Font Size
เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์ 

อย่าเป็นซะดีกว่า "หมอนิธิพัฒน์" เผย ติด "โควิด" เจออาการตกค้างทางสมอง เปิด 2 ช่องทางก่อโรคสร้างความผิดปกติ กระทบชีวิตและจิตใจ

"หมอนิธิพัฒน์" รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ค นิธิพัฒน์ เจียรกุล ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด" สายพันธุ์ "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" ระบุว่า ชักลังเลว่าเอาอยู่จริงไหม เพราะตัวเลขผู้ป่วยหนัก และใส่เครื่องช่วยหายใจยังคงไปต่อ ส่วนผู้เสียชีวิตยังทรง แต่อาจเพราะเปลี่ยนวิธีการสรุปสาเหตุตาย ถ้าไม่ได้เป็นผลจากโควิดโดยตรง หรือเป็นการติดเชื้อแบบไม่รู้ตัวขณะป่วยหนักจากโรคเรื้อรังที่มีอยู่เดิม

"หมอนิธิพัฒน์" ระบุว่า สำหรับในแต่ละวัน เท่าที่ทราบมีประมาณ 15-20% ของผลการตรวจ "โควิด" RT-PCR เป็นผลจากการตรวจยืนยันผลจาก ATK ก่อนหน้า ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลหลัก และเหตุผลต้องการยืนยันเพื่อหยุดงาน หรือการประกัน สำหรับผลตรวจนั้นกว่า 95% ผลก็เป็นบวกจริง แสดงว่าช่วงนี้ผลบวก ATK เชื่อถือได้ น่าคิดจะใช้ทดแทน RT-PCR ในบางกรณีกันบ้างจะได้ประหยัดเงินประเทศ

สำหรับสายพันธุ์ย่อยแปลกไปจาก BA.2 ที่ครองตลาด ยังพบน้อยในบ้านเรา ส่วนตัวแชมป์ใหม่นั้นก็ไม่พบว่ารุนแรงกว่าเจ้าของพื้นที่เดิม สามวันก่อนมีสื่อขอสัมภาษณ์เรื่องอาการ "ลองโควิด" ทางระบบประสาทและสมอง ต้องขอบายเขาไป เพราะไม่ชำนาญและไม่มีข้อมูลด้านนี้มาก เพียงแต่ประสบการณ์ส่วนตัวที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากปอดอักเสบโควิดแล้ว นอกจากอาการตกค้างในระบบการหายใจแล้ว อาการตกค้างในระบบประสาทก็พบได้บ่อยไม่แพ้กัน แถมยังรบกวนชีวิตประจำวันได้มาก โดยเฉพาะรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน  ดูเหมือนว่าเจ้าโควิดจะทำร้ายร่างกายเราโดยไม่แยกแยะอวัยวะ มีสองช่องทางที่เชื้อไวรัสก่อโรคทำให้เกิดความผิดปกติต่อสมอง
และจิตใจของเรา 

ติด "โควิด" Omicron เจออาการตกค้างหนักแบบนี้ เปิด 2 ช่องทางก่อโรคกระทบชีวิต

"หมอนิธิพัฒน์" ระบุว่า ผลกระทบทางตรงเป็นผลจากการอักเสบโดยตรงของเนื้อสมอง และเนื้อเยื่อประสาท (encephalitis/encephalopathy) ทำให้แสดงอาการออกมาในรูปของการสับสนวุ่นวาย (altered mental status and delirium) ในระยะแรกของการเจ็บป่วย และเมื่อดีขึ้นหรือหายแล้ว บางคนอาจมีอาการหลงเหลือ เช่น เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ย้ำคิดย้ำทำ เป็นต้น นอกจากผลการอักเสบจากไวรัสแล้ว การกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อไวรัสผิดปกติ (cytokine network dysregulation and peripheral immune cell transmigration) รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หลังหายจากการติดเชื้อ (post-infectious autoimmunity)

ส่วนทางอ้อม เป็นผลกระทบมาจากความเครียดในระหว่างการเจ็บป่วย ไปช่วยกระตุ้นให้ปัญหาทางสมองและจิตใจที่อาจมีอยู่เดิมกำเริบขึ้น หรือเป็นของใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะต้องถูกแยกตัวทั้งในทางกายภาพและทางสังคม (physical and social isolation) ยิ่งถ้าป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยแล้ว การต้องถูกแยกตัว ห้ามญาติเยี่ยม แถมจำกัดบุคลากรที่จะเข้าไปดูแล ทำให้เกิดความแปลกแยกและยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่เป็นผลทางตรงจากโรคเข้าไปใหญ่ นี่ยังไม่นับปัญหาการตกงาน หรือขาดงาน การขาดแคลนอาหารและเครื่องอุปโภคและอุปโภค รวมไปถึงฐานะทางเศรษฐกิจที่อาจถูกสั่นคลอน ล้วนแล้วแต่ช่วยซ้ำเติมให้ผลกระทบทางตรงจากตัวโรคแย่หนักขึ้นอีก


คลิกอ่านต้นฉบับ 

ถ้าโชคดีบ้านเราเข้าสู่การเป็น "โรคประจำถิ่น" ของโควิดได้เร็ว คงมีผลหลงเหลือทางร่างกายและจิตใจของคนป่วย และคนที่ไม่ได้ป่วยจากโควิดจำนวนมากมาย ในระหว่างที่ยังไม่ถึงจุดนั้น สายด่วน 1323 คงช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของท่านได้บ้าง ในยามที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
 

ติด "โควิด" Omicron เจออาการตกค้างหนักแบบนี้ เปิด 2 ช่องทางก่อโรคกระทบชีวิต

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/covid-19/509501?adz=