ที่ สปป.ลาว

ถามว่า ทำไม สปป.ลาว
โรค โควิด ถึง ไม่ระบาดมากเหมือนบ้านเรา....
ตอบง่ายๆ นั่น คือ ลาว

ส่วน นี่ คือ ไทย
สปป.ลาว. กฎหมาย
คือ กฎหมาย ผิดเป็นผิด ถูก เป็น ถูก
ลาวไม่มี ศรีธนนชัย
ลาวไม่มี คนที่อวดว่าตัวเองเก่ง
มีแค่คำว่า ท่านทำผิด กฎหมาย ข้อไหนเท่านั้น....
สปป.ลาว. กฎหมาย
เข้มข้น..
คนลาวเขากลัวติดคุก กลัวมาก..
คุก ใน สปป.ลาว ไม่
มีอาหาร เลี้ยงสามมื้อ
แบบ คุก วีไอพี เมืองไทย ติดคุก คือ ขังกันจริงๆ พี่น้อง ญาติมิตร
ต้องส่งข้าวกันเลยทีเดียว.
ท่านลองคิดดูเอาว่า ถ้าไม่มีใครส่งข้าวให้กิน เเล้วจะทำอย่างไร..
คนลาว เขาถึงกลัวมาก
ยก ตัวอย่าง โรคโควิด 19
ใครที่รู้ตัวว่าตัวเอง ติดโรคแล้ว แอบเข้าประเทศ ผิดกฎหมายเตรียมรับโทษแบบจัดหนัก จัดเต็มกันเลยทีเดียว
เช่น
คน ลาว ที่ ติดเชื้อและจะเข้าประเทศตัวเอง จะต้อง ประสานญาติพี่น้องตัวเองก่อน
แจ้งว่าจะกลับประเทศ
ญาติ จะต้องไปแจ้ง
หัวหน้าบ้าน ( ผญบ.)
ทราบก่อน
หัวหน้าบ้าน
จะต้องรีบแจ้งให้ จนท.
ในแขวงทราบทันที
หลังจากที่ ทาง
หน่วยเหนืออนุญาตแล้ว
หัวหน้าบ้านจะไปกำหนดให้ ญาติคนป่วยที่จะเข้ามา กำหนด
สถานที่ พักตัว (กักตัว)
ในเขตเถียงนาของตัวเอง
ให้ห่างจากหมู่บ้าน
ห้าม แอบเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเด็ดขาดภายใน 14 วัน
ถ้าแอบเข้ามาในหมู่บ้าน มี
โทษ...ถึงติดคุกทั้งครอบครัว..
อาหาร ยา
ญาติพี่น้อง รับผิดชอบ
ในการจัดส่งให้จนเสร็จสิ้น...
หลัง จากครบ 14 วัน
ญาติ จะต้องรีบแจ้งให้ หัวหน้าบ้าน เพื่อที่จะนำจนท.ไปตรวจสอบ และ ออกใบ
อนุญาตออกจาก เถียงนา
ไปใช้ชีวิต ตามปกติ

แต่..ถ้า คนที่กักตัวที่
เถียงนา มีอาการป่วยชนิดรุนแรง จนทานยา
เอาไม่อยู่แล้ว
ญาติจะต้องไปแจ้ง ให้ หัวหน้าบ้าน นำ จนท.มารับตัวไปรักษาใน ร.พ.ต่อไป...

ทีนี้..ลองมาดูกฏหมายลงโทษ คนที่แอบ นำเชื้อ มาปล่อยให้ระบาด ดูบ้าง...

..คนที่แอบ นำเชื้อ เข้า
ประเทศโดยที่ รู้ว่าตัวเองป่วย หรือ รู้ว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยงมาจะต้องรับผิดชอบ ต่อกฎหมาย2 บท คือ...

กฏหมาย บทที่ 1.
นำเชื้อ เข้ามาปล่อย
ให้ประชาชนชาวลาว..
คนที่ป่วย..จะต้องออกค่าใช้จ่ายในการรักษา ตัวเองทุก กีบ.
ผลการสืบค้น ทางเดิน
ระบาดของโรค ที่ติดตัวมา
ไปแพร่ถึงใคร..จะ ป่วย กี่คนก็ตาม..คน ที่นำเชื้อมา
จะต้อง ออก ค่ารักษา
ค่าพยาบาล ให้คนที่ต้องป่วยตาม ทุกคน ทุกกีบ

การรับโทษ ทางกฎหมาย..รับโทษตามกฏหมายที่ 1..
ติดคุก.ตามกฏหมาย
โรคติดต่อ ตาม ความ
ตัดสิน การแพร่ระบาด
ของการนำแพร่เชื้อโรค....
ผู้ร่วม รับผิดชอบต่อ
กฎหมายเดียวกัน
ถ้าสืบค้นพบว่า ร่วมทำความผิด ในครอบครัวเดียวกัน แอบช่วยเหลือ ปิดบัง
คนป่วยต่อ จนท.บ้านเมือง
ติดคุก ตามกฎหมาย โรคติดต่อด้วย..
หลังจาก..รับผิดชอบ
ต่อความผิด ติดคุกโรค
ติดต่อ ครบ ตามกฎหมายแล้ว...
..ต้องถูกรับพิจารณา โทษทางกฏหมาย ความมั่นคง
แห่งรัฐอีก...( เข้าคุกต่อ )....
นี่ คือ กฎหมาย สปป.ลาว ที่เข้มข้น จนคนลาว กลัวกันมาก..
และ ที่ ได้เรียนมาแต่ต้นว่า คุก ลาว ไม่เลี้ยงข้าว จะติดคุกกี่ปี่ พี่น้องจะต้อง ส่งข้าวส่งน้ำตลอดจนออกคุก..
ถ้าคนไหน ไม่มีพี่น้องส่งข้าวให้กิน ท่านจะต้อง เสีย เงินค่าใช้จ่ายในการ ดำรงค์ชีพในคุก
เมื่อ ออกจากคุก จะมีหนี้ สิน ค่ากินติดออกมาอีก เรียกได้ว่า ถ้าเอ่ย คำว่า ติดคุก พี่น้องลาว ได้ยินแทบกลั้นใจตาย....

