Font Size

จากอาจารย์
นิธิ มหานนท์ :

ความจริง
ที่ไม่เหมือนเดิม

วันก่อนคุยกับลูกชายเรื่องโควิด 19 เขามีเพื่อนที่ทำธุรกิจถามมาว่าเมื่อไหร่ถึงจะกลับไปทำธุรกิจได้เหมือนก่อนที่จะมีโรคระบาดนี้มา

ผมค่อยๆอธิบายไป พอจบลูกชาย บอกว่าให้รีบเขียนและโพสต์ทันทีเพราะทุกคนควรเข้าใจด้วย 😬😬

😬😬 ก่อนหน้านี้ คิดจะเขียนเรื่องนี้มาสักสองสามอาทิตย์แล้ว แต่กลัวคนตื่นเต้นกันเกินเหตุเลยไม่ได้เล่าสู่กันฟังตั้งแต่ตอนนั้น
😊😊😊😊

ไวรัสชนิดนี้
เป็น RNA virus ครับ

เป็นกลุ่มที่หวังพึ่งวัคซีนไม่ได้มาก ที่เป็นข่าวกันให้ตื่นเต้นติดตามกันใกล้ชิด

ส่วนหนึ่งมาจาก
บริษัทยา
ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการเมือง

โหมข่าวเรื่องวัคซีนกันไปเพื่อหวังผลในสิ่งที่ตัวเองจะได้ประโยชน์ 😢😢😢

ไวรัสประเภทนี้กลายพันธุ์ง่ายกว่าไวรัสประเภทอื่น
(ถ้ามนุษยชาติโชคดีมันก็จะกลายพันธุ์ไปเป็นชนิดว่านอนสอนง่าย แต่ถ้าโชคไม่ดีนักมันก็กลายพันธุ์เป็นดุขึ้นท้าทายวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่อไป) มันเป็นประเภทเดียวกับไข้หวัดธรรมดา ที่ทุกคนเคยเป็นกันอยู่ตลอดปีตลอดชาติบ่อยบ้างห่างบ้าง ลองคิดง่ายๆครับว่า ถ้าทำวัคซีนได้ง่ายๆ ทำไมเราจึงไม่เคยมีวัคซีนป้องกันหวัดธรรมดา
และที่เป็นข่าวทำๆ กันอยู่ทดลองวัคซีนสำหรับโควิด 19 ตอนนี้ ไม่ว่าจะประเทศไหนบริษัทใด อย่างเก่งแค่ตรวจดูได้หลังฉีดว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้นไหม แต่ไม่เคยมีการออกแบบวิจัยให้เห็นผลในสัตว์ว่าวัคซีนจะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่
(ยิ่งในคนไม่ต้องพูดถึงเลยถึงจะมีการลองใช้ในคนแล้วก็ตาม)

อันนี้ต้องเข้าใจว่า การมีภูมิคุ้มกันไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันติดโรคได้ ยังยาวนานอีกหลายปี และถึงแม้จะพิสูจน์ได้ว่าป้องกันการติดเชื้อได้ แต่จะป้องกันไปได้นานแค่ไหนก็ยังไม่มีใครรู้😱😱😱😱😱
(เรากำลังเร่งขบวนการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคที่ปกติต้องใช้เวลา 5-6 ปี ให้สั้นเหลือไม่กี่เดือน!!!มันจะเป็นไปได้อย่างไร)

และยิ่งไปกว่านั้น ลองคิดดูว่าวัคซีนจะให้ดีแค่ไหนก็ป้องกันโรคได้ไม่เกิน 90% ป้องกันได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้
ถ้ามีคนจะเดินทางเข้ามาเมืองไทย 100 คนฉีดวัคซีนทุกคน จะรู้ได้อย่างไรว่าใครอยู่กลุ่ม 90 คนที่ป้องกันโรคได้แล้ว ไม่ใช่ อีก 10 คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 😓😓😓😓ยังไงๆก็ต้องมีการควบคุมดูแลในที่เฉพาะ 14 วัน(ซึ่งก็ไม่ได้การันตี100%)อยู่ดี การเดินทางไปมาหาสู่กันคงยากลำบากไม่อีกพัก จนกว่าเรามีการตรวจหาเชื้อในตัวคนได้ “เร็ว” “ไว (sensitive)สูง” และได้ทันทีที่คนได้รับเชื้อก่อนที่คนๆนั้นจะแสดงอาการ ที่สำคัญการตรวจนี้ต้องราคาถูก คนทั่วไปทำได้เอง ซึ่งผมคาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีทางเป็นไปได้ และเมื่อร่วมกับยาต้านไวรัสที่ดี......ก็ Happy ending ครับ😊😊😊😊

