้เห็นและพอรู้ว่าปัญหามันมีมานานแล้ว เพียงแต่มันไม่มีหนทางที่จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง

สิ่งที่ผมเห็นอาจจะต่างกับสิ่งที่คนอื่นเห็น คือผมเห็นว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมอเมริกัน คือคนผิวขาวในอเมริกาเอง

มองอย่างผิวเผิน เราจะคิดว่าคนผิวขาวเป็นคนรวย ผิวดำจน ละตินจน คนขาวเหยียดคนดำ และมองว่าคนละตินต่ำชั้นกว่า

แต่ในความเป็นจริง คนขาวในอเมริกามีทั้งรวย ทั้งจน คนที่จนอาจจะมีมากถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดด้วยซ้ำไป สถิติเรื่องคนขาวจนมีเท่าไร น่าจะค้นได้ในเวป ใครสนใจก็ลองค้นหาดู

คนขาวเหล่านี้หลายคนเป็นชาวไร่ ชาวนา บรรพบุรุษเคยใช้คนดำเป็นทาส แต่วันนี้ทาสไม่มี ต้องทำกสิกรรมเอง หลายคนยากจน มีความเป็นอยู่แร้นแค้น

ปัจจุบันคนขาวจำนวนมากเป็นกรรมกรในงานก่อสร้าง งานเหมืองแร่ หรือเป็นคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นพนักงานในร้านอาหาร เก็บขยะ ทำงานปัดกวาดในสถานประกอบการต่างๆ

นี่คือกลุ่มคนที่ไม่พอใจกับการที่พวกเขาต้องอยู่ในสภาพลำบาก ทั้งที่เขาคิดว่าคนขาวคือเจ้าของประเทศ

คนละตินอเมริกันเข้ามาแย่งงานระดับล่าง ทำให้คนขาวหลายคนหางานยาก

คนดำที่เคยเป็นทาส ก็กลับมาเป็นคนที่มีสิทธิ์เท่าเทียมตามกฏหมาย และสามารถหากินแข่งได้

คนขาวที่ยากจนหลายคนจึงตั้งข้อรังเกียจทางสังคม คุกคามทั้งทางตรง ทางอ้อมต่อคนผิวสี

คนขาวเหล่านี้แหละที่เป็นพลังกดดันเงียบ บ่งเพาะความไม่พอใจนานหลายสิบปี จนวันหนึ่งก็ระเบิดออกมา

พวกเขาคือคนจนตัวจริง ที่ไม่มีใครเหลียวแล

อเมริกาเป็นประเทศสุดโต่งที่ป้ญหาหลายอย่างถูกเก็บไว้ใต้พรม แต่ไม่ได้แปลว่าปัญหามันไม่มี

ผมไปเรียนเขียนหนังสือ ในโรงเรียนที่เข้าได้ยาก ก็จะมีเด็กผิวขาวร่วมสถาบันบางคน ถามว่า เป็นคนไทยเข้ามาเรียนที่นี่ได้อย่างไร ใครรับ ที่นี่คนเรียนต้องมีเงินจ่ายค่าเรียน และต้องไม่โง่

เป็นคนไทยได้อยู่โรงเรียนดี ก็โดนเด็กรวยดูถูก อย่างไม่เกรงใจ เด็กผิวดำจนๆที่ได้รับทุนมาเรียนที่นี่ยิ่งโดนดูถูกยิ่งกว่า

ส่วนเด็กขาวจนๆที่อยู่ในสลัม เรียนในโรงเรียนที่สิ่งแวดล้อมชวนให้สยองขวัญ แต่ละวันของพวกเขาคือการต่อสู้เพื่ออยู่รอด เพื่ออาหารมื้อต่อไป เพื่อเลี่ยงพวกติดยาที่มาข่มขู่ ชวนให้ช่วยขายยาทุกเย็นที่เดินกล้บบ้าน

นี่คือสองโลกในอเมริกา ฟ้ากับเหว ที่เพียงแต่รอวันระเบิด

เมื่อมีใครยื่นมือเข้ามาช่วย ไม่ว่ามันจะเป็นมือเทวดา มือมาร มือโง่ หรือมือฉลาด คนขาวที่จนก็พร้อมจะจับมือนั้น

นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเลือกผู้นำที่พร้อมจะช่วยพวกเขา

เมื่อมีคนด่าว่า ไปเลือกผู้นำบ้าๆทำไม พวกเขาก็จะถามกลับว่า แล้วไอ้คนไม่บ้าทำไมมันไม่เคยคิดมาช่วยพวกเขา

ทำอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง....