ให้..สังเกตุ ว่าบ้านพัก ของพี่น้องลาว เวลา ญาติมิตรมาเยี่ยม
จะมาตั้งวง ถองสุราเหมือนบ้านเรา ไม่ได้เด็ดขาด ทำเช่นนี้เจ้าของบ้าน มีสิทธิ์ไปนอนคุก เขาจะต้องพาไปนั้งดื่มกิน สถานที่ม่วนชื่นที่ร้านเท่านั้น..
และ ร้านม่วนชื่นจะต้องปิดตามเวลา
ร้านไหนแอบเปิดเลยเวลา ตำรวจบ้านมา..งานเข้าอีก
นี่คือ กฎหมาย..
กฎหมายจริงๆ..กฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์...


แล้ว..ลองมาดู กฎหมาย ประเทศ ที่อยู่ติดกับ สปป.ลาวว่าเป็นเช่นไร....
เขามีกฎหมายไว้สำหรับตีความ

มีศรีธนนท์ชัยมาเกิดเต็มประเทศไปหมด
ทำอะไร..สบายๆ พลิกไป
เต้นมา..
ที่ โรคเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะอะไร
เพราะใคร..ยิ่งคิด ยิ่งดู
ได้แต่ ตาดู. หูฟัง.มีปากให้เอาไว้ กินข้าวอย่างเดียวพอ..
นอกจากกินข้าว อิ่มแล้ว ปิดปาก..ให้เงียบเข้าไว้..แล้วจะ
สบายด้วยประการ ทั้งพวง...

พ.เวียงพิงค์....
รายงาน....
ขอบคุณ.ข้อมูลดีๆจาก
ท้าว คำริด ศรีมาพัน

 
ท่องแดนพิศวง 'เนปาล' เปิดมุมลับ 'ภัตตาคารแร้ง'
 
นมัสเต "เนปาล" การผจญภัยในมุมต่าง ณ ดินแดนแห่งหิมาลัย ที่ซึ่งความงดงามทางธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ศิลปะ – วัฒน – ธรรมชาติ @ เนปาล

สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล หรือ ประเทศเนปาล ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย มียอดเขาเอเวอเรสต์เป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น เห็นแต่ไกลตั้งแต่ก่อนเครื่องบินจะลงจอด ณ ท่าอากาศยานนานาชาติตรีภูวัน โดยการบินไทยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง พาเราย้อนเวลาไปยังบ้านเมืองที่ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมาแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เรื่อยมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา และปัจจุบันวิถีชีวิตของผู้คนก็ยังดำเนินอยู่เช่นนั้น แถมเวลาที่ประเทศเนปาล ก็ช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที การไปเยือนเนปาลจึงเหมือนหมุนคืนกลับไปสู่อดีตอันแสนสุข

เที่ยวบินจะมาถึง กรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของประเทศเนปาลในตอนบ่าย พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เดินทางไปชมมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน พระมหาเจดีย์โพธินาถ (Boudhanath Stupa) หรือพระปฐมเจดีย์ของเนปาลที่ยิ่งใหญ่อลังการ มีอายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี จุดเด่นอยู่ที่ดวงตาเห็นธรรมหรือ ‘ดวงตาแห่งปัญญา’ (Wisdom Eyes) ทั้ง 4 ด้าน โดยจะพบเห็นคนเนปาล, ชาวทิเบต และนักท่องเที่ยวมากราบขอพรกันมากมาย

159575413214

ดวงตาแห่งปัญญา

ช่วงเย็นๆ แดดร่มลมตก ก็ไปชม สยมภูวนาถ (Swoyambhunath) หรือ วัดลิง (Monkey Temple) มรดกโลกทางวัฒนธรรมเช่นกัน สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะ ในปี พ.ศ. 936 เป็นเจดีย์ของชาวพุทธที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ที่ฐานของสถูปทั้ง 4 ด้านจะมีภาพดวงตาเห็นธรรมด้วยเช่นกัน ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก 3 กิโลเมตร ตัวสถูปตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์เหนือหุบเขากรุงกาฐมาณฑุที่แสนงดงาม โดยมีลิงวอกและเหยี่ยวดำอาศัยอยู่บนภูเขาเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวสถูปรอดพ้นจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2558 มาได้

ชาวฮินดูเชื่อว่า ‘ลิงวอก’ คือ ‘เหา’ ที่อยู่บนพระเศียรของพระศิวะ จึงปล่อยให้ลิงหาอยู่หากิน แพร่พันธุ์ตามสบาย โดยลิงวอกก็อยู่ร่วมกับคนเป็นระเบียบดี ทั้งๆ ที่รอบวัดมีการขายของกิน

