Font Size

7 ก.ค. 2564 วิจัยกรุงศรีรายงานว่า การส่งออกที่เติบโตดีในเดือนพฤษภาคมช่วยหนุนการผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่การใช้จ่ายในประเทศทรุดลงต่อเนื่องจากการระบาดระลอกที่สามของ COVID-19 โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนพฤษภาคมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 (-3.1% MoM sa)  ตามการลดลงในทุกหมวดการใช้จ่าย ผลกระทบจากการระบาดรอบสามของ COVID-19 มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทรุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  แม้มาตรการภาครัฐจะช่วยพยุงกำลังซื้อภาคครัวเรือนได้บางส่วน เช่นเดียวกับดัชนีการลงทุนภาคเอกชนหดตัวลงจากเดือนก่อน (-2.3%) ตามอุปสงค์ในประเทศและความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ทรุดลง ทำให้การลงทุนลดลงทั้งในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และหมวดก่อสร้าง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียงเล็กน้อย (6,052 คน) จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยวในประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสาม อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกที่เติบโตดีต่อเนื่อง (44.4%YoY) อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกปรับดีขึ้นและกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า และช่วยหนุนให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมทรงตัวจากเดือนก่อนในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ

 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ทำให้ทางการต้องยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล  กับอีก 4 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงจำกัดกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าวที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาด อาทิ การก่อสร้าง การนั่งรับประทานในร้านอาหาร  เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน   ขณะเดียวกันรัฐบาลได้อนุมัติมาตรการวงเงิน 8,500 ล้านบาท เพื่อเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมที่เข้มงวดดังกล่าว เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจึงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยงขาลงและยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด การจัดหาและการกระจายวัคซีน ซึ่งล่าสุดวิจัยกรุงศรีได้ทบทวนประมาณการจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของไทยอีกครั้งโดยใช้ข้อมูลถึงวันที่ 28 มิถุนายน การคาดการณ์อยู่บนพื้นฐานของแบบจำลอง SIR ใช้ข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันผนวกเข้ากับ mobility index ผลการประมาณค่าด้วยสมมติฐานแบ่งออกเป็น 3 กรณี  ดังนี้

 1) Best case (เส้นสีเหลือง): การติดเชื้อในอนาคตจะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับรูปแบบการติดเชื้อจากจำนวนตัวอย่างทั้งหมดในอดีต (บนสมมติฐานว่าลักษณะการแพร่เชื้อและการควบคุมจะเหมือนกับช่วงตั้งแต่ต้นปี 2563) ผลการศึกษาพบว่าจะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันต่ำกว่า 100 รายจะเป็นประมาณต้นเดือนตุลาคม

2) Base case (เส้นสีส้ม): การติดเชื้อในระยะข้างหน้าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับรูปแบบการติดเชื้อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (หรือการแพร่ระบาดจะมีผลจากสายพันธุ์ใหม่และลักษณะการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น) ผลการศึกษาพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะยังเพิ่มขึ้นได้อีก และ peak ของการติดเชื้อจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม โดยการติดเชื้อจะลดลงตามการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น (คาดอัตราการฉีดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-2.7 แสนโดสต่อวัน) ควบคู่ไปกับการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันต่ำกว่า 100 เมื่อพ้นกลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไป 

3) Prolonged case (เส้นสีแดง): รูปแบบการติดเชื้อในอนาคตคล้ายกับประเทศบราซิลและอิตาลี ซึ่งมีลักษณะเหมือนภูเขาหลายลูกซ้อนกัน จากการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเร็วกว่าผลของภูมิคุ้มกันหมู่ที่จะเกิดขึ้นในวงกว้างจากการฉีดวัคซีน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันกลับมาเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้ ผลการศึกษาพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจะยังคงอยู่ในระดับสูงแม้พ้นสิ้นเดือนตุลาคมไปแล้ว

 สำหรับภาวะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ผลกระทบจากไวรัสกลายพันธุ์อาจมีไม่มาก ในเดือนมิถุนายนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ด้านการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นประมาณ 8.5 แสนตำแหน่งสูงกว่าตลาดคาด ส่วนอัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 5.9% สูงกว่าเดือนก่อนเล็กน้อย ล่าสุดจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 มิถุนายนปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดเมื่อเดือนมีนาคม 2563

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/108887