เขาหมายถึงว่าในประเทศ เขาต้องการให้คนขาวมีอำนาจ มีอิทธิพลเหนือคนผิวสีอื่นเหมือนสมัยทาส ส่วนเรื่องนอกประเทศ เขาต้องการให้อเมริกาเป็นผู้มีอำนาจเหนือทุกประเทศในโลก

การแสดงกิริยาหยาบคาย บุกรุกเข้าในอาคารรัฐสภา ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง

มันคือการแสดงความไม่พอใจและความอัดอั้นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เพิ่งมาระเบิดในวันนี้

ความคิดว่าคนขาวคือคนเหนือชั้นกว่าคนอื่น เป็นความคิด ความรู้สึกเก่ามากๆ ไม่ใช่ของใหม่

พวกเขาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นไปตามแนวทางที่เขาต้องการ นี่คือความคิดย้อนยุค ไม่ใช่ล้ำยุค

แต่คนขาวอีกครึ่งประเทศ ไม่เห็นด้วย
เขาเห็นว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับและแก้ปัญหาตามยุค ไม่ใช่พาสังคมย้อนกลับไปเหมือนสมัยร้อยปีก่อน

เช่นเดียวกับคนดำ คนละติน คนเอเซีย ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าย้อนกลับไปก็เท่ากับยอมให้คนขาวกลับมากดขี่คนดำเหมือนเดิม

คนขาวจน เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ต้องการสิทธิต่างๆที่เขาคิดว่าคนขาวจนๆควรจะได้ เพื่อให้สังคมดีขึ้นตามแบบของเขา

ผมเป็นนักข่าวมาหลายปี เห็นสัจธรรมว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน แม้จะเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนเจว็ด เปลี่ยนหัวโขน กี่หัวมันก็ไม่แก้ปัญหา เปลี่ยนแล้วสังคมก็เป็นสังคังเหมือนเดิม

คนขาวจนนั่นแหละคือคนต้องเปลี่ยน ต้องปรับให้ความคิดความอ่านตรงกับยุคสมัย และเปิดกว้างให้ตัวเองยอมเจ็บปวดบ้าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่มันจะเป็นไปได้หรือ เพราะการเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงนั้นง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นยาก

เปลี่ยนเจว็ด ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น เปลี่ยนคนเอาเจว็ดมาวางนั่นแหละ ถึงจะจบ