ของใช้ ของบูชาพระ ของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับหลายจุด แต่ลิงก็ไม่สนใจไปข้องแวะ ลองไปสอบถามดูว่าเขากำราบลิงอย่างไร พบว่าทางวัดให้อาหารลิงในสถานที่เฉพาะ ให้เป็นเวลาและอยู่ในส่วนป่า มิได้อยู่ในส่วนท่องเที่ยว ซึ่งลิงจะได้กินอาหารพอประมาณเพื่อควบคุมประชากรระยะยาว มีการเก็บขยะเป็นที่เป็นทาง ส่วนอาหารที่นักท่องเที่ยวนำมาให้ลิง ทางวัดก็ไม่สามารถควบคุมได้ ที่ผ่านมาก็มีนักท่องเที่ยวถูกลิงทำร้ายอยู่บ้าง และมีลิงตายจากกินขยะพลาสติกด้วย

159581448643

สยมภูวนาถ หรือ วัดลิง

 

กลับจากวัดลิง ก็เข้าที่พักเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ชินกับความสูงที่ระดับ 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล จากนั้นก็ออกมาทานอาหารเย็นที่ ย่านการค้าทาเมล (Thamal) เป็นตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ใจกลางเมือง มีสินค้าสารพัดให้เลือกสรร และพบว่ากรุงกาฐมาณฑุ แม้จะมีขนาดใหญ่โตมากๆ แต่ถนนหนทางดั้งเดิม กลับแคบนิดเดียว จนรถแทบขับสวนกันไม่ได้ ซึ่งเป็นเช่นนี้มากว่า 300 ปี ตึกแถวร้านค้าเป็นแบบหน้าแคบถึงแคบมาก หน้ากว้างประมาณ 1.5 - 2 เมตรต่อห้องเท่านั้น แต่อาจสูงขึ้นไปได้ถึง 4 ชั้น และนิยมมีระเบียงด้วย

 

159575409918

วันต่อมาออกเดินทางท่องเมืองปาทาน (Patan) เมืองคู่แฝดของกรุงกาฐมาณฑุและได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งศิลปะ เพราะเป็นศูนย์กลางงานหัตถศิลป์ของชาวทิเบตอพยพ ดั่งนครโบราณที่ยังมีชีวิต ขอแนะนำให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งเมืองปาทาน (Patan Museum) ซึ่งปรับปรุงมาจากส่วนหนึ่งของพระราชวังเก่า ในสมัยศตวรรษที่ 18 เพราะจะได้พบกับศิลปะทางวัฒนธรรมในระดับมรดกโลก ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียสมัยปาละ

แม้เมืองปาทานจะเล็ก แต่ก็มีหลักฐานว่าเก่าแก่กว่าภักตะปุระและกาฐมาณฑุเสียอีก เพราะมี 'สถูปอโศก' ที่บ่งบอกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช เคยเสด็จมาเผยแผ่พุทธธรรมตั้งแต่เมื่อราว 2,200 ปีมาแล้ว และการได้มาเยือน จัตุรัสพระราชวังปาทาน (Patan Durbar Square) ถือว่าได้เดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์แบบเปิดก็ว่าได้ เพราะงดงามไปด้วยงานสถาปัตยกรรมชั้นสูง ได้แก่ พระราชวังโบราณ 130 แห่ง เทวาลัย 55 แห่ง และลานสาธารณะอีกนับสิบแห่ง ซึ่งยังใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ ชุมนุม ประกอบพิธีทางศาสนาทั้งฮินดูและพุทธ อย่างต่อเนื่องมาหลายร้อยปี

 

159581392287

เดินทางต่อไปเมืองภักตะปุระ (Bhaktapur) แปลว่าเมืองแห่งความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า อายุประมาณกรุงศรีอยุธยาของไทย ต้องเข้าเยี่ยมชม จัตุรัสพระราชวังภักตะปุระ (Bhaktapur Durbar Square) อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังเดิม สิ่งที่สำคัญโดดเด่น คือ ประตูทอง (The Golden Gate) ของ พระราชวังซันโตกา ถูกสร้างในสมัยกษัตริย์ภูปตินทระ มัลละ เมื่อ พ.ศ.2243,วัดไภราพวนารถ (Bhairavnath Temple), วัดนาธาโปลา (Nyatapola Temple) มณฑปสูงที่สุดของประเทศเนปาลราว 30 เมตร สร้างในสมัยกษัตริย์ภูปตินทระ มัลละ เมื่อพ.ศ.2245

159575413743

วัดนาธาโปลา

พระราชวังแห่งภัคตะปุระ หรือ พระราชวัง 55 หน้าต่าง ซึ่งสร้างขึ้นโดยกษัตริย์รานจิต มัลละ ในสมัยศตวรรษที่ 18 ด้วยเพราะกษัตริย์ที่สร้างพระราชวังนี้ มีพระชายาที่ทรงโปรดปราน มากถึง 55 คน, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งเมืองภักตะปุระ ที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุโบราณระดับโลก และหมู่บ้านช่างปั้นหม้อ

159575414229

ช่างปั้นหม้อ

 