ดังนั้นเราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะ 5-6 ปี และในช่วงจากนี้ไปสถานการณ์คงค่อยๆปรับตัวดีขึ้น แต่คนที่หวังว่าทุกอย่างธุรกิจต่างๆจะกลับไปเหมือนเดิมอีกครึ่งปีหรือหนึ่งปีเพราะจะมีวัคซีนนั้น คงต้องเปลี่ยนความคิด ทุกคนทุกภาคส่วนต้องรีบออกแบบปรับรูปแบบธุรกิจ (business model) การทำมาหากินกันใหม่ล่ะครับ ตัวอย่างเช่นธุรกิจที่ต้องพึ่งพาอาศัย”คน”ต่างชาติและการท่องเที่ยวเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมทั้งการบ้านการเมืองที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค ต้องปรับคิดใหม่ทำใหม่อาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยจะดีกว่าที่จะเป็นจุดบาปจุดแพร่กระจายการระบาดแบบ super spreader ให้ประเทศเรา 🙏🙏🙏

ที่ผมว่าสถานการณ์อาจค่อยๆดีขึ้น เพราะความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลที่เคยเล่าไปแล้ว ผมคาดว่าอีกไม่นานคงมียาต้านไวรัสเฉพาะชนิดนี้ออกมา และที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราอยู่กับเจ้าเชื้อโรคตัวน้อยนิด 🦠 🦠 🦠 ตัวนี้ได้อย่างสบายๆ และอย่ากล่าวข้างต้นก็คือเราต้องมีวิธีตรวจที่ง่าย รู้ผลเร็ว ราคาถูก มีแพร่หลาย และคนทั่วไปสามารถทำเองได้เหมือนเทสต์ตรวจว่าผู้หญิงตั้งครรภ์หรือไม่น่ะครับ ถ้ามีการตรวจที่ไว (sensitive)มากกว่านี้ ใกล้ๆ 100% เมื่อคนๆหนึ่งได้รับเชื้อ เชื้อมันเข้าทางทางเดินหายใจ เราตรวจพบทันทีในวันที่ได้รับเชื้อ เมื่อรู้ผล ถ้ามียาก็ใช้ยาทันทีไม่ต้องรอให้มีอาการ(หรือปล่อยให้ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้) ถ้ายังไม่มียาก็กักกันตัวเองไม่ไปแพร่ให้คนรอบตัวที่เรารัก หรือแพร่ทำกรรมให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จัก😉😉😉

และในขณะที่สิ่งต่างๆที่จะช่วยให้เราอยู่กับเจ้าโควิดได้ กำลังค่อยทะยอยเกิดขึ้นมานั้นสิ่งที่ควรทำและพึ่งได้ดีที่สุดคือการป้องกันด้วยการ”อยู่อย่างสะอาด” และ”เลี่ยงที่อโคจร” ที่อโคจรหมายถึงที่ที่มีคนแออัด และอากาศไม่ถ่ายเท เช่นผับ บาร์ อาคารปรับอากาศ อยู่อย่างสะอาดคือการล้างมือให้บ่อย ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ไม่ใช้มือจับอาหารเข้าปาก ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อไปที่ชุมชนกลับเข้าบ้านก็อาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนอื่น เป็นต้น 😷 😷 😷

การระบาดของโรคโรคใดโรคหนึ่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องทางการแพทย์เท่านั้นพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมเป็นหลักที่สำคัญมาก การจะคุมการระบาดใดๆนั้นต้องอาศัยความร่วมมือและความพอดีของทางวิทยาศาสตร์และมนุษย์วิทยา ทั้งจากประชาชนและภาครัฐด้วย ถ้าเศรษฐกิจแย่สุขภาพคนในสังคมก็แย่ภูมิต้านทานทั้งคนและสังคมต่ำก็เกิดโรคระบาดได้เป็นวงกว้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนเป็นโรคหลุดรั่วเข้าไปในสังคมประเทศไทย ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม (แม้แต่ในเวียดนามขณะนี้ที่ไม่มีคนติดเชื้อในประเทศเกือบร้อยวันอยู่ๆก็มีคนติดเชื้อและยังหาไม่ได้แน่ชัดว่าคนที่ตั้งต้นแพร่ระลอกสองนั้นรับเชื้อมาจากไหน...คือโรคมันอาจจะหลบอยู่แล้วรอวันดีคืนร้ายเจอจุดอ่อนแอค่อยแสดงตัว😬😬😬😬) แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมยังประพฤติด้วยความเข้าใจในความจำเป็นมีวินัยในการใส่หน้ากากอนามัย ในการรักษาระยะห่าง ในการรักษาความสะอาดแล้วโอกาสแพร่กระจายกันอย่างมากและกว้างขวางก็จะไม่เกิดขึ้นครับ

นิธิ มหานนท์ 10 สิงหาคม 2563