ม.ล.สิทธิไชย ไชยันต์
มกราคม 2564


22 ม.ค.64 - รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพนต์ความเห็นรายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก 22 มกราคม 2564 มีเนื้อหาดังนี้
ตอนสายๆ จะทะลุ 98 ล้าน
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 757,932 คน รวมแล้วตอนนี้ 97,948,473 คน ตายเพิ่มอีก 16,145 คน ยอดตายรวม 2,095,787 คน
อเมริกา มียอดรวมเกิน 25 ล้านไปแล้ว เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 177,011 คน รวม 25,135,041 คน ตายเพิ่มอีก 3,844 คน ยอดตายรวม 418,772 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 14,788 คน รวม 10,625,420 คน
บราซิล ติดเพิ่มถึง 59,119 คน รวม 8,697,368 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 21,887 คน รวม 3,655,839 คน
สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 37,892 คน รวม 3,543,646 คน
อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
เมียนมาร์ เกาหลีใต้ ไทย และจีน ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนฮ่องกง ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่กัมพูชา และเวียดนามติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 445 คน ตายเพิ่มอีก 16 คน ตอนนี้ยอดรวม 136,166 คน ตายไป 3,013 คน อัตราตายตอนนี้ 2.2%...
วิเคราะห์สถานการณ์ไทยเรา...
ถัดจากนี้ไปเราคงเจอการติดเชื้อไปได้เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง กระจายแตกต่างกันไปในพื้นที่
คาดว่าพื้นที่ที่เคยระบาดหนัก จะยังคงมีโอกาสปะทุซ้ำได้มากกว่าที่อื่นๆ เนื่องจากไม่ได้ตรวจจนครบทุกคนจากข้อจำกัดเชิงวิธีการและทรัพยากร
รูปแบบการติดเชื้อจะมาได้ในทุกแบบ ตั้งแต่กลุ่มเสี่ยง กิจกรรม/กิจการเสี่ยง และสถานที่เสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่เขตเมืองและปริมณฑล มีแนวโน้มการติดเชื้อแพร่เชื้อระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกินการดื่ม การเดินทางคมนาคม การพบปะพูดคุย ปาร์ตี้สังสรรค์ ท่องเที่ยว หรือแม้แต่การอยู่อาศัยในครอบครัว
จะป้องกันหรือบรรเทาการระบาดได้ นอกจากต้องอาศัยหน่วยงานในพื้นที่แต่ละจังหวัดที่จะช่วยเฝ้าระวัง ติดตาม กำกับแล้ว
ธุรกิจห้างร้านทุกประเภทก็จำเป็นต้องขันน็อตการประกอบกิจการของตนเองให้เคร่งครัดตามมาตรการที่รัฐกำหนด ไม่ควรปล่อยปละละเลยหรือชะล่าใจ หากป้องกันกิจการตนเองได้ดี ลูกน้องเราก็จะไม่ติดเชื้อหรือแพร่เชื้อให้ลูกค้า หรือในทางกลับกันลูกค้าที่อาจติดเชื้ออยู่ก็จะแพร่มาให้ลูกน้องในกิจการเราได้ยาก คัดกรองให้ดีตามมาตรฐาน วัดไข้ ล้างมือ เช็คว่าใส่หน้ากากไหม และปรับกระบวนการในธุรกิจของเราให้ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อให้น้อยลง ลดการจับสัมผัส โดยไม่ควรเกรงใจลูกค้าไม่ว่าจะระดับใด เพราะความเกรงใจเพียงครั้งเดียว อาจก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาลตามมา
สำหรับประชาชนทุกคนนั้น เราได้บทเรียนจากเคสติดเชื้อที่เห็นกันในช่วงที่ผ่านมาว่า ส่วนใหญ่การติดเชื้อมักเกิดจากการละเลย ประมาท ไม่ป้องกันตัวเองให้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเคสที่ติดกันแม้แต่ในหมู่คนที่ใกล้ชิดไว้ใจ เช่น สมาชิกในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย
นอกจากหลักการที่ทราบกันและเน้นย้ำกันทุกวันว่า ให้ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตรแล้ว
อยากจะสรุปให้ระวังกันอีกครั้งว่า ทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้เสมอในสถานการณ์เช่นนี้ และความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนั้นมักเกิดขึ้นใน 5 ลักษณะ ได้แก่
หนึ่ง ไปอยู่ในที่"แออัด" หรือแม้จะไม่แออัด แต่อยู่"ใกล้ชิด"กัน
สอง ไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง พบปะพูดคุยกันกับคนที่เสี่ยง ใน"ระยะเวลาที่นาน"
สาม ไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง สัมผัสกับผู้คน"บ่อย" หรือถี่
สี่ "มักคิดว่าไม่สบายเล็กน้อยคล้ายหวัดแต่ไม่ได้ไปตรวจรักษา" ปล่อยไว้นานหลายวัน จนแพร่ให้คนใกล้ชิด
และ ห้า "ไม่ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด" หน้ากาก-ล้างมือ-อยู่ห่างๆ
ดังนั้นเมื่อเราทราบเช่นนี้ การจะอยู่รอดปลอดภัยไปในระยะเวลาถัดจากนี้ ก็ควรปิดจุดอ่อนทั้งห้าข้อดังกล่าว
ด้วยรักต่อทุกคน

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/90620