'ภัตตาคารแร้ง' แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งเนปาล

วันต่อมานั่งรถเกือบ 10 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 250 – 280 กิโลเมตร พากันโขยกเขยก ลัดเลาะไหล่เขาโตรกผา ออกมาจากเมืองหลวง มุ่งหน้าลงใต้ไปพัก ณ รีสอร์ตใกล้ๆ อุทยานแห่งชาติจิตตะวัน เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้เข้าชมความสวยงามในอุทยานแห่งชาติอันดับหนึ่งของประเทศเนปาล ที่ยังคงความหลากหลายทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่ามากมายที่น่าสนใจ เช่น แรดอินเดีย ตะโขงอินเดีย กวางดาว จระเข้น้ำจืด ช้างป่า เสือโคร่ง เสือดาว ฯลฯ

เป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่นักชมสัตว์ป่าจากทั่วโลก ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต และมีการจัดโปรแกรมทัวร์โดยคนท้องถิ่น พานักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าเที่ยวป่าอย่างเป็นระบบ เช่น ถ้าจะเข้าป่าก็มีให้ 3 ทางเลือกได้แก่ เดินเที่ยวชมโดยมีมัคคุเทศก์นำทาง, นั่งช้างเข้าไป โดยมีควาญช้างนำทาง และนั่งเรือขุดตามแม่น้ำรภดี (Rapti River) โดยมีคนเรือนำทาง เป็นต้น

159575413646

ผู้นำทางท่องเที่ยวทุกคน สามารถพูดและตอบโต้ภาษาอังกฤษได้ แม้จะออกสำเนียงแบบแขกๆ และเขาทราบว่า “จุดขาย จุดแข็ง” ของพื้นที่คือสัตว์ป่า ทำให้เขาจะเน้นพาเราไปดูให้เห็นสัตว์ป่าแบบชัดๆ ใกล้ๆ จำนวนเยอะๆ เพื่อให้เราประทับใจ อันนำมาซึ่งการไปเที่ยวซ้ำหรือบอกต่อกันไป จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลไปเยือนหลายแสนคนทุกปี แต่ทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานการเคารพสวัสดิภาพสัตว์ป่า ที่ต้องไม่มีการล่า หรือมีสัตว์ป่าทำร้ายชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบ เพราะผืนป่าและหมู่บ้านอยู่ใกล้ชิดกันมาก เรียกได้ว่าลงไปซักผ้าที่แม่น้ำ ต้องระวังจระเข้ลากไปกินเลยทีเดียว

ความตื่นเต้นและสนุกสนานที่ได้พบเห็นสัตว์ป่าตัวใหญ่จำนวนมากๆ ซึ่งไม่เคยพบเห็นในประเทศไทยทำให้เวลาผ่านไปเร็วมาก เข้าป่าไปแต่เช้ามืด ออกมาอีกทีก็เกือบหกโมงเย็น โดยมีการนำอาหารกลางวันและน้ำจากรีสอร์ตที่พักไปให้ถึงในป่าด้วย การทานอาหารกลางวัน ณ ริมบึงใหญ่ ภายใต้ร่มไม้ครึ้ม มีลมเย็นพัดเอื่อยๆ เบื้องหน้ามีนกและสัตว์ป่า ลงมากินน้ำให้ชมเป็นระยะๆ ภาพที่เห็นจึงดูงดงาม ได้ดื่มด่ำ ได้คุณค่า และรู้สึกว่ากลมกลืนกับธรรมชาติมาก

159581448531

นั่งหลังช้างออกไปชมสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติจิตตะวัน

 

เมื่อกลับจากป่า ทุกกลุ่มทัวร์จำเป็นต้องไปชมการแสดง การละเล่นของชนพื้นเมืองในตอนค่ำ เพื่อเป็นการแสดงออกและสื่อสารวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมืองออกสู่โลกกว้าง ในทางกลับกันก็ทำให้ชาวบ้านที่มิได้นำทัวร์เที่ยวป่า ให้มีรายได้ร่วมไปด้วย เงินจะได้กระจายตกถึงมือชาวบ้านทุกกลุ่มรอบป่าจริงๆ

วันต่อมานั่งรถเดินทางโขยกเขยกไปที่ ภัตตาคารแร้งเมืองนาวาลพาราสี (Nawalparasi) หรือในภาษาพื้นเมืองว่า ‘Jatayu Restaurant’ เพื่อฟื้นฟูประชากรแร้งที่ใกล้สูญพันธุ์ของทวีปเอเชียใต้ จัดตั้งโดยสมาคมอนุรักษ์นกเนปาล (BirdConservation Nepal) หนึ่งในภาคีขององค์การอนุรักษ์นกสากล (BirdLife International) เช่นเดียวกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย มีนกแร้งมาใช้บริการมากถึง 8 ชนิด ได้แก่ พญาแร้ง แร้งเทาหลังขาว แร้งสีน้ำตาลแร้งตุรกี แร้งอินเดีย แร้งดำหิมาลัย แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย และ แร้งสีน้ำตาลยุโรป (ซึ่งนกแร้งหลายชนิดนี้ ได้แก่ พญาแร้ง แร้งเทาหลังขาว แร้งสีน้ำตาล ก็เคยมีในประเทศไทยแต่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว)

พื้นที่นี้อยู่ในแนวป่ากันชนของอุทยานแห่งชาติจิตตะวัน เดิมบริเวณนี้เป็นที่ทิ้งขยะของหมู่บ้าน ซึ่งปกติมีการนำวัวที่แก่หรือป่วยใกล้ตายมาผูกทิ้งไว้แต่ประเทศเนปาลไม่มีการฆ่าวัว เพราะเชื่อว่าเป็นพาหนะของพระศิวะในศาสนาฮินดู เพราะฉะนั้น ไม่ว่าวัวจะแก่ บาดเจ็บ หรือป่วย ก็จะถูกปล่อยให้ตายไปเองตามความเชื่อทางศาสนา เพื่อตกเป็นอาหารของเหล่านกแร้งที่อาศัยอยู่แถวๆ นั้น บางครั้งมีนกแร้งบินวนอยู่เหนือศพมากถึง50 ตัว สุดท้ายก็จะลงรุมกินซาก ส่งเสียงดังโหวกเหวก จากการต่อสู้แย่งอาหารกันตลอดเวลามีการขโมย จิกตี หรือข่มขู่ระหว่างแร้งด้วยกัน

159581448558

ที่ภัตตาคารแร้ง ลูกแร้งต้องเรียนวิชาหากินและเอาตัวรอด

 

สำหรับวัวหนึ่งตัว จะถูกนกแร้งรุมกินจนหมดจนเหลือแต่กระดูกในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อสังเกตเห็นดังนั้น ทางสมาคมอนุรักษ์นกเนปาลก็เลยขอใช้พื้นที่บางส่วนของป่ากันชนกับทางรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อปรับเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คือ ‘ภัตตาคารแร้ง’ สำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติโดยเฉพาะ เพราะต้องซื้อตั๋วเข้าไปนั่งในบังไพรเฝ้าดูฝูงแร้งมากินซากวัว แถมยังนำ ‘แร้งเทาหลังขาว’ ที่เพาะพันธุ์ได้ในกรงเลี้ยง มาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเป็นครั้งแรกของโลกด้วย เพราะแร้งที่เกิดในกรงไม่มีสัญชาติญาณการเฝ้าระวังภัยจำเป็นต้องเรียนรู้วิถีชีวิตแร้งธรรมชาติ เพื่อจะได้เติบโตและใช้ชีวิตต่อไปได้เองในอนาคต โดยใช้เวลา 5 – 6 ปี แร้งรุ่นพี่ต้องสอนให้หนี ให้กิน ให้ต่อสู้

ที่ผ่านมาถูกหมาจรจัดกัดตายหรือโดนแร้งตัวอื่น ถีบเป็นแผลรุนแรง จนป่วยตายไปบ้างก็มี แต่ปัญหาหลักที่ทำให้ประชากรนกแร้งในธรรมชาติลดลงมากมาจากยาแก้ปวดชนิดไดโครฟิแนก (Diclofenac) เป็นยาฉีดยอดนิยมที่ถูกใช้ในวัว ควาย ม้า ลา ฬ่อ และช้างบ้าน ทั่วภูมิภาคเอเชียใต้ ใช้แก้ปวดกล้ามเนื้อและแก้อาการลุกไม่ขึ้นในปศุสัตว์ โดยชาวบ้านจะไปซื้อยาจากร้านขายยาสัตว์ใกล้บ้าน และฉีดแก่สัตว์เองโดยขาดการควบคุม โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาซึ่งมีแร้งอาศัยอยู่มาก เมื่อวัวใกล้ตายก็จะถูกนำมาผูกทิ้งไว้ให้ตายเองเพื่อเป็นอาหารแร้ง แต่ยานี้กลับเป็นพิษรุนแรง ทำให้นกแร้งไตวายเฉียบพลัน ตายไปมหาศาลหลายล้านตัวแทบเกือบสูญพันธุ์

คาดการณ์กันว่า ประชากรนกแร้งในภูมิภาคเอเชียใต้หายไปร้อยละ 99 จากเมื่อ 20 ปีก่อน การได้มาเยือนและสนับสนุน 'ภัตตาคารแร้ง' เมืองนาวาลพาราสีจึงเป็นหลักประกันประชากรนกแร้งให้อยู่คู่โลกต่อไป

159581393478

แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.bangkokbiznews.com

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/891075?anf=


02 เม.ย.64 - นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กรายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก 2 เมษายน 2564 มีเนื้อหาดังนี้
ทะลุ 130 ล้านไปแล้ว แนวโน้มการระบาดรุนแรงขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 701,041 คน รวมแล้วตอนนี้ 130,133,821 คน ตายเพิ่มอีก 11,610 คน ยอดตายรวม 2,838,716 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 75,696 คน รวม 31,239,879 คน ตายเพิ่ม 908 คน ยอดเสียชีวิตรวม 566,237 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 86,586 คน รวม 12,839,844 คน ตายเพิ่มถึง 3,398 คน ยอดเสียชีวิตรวม 325,284 คน  
อินเดีย ติดเพิ่ม 81,441 คน รวม 12,302,110 คน  
ฝรั่งเศส รายงานเพิ่ม 50,659 คน รวม 4,695,082 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 9,169 คน รวม 4,554,264 คน

อันดับ 6-10 เป็น สหราชอาณาจักร อิตาลี ตุรกี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
ตุรกีติดเชื้อเกินสี่หมื่นต่อวัน กำลังโดนระลอกสามขาขึ้นอย่างหนัก จำนวนติดเชื้อต่อวันสูงสุดขณะนี้มากกว่าระลอกแรกถึง 4 เท่า
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงบังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่การระบาดระลอกสี่ ตอนนี้ติดเกินสองพันคนต่อวัน ในขณะที่แคนาดาก็เข้าสู่การระบาดระลอกสามชัดเจน มากกว่าห้าพันคนต่อวัน

 

แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่หลักร้อยถึงพันกว่า นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ล้วนอยู่ในสถานการณ์ระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แถบตะวันออกกลาง ประเทศส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่นอย่างต่อเนื่อง
เกาหลีใต้ ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง เมียนมาร์ ไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เวียดนาม และกัมพูชา ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่นิวซีแลนด์ ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

...ในการต่อสู้กับโรคระบาดรุนแรงแบบโควิด-19 นี้ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแต่ละประเทศทั่วโลกคือ

หนึ่ง "การสร้างนโยบายหรือมาตรการที่ใช้หลักฐานวิชาการแพทย์ที่ถูกต้อง เป็นแสงส่องทาง" เราเห็นบางประเทศที่ไม่ได้ปฏิบัติเช่นนี้จนนำมาซึ่งการระบาดรุนแรงอย่างยาวนาน จึงควรจำไว้เป็นบทเรียน อย่ารนหาที่ เพราะการก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวจะนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตคนจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อระบบสังคมเศรษฐกิจตามมาอย่างที่แก้ไขได้ยาก

สอง "การทำงานนั้นย่อมเกิดปัญหา หรือข้อผิดพลาดได้เสมอ แต่ต้องยอมรับความจริง" รับว่ามีข้อผิดพลาด ชี้แจงแถลงไขให้คนในสังคมได้รับรู้รับทราบ จะได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และร่วมกันคิดร่วมกันแก้ไข แต่หากสังคมใดประเทศใด เห็นแต่ปรากฏการณ์ที่หน่วยงานต่างๆ ไม่เคยยอมรับว่าผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เห็นกันอยู่โต้งๆ จะถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้คนในสังคมไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อถือ เพราะสุดท้ายการปัดฝุ่นไปซุกไว้ใต้พรมนั้น วันใดวันหนึ่งย่อมมีการถูกเปิดขึ้นมาและฟุ้งกระจายให้เห็น และเมื่อถึงเวลานั้น public mistrust ที่เกิดขึ้นจะแก้ไขได้ยากยิ่งนัก โดยจะส่งผลต่อการดำเนินงานอื่นๆ อืกมากมาย และย่อมทำให้ภูมิคุ้มกันทางสังคมอ่อนแอในระยะยาว ดังนั้นก็ย่อมเป็นไปตามสุภาษิตที่เราได้เรียนรู้กันมาว่า "คนดีชอบแก้ไข...คนอะไรชอบแก้ตัว"นั่นเอง

สาม ระลึกไว้เสมอว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มักต้องมีเหตุผลอธิบายเสมอ จริงอยู่อาจเกิดจากความบังเอิญได้บ้าง แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก การใช้เหตุผลประเภท"เหตุบังเอิญร่วม"เพื่อจบเรื่องให้คนเข้าใจว่าเกิดเพราะโชค หรือเป็นจังหวะปะเหมาะเคราะห์ร้ายเองนั้น จึงไม่ควรประพฤติปฏิบัติพร่ำเพรื่อจนเป็นนิสัย เพราะนั่นหมายถึงการสร้างบรรทัดฐานของการขาดความเป็นเหตุเป็นผล และระยะยาวจะเปลี่ยนวัฒนธรรมความคิดจาก"วิทยาศาสตร์"ไปเป็น"ไสยศาสตร์" ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง

และสี่ "ไม่ปกปิดหมกเม็ดหรือบิดเบือนข้อมูล"

หากทุกประเทศทั่วโลกทำดังเช่นที่กล่าวมา โอกาสสู้กับโรคระบาดแล้วชนะจะมีสูงขึ้น
เหนืออื่นใด ขอให้พวกเราทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ใช้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นแสงส่องทาง ช่วยในการตัดสินใจเพื่อรักษาสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตครับ
ด้วยรักและปรารถนาดีเสมอ

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/98071

 


22 ม.ค.64 - รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพนต์ความเห็นรายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก 22 มกราคม 2564 มีเนื้อหาดังนี้
ตอนสายๆ จะทะลุ 98 ล้าน
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 757,932 คน รวมแล้วตอนนี้ 97,948,473 คน ตายเพิ่มอีก 16,145 คน ยอดตายรวม 2,095,787 คน
อเมริกา มียอดรวมเกิน 25 ล้านไปแล้ว เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 177,011 คน รวม 25,135,041 คน ตายเพิ่มอีก 3,844 คน ยอดตายรวม 418,772 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 14,788 คน รวม 10,625,420 คน
บราซิล ติดเพิ่มถึง 59,119 คน รวม 8,697,368 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 21,887 คน รวม 3,655,839 คน
สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 37,892 คน รวม 3,543,646 คน
อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
เมียนมาร์ เกาหลีใต้ ไทย และจีน ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนฮ่องกง ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่กัมพูชา และเวียดนามติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 445 คน ตายเพิ่มอีก 16 คน ตอนนี้ยอดรวม 136,166 คน ตายไป 3,013 คน อัตราตายตอนนี้ 2.2%...
วิเคราะห์สถานการณ์ไทยเรา...
ถัดจากนี้ไปเราคงเจอการติดเชื้อไปได้เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง กระจายแตกต่างกันไปในพื้นที่
คาดว่าพื้นที่ที่เคยระบาดหนัก จะยังคงมีโอกาสปะทุซ้ำได้มากกว่าที่อื่นๆ เนื่องจากไม่ได้ตรวจจนครบทุกคนจากข้อจำกัดเชิงวิธีการและทรัพยากร
รูปแบบการติดเชื้อจะมาได้ในทุกแบบ ตั้งแต่กลุ่มเสี่ยง กิจกรรม/กิจการเสี่ยง และสถานที่เสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่เขตเมืองและปริมณฑล มีแนวโน้มการติดเชื้อแพร่เชื้อระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกินการดื่ม การเดินทางคมนาคม การพบปะพูดคุย ปาร์ตี้สังสรรค์ ท่องเที่ยว หรือแม้แต่การอยู่อาศัยในครอบครัว
จะป้องกันหรือบรรเทาการระบาดได้ นอกจากต้องอาศัยหน่วยงานในพื้นที่แต่ละจังหวัดที่จะช่วยเฝ้าระวัง ติดตาม กำกับแล้ว
ธุรกิจห้างร้านทุกประเภทก็จำเป็นต้องขันน็อตการประกอบกิจการของตนเองให้เคร่งครัดตามมาตรการที่รัฐกำหนด ไม่ควรปล่อยปละละเลยหรือชะล่าใจ หากป้องกันกิจการตนเองได้ดี ลูกน้องเราก็จะไม่ติดเชื้อหรือแพร่เชื้อให้ลูกค้า หรือในทางกลับกันลูกค้าที่อาจติดเชื้ออยู่ก็จะแพร่มาให้ลูกน้องในกิจการเราได้ยาก คัดกรองให้ดีตามมาตรฐาน วัดไข้ ล้างมือ เช็คว่าใส่หน้ากากไหม และปรับกระบวนการในธุรกิจของเราให้ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อให้น้อยลง ลดการจับสัมผัส โดยไม่ควรเกรงใจลูกค้าไม่ว่าจะระดับใด เพราะความเกรงใจเพียงครั้งเดียว อาจก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาลตามมา
สำหรับประชาชนทุกคนนั้น เราได้บทเรียนจากเคสติดเชื้อที่เห็นกันในช่วงที่ผ่านมาว่า ส่วนใหญ่การติดเชื้อมักเกิดจากการละเลย ประมาท ไม่ป้องกันตัวเองให้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเคสที่ติดกันแม้แต่ในหมู่คนที่ใกล้ชิดไว้ใจ เช่น สมาชิกในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย
นอกจากหลักการที่ทราบกันและเน้นย้ำกันทุกวันว่า ให้ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตรแล้ว
อยากจะสรุปให้ระวังกันอีกครั้งว่า ทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้เสมอในสถานการณ์เช่นนี้ และความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนั้นมักเกิดขึ้นใน 5 ลักษณะ ได้แก่
หนึ่ง ไปอยู่ในที่"แออัด" หรือแม้จะไม่แออัด แต่อยู่"ใกล้ชิด"กัน
สอง ไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง พบปะพูดคุยกันกับคนที่เสี่ยง ใน"ระยะเวลาที่นาน"
สาม ไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง สัมผัสกับผู้คน"บ่อย" หรือถี่
สี่ "มักคิดว่าไม่สบายเล็กน้อยคล้ายหวัดแต่ไม่ได้ไปตรวจรักษา" ปล่อยไว้นานหลายวัน จนแพร่ให้คนใกล้ชิด
และ ห้า "ไม่ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด" หน้ากาก-ล้างมือ-อยู่ห่างๆ
ดังนั้นเมื่อเราทราบเช่นนี้ การจะอยู่รอดปลอดภัยไปในระยะเวลาถัดจากนี้ ก็ควรปิดจุดอ่อนทั้งห้าข้อดังกล่าว
ด้วยรักต่อทุกคน

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/90620

 

 

 อัปเดตสถานการณ์ฝีดาษลิง ทั่วโลกรายงานป่วย 484 ราย ใน 27 ประเทศ ผลยืนยันแล้ว 401 ราย สงสัย 83 ราย "สเปน" ป่วยมากสุด พบที่ "อิหร่าน" เพิ่มอีกประเทศ อาการส่วนใหญ่ออกผื่น พบมากที่อวัยวะเพศ อนามัยโลกยังไม่แนะนำฉีดวัคซีน ไทยยังเฝ้าระวังเข้ม

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2565 ระบุว่า 1.สถานการณ์ทั่วโลกของโรคฝีดาษวานรตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. 2565 ที่มีการรายงานผู้ป่วยรายแรกในประเทศที่ไม่ใช่พื้นที่โรคประจำถิ่นถึงวันที่ 28 พ.ค. 2565 มีการรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 484 ราย (เพิ่มขึ้น 53 ราย) เป็นผู้ป่วยยืนยัน 401 ราย (เพิ่มขึ้น 69 ราย) และผู้ป่วยสงสัย 83 ราย (ลดลง 16 ราย) ใน 27 ประเทศทั่วโลก (เพิ่มขึ้น 1 ประเทศ) โดยประเทศที่มีผู้ป่วยสูง 5 ลำดับแรก ได้แก่ สเปน 139 ราย (ร้อยละ 29) อังกฤษ 101 ราย (ร้อยละ 21) โปรตุเกส 74 ราย (ร้อยละ 15) แคนาดา 63 ราย (ร้อยละ 13) และเยอรมัน 21 ราย (ร้อยละ 4) ประเทศใหม่ที่พบผู้ป่วย ได้แก่ อิหร่าน

ข้อมูลทางระบาดวิทยาของสถานการณ์ทั่วโลก จากรายงานทั้งหมด 195 ราย ที่มีการรายงานข้อมูลปัจจัย เพศ พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 97) และเพศหญิง (ร้อยละ 3) สำหรับอายุ จากรายงาน 71 ราย ที่มีข้อมูล ทั้งหมดเป็นกลุ่มอายุ 20-59 ปี จากรายงานที่มีข้อมูลอาการ 92 ราย ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 99) มีผื่น โดยผื่นที่พบ ได้แก่ ลักษณะแผลหรือ ulcerative lesion (ร้อยละ 80) ไม่ระบุลักษณะ (ร้อยละ 10) ตุ่มน้ำใส (ร้อยละ 8) ผื่นนูน และตุ่ม หนอง (ร้อยละ 1) ตำแหน่งของผื่น ได้แก่ ไม่ระบุตำแหน่ง (ร้อยละ 60) บริเวณอวัยวะเพศ (ร้อยละ 57) บริเวณปาก (ร้อยละ 19) และบริเวณรอบทวารหนัก (ร้อยละ 1) อาการอื่นที่พบ ได้แก่ ไข้ (ร้อยละ 27) ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ไอ กลืนลำบากเล็กน้อย และปวดกล้ามเนื้อ (ร้อยละ 1)

จากรายงานที่มีข้อมูลสายพันธุ์ 9 ราย ทั้งหมดเป็นสายพันธุ์ West African จากรายงานทั้งหมด มี 84 ราย ระบุว่ามีประวัติเดินทาง 49 ราย (ร้อยละ 58) โดยมีข้อมูลระบุมี ประเทศต้นทาง 20 ราย (ร้อยละ 54) ได้แก่ สเปน (ร้อยละ 45) อังกฤษ (ร้อยละ 10) โปรตุเกส เบลเยียม แคนาดา ประเทศในแอฟริกาแต่ไม่ระบุชื่อ (ร้อยละ 7) ไนจีเรียและเยอรมัน (ร้อยละ 3) 

2.สถานการณ์ในประเทศไทย วันที่ 28 พ.ค. 2565 ยังไม่พบรายงานผู้ป่วย สำหรับการประเมิน ความเสี่ยงของการติดต่อโรคฝีดาษวานรในประเทศไทยมีโอกาสพบผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากประเทศที่มีการรายงาน ผู้ป่วย เช่น ประเทศแถบแอฟริกากลางและตะวันตก สหราชอาณาจักรอังกฤษ สเปน โปรตุเกสและแคนาดา

3.ประเด็นที่น่าสนใจจากต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ยังไม่มีเหตุผลที่จะต้องเร่งฉีด วัคซีนขนานใหญ่เพื่อป้องกันโรคฝีดาษวานร (Monkeypox) เนื่องจากสถานการณ์ของโรคดังกล่าวในขณะนี้ ยังสามารถควบคุมได้ แต่เตือนให้ตระหนัก เพื่อรับรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อที่เราจะสามารถใช้มาตรการที่เพียงพอ ในเวลาที่เหมาะสม ขณะที่สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) ออกคำแนะนำใหม่เกี่ยวกับผู้ ติดเชื้อฝีดาษวานรโดยระบุว่า ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงของตนเองเป็นเวลา 21 วัน โดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงที่เป็นหนูเจอร์บิลหรือหนูทะเลทราย หนูแฮมเตอร์ส และสัตว์ตระกูลฟันแทะ เพราะอาจมีความไวต่อโรค นี้เป็นพิเศษ และกังวลว่าเชื้อไวรัสฝีดาษวานรอาจแพร่ระบาดไปยังประชากรสัตว์ประเภทดังกล่าว

4.ข้อสังเกตจากสถานการณ์และข้อเสนอแนะ โดยข้อสังเกตพบว่าส่วนใหญ่ผู้ป่วยเป็น เพศชาย วัยเจริญพันธุ์ แต่เริ่มมีรายงานพบผู้ป่วยเพศหญิงเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด 5 ราย (ผู้ป่วยยืนยัน 2 ราย ผู้ป่วย สงสัย 3 ราย) ในผู้ป่วยยืนยัน 2 ราย มีประวัติเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ได้แก่ เบลเยียม เมือง Antwerp ที่มีการจัด Darkland Festival และประเทศในแอฟริกาแต่ไม่ระบุชื่อ ประเทศเยอรมันมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 8 รายจากวันที่ 27 พ.ค. 2565 ซึ่งในวันนี้มียอดผู้ป่วยสะสมเกิน 20 ราย ประเทศอิหร่าน มีรายงานผู้ป่วยสงสัย รายใหม่ตรวจจับผู้ป่วยสงสัย 3 รายจากผู้ที่เดินทางข้ามพรมแดน ข้อเสนอแนะ ไทยควรเพิ่มการเฝ้าระวังและให้ความรู้ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย รวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เพื่อการป้องกันโรคในสถานบริการที่มีความเสี่ยง เน้น ย้ำประชาชนให้มีการปฏิบัติตามมาตรการ UP
 
 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